วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หาดงามยามน้ำลง


หาดงามยามน้ำลง
การเดินทางไปพักผ่อนแบบง่ายๆสบายๆไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องไปเที่ยวตรงนั้นตรงนี้ ก็เป็นการพักผ่อนได้ดีเยี่ยมอีกรูปแบบหนึ่ง การที่ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องเร่งรีบทำตามเวลาที่ถูกกำหนด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปแบบธรรมดาของวิถีชีวิต ก็นับว่าเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าจะต้องติดอยู่บนท้องถนนที่มีรถราและผู้คนมากมายที่ต่างพากันออกจากเมือหลวง ที่หลบไปพักผ่อนตามชายหาดทะเลและขุนเขาป่าไม้ นานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก็ไม่ทำให้ตารางเวลาเสียไปเพราะเราไม่ได้วางตารางเวลาไว้แต่อย่างใด ไม่มีการนัดหมาย รู้เพียงปลายทาง คือหัวหิน และมีที่พักเป็นบ้านพักของคณะซิสเตอร์อุร์สุลิน ที่หาดเพชรสำราญ ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่ส่วนบุคคล จึงทำให้การพักผ่อนครั้งนี้ไม่ต้องไปแย่งช่วงชิงหาที่หลับที่นอนกับผู้ใด ส่วนเรื่องอาหารการกินเจออะไรที่ไหนก็กิน ไม่ต้องเลิศหรูต่อคิวคอยเวลา ให้เสียอารมณ์.. 
และแล้วชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งเราก็มายืนในถิ่นหัวหิน ห้องพักไม่มีโทรทัศน์เหมือนบังคับทำให้ได้นอนเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ตื่นเช้าได้อย่างสบาย มีเวลามาสูดอากาศริมชายหาดได้อย่างเต็มปอด หาดทรายที่กว้างมีความเป็นส่วนตัว มีศาลาริมหาดไว้สำหรับนั่งพักผ่อน หาดยามเช้างดงาม แสงอาทิตย์พยายามเบียดดันเมฆฝนเพื่อทอแสง แต่ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่งคราว เพราะเมฆฝนที่หนาแต่ก็ไม่มีฝนตกหนัก ซ้ำยังช่วยทำให้อากาศเย็นลมโชยสบายๆมากยิ่งขึ้น มีเวลาเดินเล่นตามชายหาดไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักทักทายกับปูตัวน้อยที่วิ่งหนีลงรู และพวกมันก็ทิ้งร่องรอยการวิ่งลงรูนั้นออกรูนี้ไว้เป็นลวดลายงานศิลป์บนพื้นทรายอย่างงดงาม 
การมาเยือนหาดหัวหินถิ่นนี้อีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพ ที่มีผู้คนมากหน้าหลายชาติพันธุ์ขึ้น อาคาร ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ก็งอกตามมามากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ ท้องทะเล ยังไงก็ยังเป็นที่พึ่งพิง ที่พักให้อาศัยยามกายล้าใจเหนื่อย เป็นสิ่งที่ช่วยให้กำลังใจกำลังกายได้รับการฟื้นฟูบำบัดได้เสมอ ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูสุดลูกตา คลื่นที่พัดพาจากท้องทะเลและโยนตัวลงระนาบกับหาดทรายด้วยความอ่อนโยนดูกี่ครั้งเห็นกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ พื้นทรายที่เหยียบย่ำพอค่ำคืนก็ตกอยู่ใต้แผ่นน้ำ ใช่...นี่ก็คือ อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เป็นความฉงนที่แฝงเร้นไปด้วยสัจจะธรรม น้ำทะเลกับหาดทราย น้ำขึ้นและน้ำลง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ยามเย็นน้ำทะเลก็จะค่อยๆขึ้น กลืนกินหาดทรายให้เหลือพื้นที่น้อยลง จวบจนค่ำคืนความมืดมิดปิดบัง หาดทรายก็มักจะหดหายกลายเป็นพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ ดูน่าเกรงขาม ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็ให้คำอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้กันมากกว่าดวงอาทิตย์ จึงทำให้น้ำขึ้นในตอนกลางคืน นั่นก็เป็นกฎเกณฑ์แห่งสิ่งสร้าง แต่สำหรับเราผู้ที่ยืนชื่นชมความงามของหาดทรายอยู่นี้ มีสิ่งที่ให้ตระหนักอยู่เสมอนั่นคือ ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมัน แต่เรามักใจร้อน ชอบเร่งรัด โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้ดังใจนึก ก็มักดิ้นรนจนล้นจนลาน เวลาของแต่ละอย่าง แต่ละคน แต่ละครั้งยาวนานไม่เหมือนกัน อยู่ที่ใจเรา เวลาของทุกข์มักยาวนานกว่าเวลาสุข
ใช่หรือไม่ เวลาเราพบกับความทุกข์เราก็ยิ่งทุกข์ขึ้น เพราะว่าใจเรามันเร่าร้อนอยากจะพ้นทุกข์ เหมือนกับวันไหนที่เรานอนไม่หลับ ก็มักจะดูนาฬิกาบ่อยๆ ดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว ดูแล้วดูอีก และก็บ่นว่า ทำไม???  เวลาวันนี้มันเดินช้าจัง ทั้งๆที่เวลาก็เท่าเดิม ยามเราตกอยู่ในทุกข์ เราก็มักจมอยู่กับทุกข์  หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์อย่างรู้เท่าทันอย่างรู้ตัว ไม่นานเราก็จะผ่านพ้นทุกข์ครั้งนี้ไปได้ แล้วก็เตรียมตัวเรากับทุกข์ครั้งใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เรามิอาจจะพ้นทุกข์ไปได้ เพียงแต่เราจะอยู่กับทุกข์ได้อย่างไรคือหัวใจของการดำรงชีวิตอยู่ต่างหาก
สิ่งหนึ่งที่มักจะวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดเสมอๆ นั่นคือ การที่เรามักคาดหวัง ยึดโยงอยู่กับผู้อื่น อยากจะให้คนนั้นเป็นอย่างใจนึก อยากจะให้คนนี้เป็นอย่างใจคิด พอไม่ได้เช่นนี้เช่นนั้น เราก็รู้สึกผิดหวัง ยิ่งในยุคที่เราต่างก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง การจะยอมกันมีน้อยลง อยู่กับตัวเองหลงกับตัวเอง จนลืมมองคนรอบข้าง แต่ชอบเรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่น ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความตรอมทุกข์ เราต้องหยุดที่จะเรียกร้องจากผู้อื่น หันกลับมาทำตัวเองให้หลุดจากกรอบที่เราครอบไว้ มีชีวิตเพื่อผู้อื่นโดยเฉพาะคนที่อยู่กับเราบ้าง ให้ความสำคัญต่อกัน ดูแลกายห่วงใยใจกันและกัน พร้อมที่จะยืนและรอเวลารุ่งเช้าด้วยกันบ้าง ชีวิตก็จะพบความสวยงามได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปกับความมืดมิด จนชีวิตไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเป็นเช่นไร
และแล้วเช้าของวันใหม่ก็มาพร้อมกับความงามของหาดทรายอีกวัน แสงตะวันของวันใหม่ วันแห่งการเริ่มต้น ฉายแสงส่องเป็นประกาย กระทบแผ่นน้ำ หลังจากพ้นห้วงแห่งทุกข์ย่อมพบแรกแย้มของสุข ฟ้าหลังฝนงามเช่นใด หาดยามน้ำลงก็งดงามเช่นนั้น ยามช่วงที่ชีวิตมีสุขก็จงเก็บความงดงามเป็นพลังเพื่อเผชิญทุกข์ในครั้งต่อไป การก้าวหน้าของชีวิตเรานั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเดินทางผ่านทางทุกข์ เก็บไว้เป็นภูมิคุ้มกัน หาดทรายยามน้ำลดลงคงเหลือเศษซากที่ไหลมากับน้ำทะเลให้ได้เห็นบ้าง อาจจะเป็นเศษขยะ เศษไม้ แต่เมื่อเทียบกับหาดที่ยาวไกลแล้ว เศษซากเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอันใด ชีวิตเราล่ะยังคงปล่อยให้เศษซากขยะรกรุงรังในวันที่ผ่านพ้นทุกข์มาแล้วหรือ ลืมเลือนไป ให้อภัยใจเราก็สงบ...

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โลกสวยด้วยใจเรา


โลกสวยด้วยใจเรา
ทุกครั้งที่มาวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือตอนเย็นๆ ที่สมาคมแต้จิ๋ว สาทร มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีความสุข เกิดรอยยิ้มแย้มได้ในทุกๆคราวไป นั่นก็คือ เสียงเพลงคาราโอเกะที่มีตู้ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆในสวน (สุสาน) ตามเส้นทางของลู่วิ่ง คิดดูดิ ขณะที่วิ่งไปก็มีเพลงให้ฟังไปได้ตลอดช่างแสนจะเพลิดเพลินเจริญใจจริงๆ แม้ว่าเสียงของบางคนอาจจะไม่ตรงคีย์ ตรงจังหวะนัก แต่มันมีความน่ารัก น่าเอ็นดู ของผู้ที่มีเสียงเพลงในหัวใจ บางคนแต่งชุดมาเพื่อออกกำลังกายแท้ๆ แต่ใจมันเรียกร้องก็ไปเปิดตู้ หยิบไมค์ ยืนขับกล่อมในชุดนั้นเลย และไม่มีใครในนั้นไปขัดขวาง ไม่มีใครไปต่อว่า หรือดูแคลน กล่าวว่า รำคาญจะร้องทำไมร้องก็ไม่เพราะ เสียงไม่เข้ากับดนตรี แต่ทุกคนที่วิ่งผ่านต่างยิ้มแย้มส่งกำลังใจในความมุ่งมั่นให้กับคุณลุงคุณป้า คุณน้า คุณอา เหล่านั้น เป็นความงดงามยามออกกำลังกาย ใจเลยสดชื่นเบิกบานเสมอเมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนั้น

 ใช่หรือไม่ ความงดงามมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ไร้กังวล ร่างกายได้ผ่อนคลาย ในบางครั้งเรามักเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์จึงไปลดทอนความงดงามให้หดหายไป ทำให้เราตาบอดมองไม่เห็นสิ่งรอบๆข้าง ตาบอดเพราะอคติที่ติดยึด ตาบอดเพราะใจที่มืดมิด แต่เที่ยวแสวงหาความสว่างข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แท้จริงแล้วความสวยงามมีให้เห็นอยู่ในทุกเวลา เราเคยเห็นมันหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ถ้าเราลองพลิกความคิด ลดอคติ อย่าหวังให้ใครมาเป็นแบบที่เราคิด เรียนรู้และเคารพอย่างที่คนอื่นเป็น แยกแยะกาลเทศะให้เป็น กฎระเบียบมิใช่มีไว้เพื่อเบียดเบียน หรือยัดเยียดให้คนอื่นต้องถือตามเสมอไป ความสวยงามคือพระพรที่อยู่คู่โลก คู่ชีวิตเสมอ และโลกจะงดงามได้ก็ต้องอยู่ที่จิตใจเรา แล้วทำไมเราไม่สร้างโลกสวยด้วยใจของเรากันบ้างหล่ะ
พระเจ้าสร้างโลก และสร้างเราให้ดูแลโลก เป็นเราที่ล้วนแต่สร้างโลกด้วยเปลือกที่หุ้มห่อ ความหลงใหลในวัตถุแทนค่า คุณค่าที่แท้จริงเลยจางหาย วิถีการดำเนินชีวิตถูกแทนค่าด้วยมาตรวัดทางปัจจัยภายนอก ใครมีมากกว่าคือ ผู้สำเร็จ ธรรมะไม่ได้ถูกเพาะหว่าน สานฝันด้วยการไล่ล่าไขว่คว้าให้ได้มา มิได้แสวงหาตามครรลอง จัดให้วัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกมาก่อน เคร่งครัดกับการจัดการเรื่องภายนอก ค่านิยมมาก่อนคุณค่าทางจิตใจ ภายในใจปล่อยปละละเลย ซ้ำร้ายมองเห็นคนที่ใฝ่ทางธรรมคือพวกหลุดโลก หลงยุค ใช่หรือไม่ เราบอกว่า เราก็ไม่ได้ทิ้งวัดวา มาร่วมมิสซาทุกอาทิตย์ แต่ออกจากวัดก็ไม่รู้เสียแล้วว่า วันนี้บทอ่านและพระวรสารพูดถึงเรื่องอันใด เพราะมัวแต่ใจล่องลอย มัวแต่กดแชท มัวแต่ส่งเฟส อัพสถานะว่ามาเข้าวัด กดเช็คอินที่วัด ความสวยงามของพิธีกรรมก็เลยเป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง 
เช่นนี้แล้ว เราจะเห็นความสวยงามของวันเวลา เห็นความสวยงามตามธรรมชาติ เห็นความน่ารักของผู้คนได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนมุมมอง ปรับทัศนคติต่อชีวิต อย่าปล่อยให้ทุกข์มาชี้นำชีวิต ความทุกข์นั้นมีด้วยกันทุกคน ต่างคนต่างมีต่างคนก็แตกต่างกันไป คนแบกทุกข์คือคนแบกโลก คนแบ่งแยกทุกข์ออกก็จะเป็นคนที่รู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ 
วันหนึ่งมีเด็กตาบอดคนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ขั้นบันไดของตึก โดยมีหมวกใบหนึ่งวางหงายไว้ข้างๆ มีป้ายเขียนไว้ข้างตัวว่า ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วยครับ
มีเหรียญเพียงสองสามเหรียญในหมวกใบนั้น ต่อมามีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก แล้วเขาก็หยิบป้ายข้างเด็กตาบอดคนนั้นมาเขียนข้อความที่ด้านหลัง แล้วก็วางลงที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้ายนั้น 
ในไม่ช้า...หมวกก็เต็มไปด้วยเหรียญ ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้น ชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าของเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ
คุณเขียนว่าอะไรครับ
ชายคนนั้นพูดว่า ผมแค่เขียนความจริง ผมเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง”  ผมเขียนว่า วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้” 
ทั้งสองข้อความนั้นเป็นการบอกกล่าวผู้คนว่า เด็กชายนั้นตาบอดใช่หรือไม่??? ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด ข้อความหลังย่อมให้ผลดีกว่า เราจะเป็นเด็กชายตาบอดหรือเป็นชายคนนั้น
จงขอบคุณพระเจ้าในทุกวันเวลา ทุกสถานที่ ในทุกสิ่งที่เรามี แล้วลองเปลี่ยนการมองชีวิตโดยเน้นเรื่องของจิตใจ เรื่องของคุณงามความดี ให้มีมากกว่าเรื่องของวัตถุ หรือถ้าเรายิ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้นเท่าใด เราก็ต้องดำเนินชีวิตให้มีคุณค่า ให้มีคุณธรรมมากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถชื่นชมความสวยงามของโลกนี้ไปพร้อมๆกัน มาร่วมกันสร้าง ร่วมกันแบ่งปันให้โลกให้สังคมน่าอยู่ เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้กัน ส่งยิ้มทักทายกัน พูดคุยให้กำลังใจกัน ดีกว่าเสียเวลาจับกลุ่มนั่งนินทาหรือเอาเรื่องคนอื่นมาพูดถึงเป็นไหนๆชีวิตมีสิ่งสร้างสรรค์มากกว่า มาปฏิรูป ปฏิวัติจิตใจของเรา มองโลกเห็นชีวิตในด้านบวก  มีคนเคยกล่าวว่า เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป ไว้ใจในพระเจ้า  เพียงเท่านี้ก็เป็นการสร้างโลกให้งดงามแล้ว

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่ช่วยไม่ว่า แต่นี่....


ไม่ช่วยไม่ว่า แต่นี่....
ช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินเป็นที่โด่งดังอยู่หลายๆข่าว ทั้งข่าวเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว และข่าวเครื่องบินโบอิ้ง 777ตกแบบกระแทกพื้นที่ซานฟรานซิสโก ข่าวแรกคงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันในทุกวงสนทนา และเริ่มบานปลายขยายผลออกไปเรื่อยๆ ความจริงเริ่มปรากฎให้เห็นออกมา พูดแบบรวบรัดตัดความ เป็นเรื่องของคนผู้หลงอยู่ในวัตถุล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นคนต้นเรื่องหรือแม้กระทั่งผู้หลงเชื่อคำสอนที่ไร้แก่น คลั่งการทำบุญด้วยทรัพย์เพื่อซื้อใบเบิกทางสู่สวรรค์ ทำได้เช่นนั้นหรือ คิดแบบคนบนดิน ผู้ไม่หยั่งรู้แม้เพียงเศษเสี้ยวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่อยู่เบื้องบนเราหลงอยู่กับวัตถุนิยมจนใช้ปนกับเรื่องของจิตใจ จนจิตใจของเราเต็มไปด้วยเรื่องของวัตถุ
แม้แต่ข่าวเครื่องบินตกอีกข่าวหนึ่งก็มีแง่มุมที่ต้องมาวิเคราะห์จิตใจ ใช่หรือไม่ เรากำลังลุ่มหลงอยู่กับวัตถุสิ่งของเกินไป ในเหตุการณ์เครื่องบินตกกระแทกพื้นครั้งนี้นั้น มีพฤติกรรมใหม่ของสากลชนชาวโลกเกิดขึ้น เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่าชาวโลกตกเป็นทาสของวัตถุถึงขั้นยอมพลีชีพเพื่อยึดโยงมันไว้ ลองอ่านรายละเอียดจากข่าวนี้

9 ก.ค. 56  เว็บไซต์ ฟอร์บส์ รายงานว่า ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นและความตาย ของการเอาชีวิตรอดจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ผู้โดยสารของเครื่องบิน โบอิ้ง 777 ของสายการบินเอเชียนา แอร์ไลนส์เที่ยวบิน 241 ที่ตกบนรันเวย์ของสนามบินนานาชาติซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ กลับหอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง รวมทั้งกระเป๋าแบบลาก ที่ปกติจะอยู่ในชั้นเก็บเหนือศีรษะ
ผู้รอดชีวิตอย่างน้อย 1 คน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ ว่า เขาฉวยกระเป๋าก่อนจะคว้าตัวลูก ซึ่งนับว่าโชคดีอย่างมากที่ไฟลามช้า…..
ฟอร์บส ระบุว่า จากการตรวจสอบอุบัติเหตุที่เกิดกับเครื่องบินโดยสารหลายครั้งที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรก ที่พบว่า ผู้โดยสารพากันหอบหิ้วของติดตัวตอนหนีตาย และทางสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการขนส่งของสหรัฐ หรือ NTSB ก็จำเป็นต้องหาข้อสรุปให้ได้ว่า พฤติกรรมของผู้โดยสารเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผู้บาดเจ็บด้วยหรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าผู้โดยสารเหล่านี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการอพยพฉุกเฉินจากเครื่องบิน แต่สายการบินเอเชียนา และสำนักงานบริหารการบินแห่งสหพันธ์ หรือ FAA กำลังสงสัยว่า อาจมีผู้รอดชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย โดยผู้โดยสารที่มัวแต่เสียเวลารวบรวมกระเป๋า และจำเป็นต้องแก้ปัญหานี้ ก่อนที่จะมีคนที่อุตส่าห์รอดจากอุบัติเหตุ ต้องมาตายโดยไม่จำเป็น (จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก)
ย้ำนี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นคนหวงห่วงกระเป๋ามากกว่าชีวิตตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงการที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่ช่วยเหลือกันไม่ว่า แต่นี่ต่างคนต่างไขว่คว้าหาแต่ของๆตัวเองในแง่หนึ่งนั้นทุกคนในยุคของเราอาจจะถูกปลุกฝังค่านิยม เห็นวัตถุภายนอกเป็นปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตรอด ทุกคนคิดว่า ถ้ารอดไปมีเสื้อผ้า มีเงินทอง มีโทรศัพท์ใช้ ก็จะสามารถทำให้สะดวกในการมีชีวิต จะได้ไม่เสียเวลาที่จะต้องมารอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือจะมามัวเสียเวลารอคอยค่าประกันจากบริษัททำไม อะไรหยิบได้ก็หยิบติดมือไปก่อน สมองเราถูกกรอบให้คิดอยู่เพียงเท่านี้ ไม่ได้คิดไกลออกไปกว่าตัวเอง ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เราก็อาจจะทำเช่นนั้นก็ได้ เพราะวันนี้สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าชีวิตเรามีความสุขสบายคือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆซึ่งมันเป็นปัจจัยที่มิอาจจะห่างหายจากวิถีชีวิตเราได้เลย
คนเรายุคนี้ตกเป็นทาสของวัตถุจนถึงขั้นที่ไม่สามารถจะหาใครมาเลิกทาสได้เสียแล้ว นี่ขนาดคนในเครื่องนั้นเป็นส่วนเล็กน้อยของประชากรโลก แล้วถ้านับรวมประชากรทั้งหมด ความเห็นแก่ตัวคงจะล้นโลก เอาไปฝากทั้งดวงจันทร์ ดาวอังคารก็คงยังไม่พอใส่ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเราคงไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัวแบบสาธารณะนี้ให้มากขึ้นไปด้วยการไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เราต้องกลับมามองตัวเรา มาพินิจพิเคราะห์ดูซิว่า หากเป็นเราในเครื่องนั้นเราจะทำเช่นไร เราเห็นคนเดือดร้อนอยู่กับเรา เราจะทำเยี่ยงไร โลกนี้โหยหาชาวสะมาเรียผู้ใจดีเสมอ แล้วเราพร้อมไหมที่จะเป็นเช่นนั้น
ยิ่งเราสะสมสมบัติมากเท่าไร ก็ไม่สามารถซื้อ ยื้อ ความเจ็บปวดและความตายได้ ซ้ำร้ายวัตถุที่เราสะสมอาจจะเป็นสิ่งที่นำความทุกข์และความตายมาให้เราก็ได้ วันนี้สังคมรอบข้างเราขาดแคลนน้ำจิตน้ำใจเราหวังเพียงให้ได้มาซึ่งความฉาบฉวยภายนอก ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียง เงินทอง ความนิยม เสียงปรบมือ การยกย่องแบบชั่วครั้งชั่วคราว เราทำความดีแบบหลอกๆเพียงเพื่อสร้างเปลือกให้สวยงามกันเพียงเท่านั้น ความดีที่ทำนั้นต้องเข้าไปขัดเกลาจิตใจของผู้กระทำก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าการกระทำนั้นไม่ได้ช่วยขัดเกลาจิตใจสิ่งนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งดี 
โลกที่หลงวัดค่าคนด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก ที่สุดแล้วก็มักจะจบด้วยการพิฆาตด้วยเครื่องมือเหล่านั้น เป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เช่นเดียวกันการทำความดี การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สิ่งเหล่านี้ก็มักย้อนกลับมาสู่จิตใจคนผู้นั้นได้เสมอ แล้วรู้ทั้งรู้เราก็ยังยอมให้อาวุธแห่งวัตถุและเปลือกที่กระด้างย้อนกลับมาทิ่มแทงและทำร้ายเรา นับวันความเห็นแก่ตัวจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่ช่วยกันยับยั้งชั่งใจ เราก็จะไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับเรื่องอื่นๆในชีวิต แม้แต่ชีวิตของเราเอง เราก็ไม่รักกันเลย เพราะมัวแต่หลงอยู่กับวัตถุ มิใยต้องคิดหรือว่าคนเช่นนี้จะมีจิตใจมีเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่น เรากำลังจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ...ชาวสะมาเรียในใจเรายังหลงเหลืออยู่บ้างไหม..

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาคต่อ “คุณชาย”


ภาคต่อ คุณชาย
ละครชุดเรื่อง คุณชาย สุภาพบุรุษจุฑาเทพ เป็นละครที่ได้รับความนิยมอย่างสูงยิ่ง หญิงสาวหลายคนฝันหวานว่าในชีวิตจริงปรารถนาที่จะพบเจอผู้ชายอย่างคุณชายทั้งหลายในละคร จินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอกที่มีพระเอกอย่างคุณชายเข้ามาช่วยเหลือและเกิดเป็นความรัก จนได้ใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่สนใจเรื่องของฐานะ ชนชั้น และความมีชื่อเสียง ส่วนฝ่ายชายหลายๆคนที่ติดตามละครก็ฝันบรรเจิดคิดไปว่า วันไหนที่ได้เจอหญิงงามนามเพราะ กำลังตกระกำลำบาก เราจะเป็นคุณชายสุภาพบุรุษเข้าไปช่วยโอบอุ้มคุ้มครองสุภาพสตรีเช่นนั้น ทุกคนต่างใฝ่ต่างฝันหาพระเอกนางเอกในจินตนาการ แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องวิถีทางของใครของมันต่างต้องสร้างกันขึ้นมาเอง พระเอกนางเอกในชีวิต เราล้วนเป็นผู้กำกับเอง สิ่งสำคัญ คือ จะมีสักกี่คนที่ยังคงเป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีได้ตลอดกาล
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ หลายคนที่ได้มีครอบครัว ดูละครเรื่องนี้แล้วหันมามองคนข้างๆ เอ๊ะ...ทำไมคุณชายในสมัยเริ่มรักกันกลายร่างเป็นคุณเฉื่อย เป็นชายโหด ชายเห็นแก่ตัวไปเสียแล้วหล่ะ ส่วนหญิงงามเมื่อเก่าก่อน บัดนี้ความเป็นสุภาพสตรีหนีหายไปไหนหนอ ต่างคนต่างเริ่มเห็นแต่สิ่งไม่ดีไม่งามต่อกัน ต่างคนต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ยิ่งนานวันเรากลับรับไม่ได้ในสิ่งที่ไม่ดีของกันและกัน นี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่งในชีวิตคู่ วันวานวันหวานจึงเปลี่ยนเป็นขม ประกอบกับความเป็นจริงของคนในยุคนี้ ที่เบื่อหน่ายง่าย แล้วสร้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองโดยโยนความผิดให้อีกฝ่ายเป็นคนรับผิดชอบ ชีวิตมีแต่เร่งรีบและไขว่คว้า ไม่มีเวลาว่างๆเพื่อเปิดลิ้นชักความทรงจำอันงดงามออกมาทบทวน ปล่อยชีวิตหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งภายนอก เสาะหาชื่อเสียง เงินทอง ความชื่นชม อยู่ร่ำไป แล้วก็ปล่อยให้ปัญหาอยู่กับภาคต่อมาของคุณชายกลายร่าง 
นั่นก็คือ ลูกๆหลานๆที่สืบสานต่อความเป็นคุณชายคุณหญิงของเรานั่นเอง ปัญหาผลกระทบจากการใช้ชีวิตด้วยวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา เริ่มออกผลพิษให้เราเห็น แต่หลายคนคงยังไม่ทันสังเกต เราถูกสร้างภาพให้เป็นคุณชายคุณหญิงด้วยสิ่งภายนอก ในการสร้างชีวิตครอบครัว ชีวิตคู่ เมื่อมีลูกหลานออกมาเราก็ยังคงเลี้ยงดูด้วยการใช้วัตถุนำ ละเลยการบ่มเพาะจิตใจ หลงลืมการสั่งสอนเรื่องคุณธรรม สั่งสอนเพียงเรื่องภายนอก ปล่อยให้เครื่องอำนวยความสะดวกและสังคมเสมือนจริงในโลกไซเบอร์ชี้นำ โยนการอบรมไปไว้ที่โรงเรียน สถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียว หลายคนอาจจะเห็นตรงข้ามว่า ไม่จริง เด็กสมัยนี้ฉลาดจะตาย ใช่...ไม่เถียง เด็กสมัยนี้ฉลาดมากแต่ไม่ค่อยเฉลียว และมีแนวโน้มว่านิยมความรุนแรงมากกว่ารักสันติ ไม่เหลือความเป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
เมื่อช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีธุระต้องไปทำภารกิจแถวย่านบางแค ตอนกลางวันแสกๆบ่ายแก่ๆ ขณะขับรถอยู่บนถนนเพชรเกษม เห็นเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนขาสั้น วิ่งไล่ล่ากันบนสะพานลอย ในมือบางคนมีมีดยาว ไม่นานเสียงปืนดังสนั่นสี่นัด เป็นระยะๆ สักพักรถเริ่มติด เพราะเด็กกลุ่มนั้นใช้ถนนส่วนรวม เป็นถนนส่วนตัวเพื่อสะสางความแค้น เด็กขาสั้นกลุ่มนั้นคงประมาณชั้นมัธยมต้น ในใจคิดว่า ทำไมเด็กๆพวกนี้จิตใจโหดร้ายจัง อีกไม่กี่วันถัดมา เดินทางไปบ้านพี่สาวแถวดอนเมือง บ้านอยู่ซอยสุดท้ายของหมู่บ้าน ใกล้ๆสนามเด็กเล่น ในขณะเดินเข้าไปเห็นรถตำรวจกำลังควบคุมเด็กกลุ่มหนึ่งไปโรงพัก ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง สอบถามได้ใจความว่า เด็กนักเรียนผู้หญิง มักนัดมาตบตีกันตรงนี้เป็นประจำ บางครั้งมีมาพร้อมกัน 50 คนขึ้นไป ตบตีกันแล้ว ร้องโวยวายเหมือนนกกระจอกแตกรัง รุมกันแล้วก็ถ่ายเป็นคลิปวีดีโอ นำไปโพสต์ขึ้น FaceBook อัพขึ้น YouTube กลายเป็นแฟชั่นสมัยใหม่ ถามแล้วตบตีกันด้วยเรื่องอะไร? คนแถวนั้นบอกว่าเรื่องแย่งชิงผู้ชาย สงสัยคงเป็นคุณชายแห่งวังจุฑาเทพเป็นแน่แท้ถึงได้แย่งกันยกใหญ่...แล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆบนสถานีรถไฟฟ้าตากสิน เด็กนักเรียนมัธยม 3 นัดเคลียร์กับเด็กต่างโรงเรียน เรื่องผู้หญิง แต่ไม่กล้ามาคนเดียว เอาพวกมารุมชกต่อยกัน จนกลายเป็นความแค้นที่ต้องชำระ แล้วลามถึงสถาบันต่อสถาบัน ปัญหานี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ จากที่เคยเห็นเด็กระดับอาชีวะตีกัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นระดับขาสั้นคอซองไปเสียแล้ว ทำยังไง เราจึงจะลดความรุนแรงของปัญหานี้ได้ เราต้องกลับไปปลุกสร้างร่างคุณชายสุภาพบุรุษให้เกิดขึ้นในตัวของเรา
สิ่งสำคัญในความเป็นสุภาพบุรุษที่เราเห็นในละคร คือ ความอ่อนโยน การเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน การแย่งชิงแก้แค้นกันไม่เคยนำความสุขมาให้ใครเลย เราอ่อนโยนต่อใครบ้าง หัวใจอันอ่อนโยนนั้นมีไว้เพื่อคลี่คลายความรุนแรง หัวใจอ่อนโยนนั้นแสดงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวใจอันอ่อนโยนนั้นย่อมเข้าใจผู้อื่น หัวใจที่อ่อนโยนนั้นไม่ได้หวังเพื่อความเด่นโด่งดัง หัวใจอ่อนโยนนั้นต้องไม่สร้างความทุกข์ให้ใคร 
การเคารพศักดิ์ศรีนั้นต้องเริ่มต้นเคารพตัวเองก่อน อย่าดูถูกและตีค่าตัวเองว่าไร้คุณค่า อย่าประเมินด้วยการวัดค่าตามมาตรฐานทางตรรกะตัวเลข เคารพคนใกล้ชิด รับฟังเข้าใจคนข้างกาย พูดคุยด้วยหัวใจที่ไร้ข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเอง รู้จักเงียบ นิ่ง เอาใจเขามาใส่ใจเรา และที่สุด ต้องฝึกสงสารคนอื่นบ้าง คิดก่อนทำว่า การกระทำของเราถ้าทำไปแล้ว คนที่ได้รับผลกระทบมีใครบ้าง บางครั้งเราไปตั้งความหวังของเราบนความทุกข์ของคนใกล้ชิด ชีวิตแบบนี้จะมีความหมายเช่นไร สุภาพบุรุษที่แท้จริงอาจจะต้องรับความเจ็บปวดไว้กับตัวเองเพื่อให้คนรอบกายมีความสุข สุดท้ายแล้ว ลองมองหน้าลูกๆหลานๆของเรา ใช่หรือไม่ พวกเขา คือ ภาคต่อของเรา แล้ววันนี้เราได้ปลูกฝังอะไรลงไปในตัวของพวกเขาบ้าง สุภาพบุรุษชนคือคนที่สังคมโลกต้องการ อย่าให้มีอยู่แต่ในละครภาคค่ำ...