วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บนทางที่ไม่รู้


บนทางที่ไม่รู้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้ออกเดินทางเพื่อท่องไปยังดินแดนต่างถิ่น ต่างวิถีความเป็นอยู่ เพื่อนๆ คนคุ้นเคย ต่างออกปากทักทายว่า เที่ยวอีกแล้วเหรอ นั่นเพราะว่าระยะหลังๆนี้มักจะเดินทางไปที่นั่นที่นี่อยู่บ่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานอิสระที่ทำอยู่นั้น มีอันที่จะให้เดินทางได้บ่อยๆ และในบางที่ที่ไปนั้น ก็ถือโอกาสได้เที่ยวชมสถานที่นั้นไปด้วย สิ่งเหล่านี้เองได้ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาเปิดใจ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆและนำมาทบทวนหาความเหมาะสมและความสอดคล้องในการมีชีวิตอยู่ ได้อย่างรู้คุณค่าและนำมาแบ่งปันบ้างในบทความแห่งนี้
ยอมรับว่าเมื่อก่อนนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบการท่องเที่ยวไปไหนไกลๆ แถมยังเกลียดการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้นอนไม่หลับ ในการที่จะต้องนั่งรถไปนานๆ ขึ้นเครื่องบินไปไหนไกลๆ บางครั้งต้องเข้าพักอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเล็กๆนอนไม่สบายเหมือนนอนอยู่ที่บ้าน เรียกว่า เป็นคนไม่กล้าที่จะก้าวไปไหนเป็นโรคเจอคนเยอะแล้วเวียนหัวไม่ชอบการแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว บ่อยครั้งเกิดความรู้สึกรำคาญหงุดหงิด  ทำให้การท่องเที่ยวไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร พอเริ่มเติบโตขึ้นและปรับเปลี่ยนทัศนคติในการท่องเที่ยวต่างแดนต่างที่ต่างถิ่น จึงทำให้รู้ว่ามีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าเดิมย่ำอยู่ในที่เดิมๆ 

สำหรับครั้งนี้คือ การเดินทางไปญี่ปุ่น เป็นเวลาอันเหมาะเจาะกับการที่รัฐบาลทั้งสองประเทศประกาศยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของกันและกัน ทำให้สะดวกขึ้นมาในระดับหนึ่ง แผนการเดินทางถูกจัดตารางเวลาไว้เรียบร้อย แต่แล้วก่อนเดินทางไม่กี่วันมีงานด่วนเข้ามา คิดแล้วว่าน่าจะพอมีเวลาทำได้ทัน ครั้นพอเริ่มรับงานทำ ก็ต้องมีอุปสรรคอีก แต่เป็นอุปสรรคที่ภูมิใจอย่างมากที่มีโอกาสได้ทำไป นั่นคือ แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสามครั้ง ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ เวลาส่วนหนึ่งจึงมอบให้แม่เพื่อดูแล ใช้เวลายามค่ำคืนบ้างเพื่อทำงาน จนก่อนเดินทางแม่อาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาล งานก็เสร็จทันเวลาแบบเฉียดฉิว จากตรงนี้เองร่างกายจึงอ่อนเพลียจนเกิดอาการท้องร่วง ลามไปจนกระทั่งอยู่ในระหว่างการเดินทาง คิดว่าคงหมดสนุกและเสียเวลาแล้วล่ะในครั้งนี้ เปล่าเลย... เรากลับได้เห็นอีกมุมหนึ่งในดินแดนต่างถิ่นแห่งนี้ ที่ถูกเรียกว่าแดนปลาดิบ แดนซามูไร แดนซากุระ แดนอาทิตย์อุทัย ได้อย่างดียิ่ง เพราะการที่ต้องหาห้องน้ำ ห้องสุขาเข้าบ่อยๆ เข้าทุกที่ที่แวะชม ทำให้เห็นว่า ทุกที่ที่ไปมีแต่ความสะอาดและสะดวกสบาย ห้องน้ำสาธารณะมีมากพอในทุกที่ มีอุปกรณ์ทันสมัยที่ช่วยชำระล้าง เป็นการเข้าห้องน้ำที่เรียกว่า ห้องสุข(า) อย่างแท้จริง สิ่งที่เป็นกังวลนั้นลดลงไปมาก จนอาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในวันที่สองของการเดินทาง อีกทั้งยังได้สัมผัสกับความสุภาพน่ารักของชาวเมือง ความสะอาดสะอ้าน ความมีระเบียบวินัย และความมีจิตสาธารณะ นอกจากนี้บ่อยครั้งยังมีสีสันพิเศษที่สาวๆ ชาวญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ชุดประจำชาติ ด้วยการสวม ชุดกิโมโนสีสันสวยงามมาเดินอวดโฉมตามสถานที่ต่างๆ หลายคนเห็นแล้วอดใจไม่ได้ต้องไปขอถ่ายรูปคู่กับพวกเธอ

ในความคิดเห็นตั้งแต่แรกนั้น คิดไว้ว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศแห่งการพัฒนาสุดๆ ทั้งเรื่องเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นประเทศที่มีผู้คนอยู่มากในบางเมืองเรียกว่าแทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับผู้คนเลย ผู้คนในประเทศนี้คงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เร่งรีบ การทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย แย่งกันกินแย่งกันอยู่ คงจะวุ่นวายไม่ใช่น้อย และคงเต็มไปด้วยปัญหาสารพัดสาระพัน รถราคงติดมากกว่าถนนสาทรหน้าวัดเรา... แต่สิ่งที่คิดไว้นั้นกลับตาลปัตรหมดเลย ทุกที่ที่ไปมีแต่ความสะอาด ผู้คนมีวินัย มีความอ่อนน้อมและคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยที่สูงมากๆ ไม่มีการแซงคิว ร้านค้าร้านขายไม่ต้องใช้คนบริการสอดส่องลูกค้าให้มาก เพราะไม่มีการขโมยของ บ้านช่องไม่มีรั้วขอบกำแพงที่สูง เพราะคนในชุมชนต่างจะช่วยกันดูแล ใครทำสิ่งผิดกฎหมาย เพื่อนบ้านจะเป็นผู้นำไปแจ้งให้ทางการรับทราบ ซึ่งไม่ใช่การกลั่นแกล้งกัน เป็นจิตสาธารณะที่คอยใส่ใจกันและกัน แต่ทำจนเป็นเรื่องปกติ และชินกับการหมั่นตรวจตราความเรียบร้อยของชุมชน ไม่มีการจอดรถแบบมั่วซั้วตามท้องถนน และนิยมการปั่นจักรยาน และการเดินเท้าไปยังที่ต่างๆ เพื่อช่วยกันลดมลพิษ คนที่สูงอายุหน่อยก็ไม่ปล่อยให้ตกเป็นภาระใคร เห็นคนสูงอายุมากมายที่เดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง หิ้วถุงสัมภาระขึ้นรถไฟ ขึ้นรถเมล์ 
ในย่านกลางเมือง ย่านที่มีหนุ่มสาวมารวมตัวกันอย่าง เช่น ย่านชินจูกุ แหล่งช้อปปิ้งในเมืองโตเกียว หนุ่มสาวก็แต่งตัวกันได้น่ารัก ตามประสาวัยใส ใส่กระโปรงสั้นแต่มักจะสวมทับถุงน่องยาวหรือทับกางเกงรัดรูปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนหนุ่มสาวชาวไทยที่บอกว่ารับวัฒนธรรม เจป๊อป มา แต่กลับมาใช้แต่งกายที่เรียกว่า สั้นเสมอหูจนกลายเป็นสื่อที่บอกถึงความเสื่อมของจริตคนเมือง และสิ่งใดที่มันไม่งามตางามใจนัก ก็จะถูกจัดให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ตรวจสอบกันง่าย อาทิ ร้านขายดีวีดีสำหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น 
ใช่หรือไม่ มีหลายเส้นทางที่เรารู้แต่เราไม่ได้รู้แจ้งรู้จริง จนกว่าเราจะได้ไปสัมผัส และอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ เราจึงจะเข้าใจ คนเราก็เหมือนกัน กับบางคนนั้นเป็นเหมือนเส้นทางที่เราไม่เคยรู้ เราเพียงเห็นเพียงได้ยิน แต่ไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตของเขา เราจะเข้าใจคนเหล่านั้นได้อย่างไร เราไปตัดสินเขาได้อย่างไร การท่องเที่ยวไปบนเส้นทางที่ไม่รู้ หากเปิดใจ ไม่นานเราก็จะได้รู้ บนเส้นทางชีวิตก็เช่นกัน เปิดใจเรียนรู้แล้วเราจะพบเห็นความน่ารักและความสุขของผู้คนผู้ร่วมใช้เส้นทางเดียวกับเรา...

ไม่มีความคิดเห็น: