หาดงามยามน้ำลง
การเดินทางไปพักผ่อนแบบง่ายๆสบายๆไปเรื่อยๆ
โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องไปเที่ยวตรงนั้นตรงนี้
ก็เป็นการพักผ่อนได้ดีเยี่ยมอีกรูปแบบหนึ่ง การที่ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องเร่งรีบทำตามเวลาที่ถูกกำหนด
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปแบบธรรมดาของวิถีชีวิต
ก็นับว่าเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเช่นกัน
แม้ว่าจะต้องติดอยู่บนท้องถนนที่มีรถราและผู้คนมากมายที่ต่างพากันออกจากเมือหลวง
ที่หลบไปพักผ่อนตามชายหาดทะเลและขุนเขาป่าไม้ นานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก็ไม่ทำให้ตารางเวลาเสียไปเพราะเราไม่ได้วางตารางเวลาไว้แต่อย่างใด
ไม่มีการนัดหมาย รู้เพียงปลายทาง คือหัวหิน
และมีที่พักเป็นบ้านพักของคณะซิสเตอร์อุร์สุลิน ที่หาดเพชรสำราญ
ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่ส่วนบุคคล จึงทำให้การพักผ่อนครั้งนี้ไม่ต้องไปแย่งช่วงชิงหาที่หลับที่นอนกับผู้ใด
ส่วนเรื่องอาหารการกินเจออะไรที่ไหนก็กิน ไม่ต้องเลิศหรูต่อคิวคอยเวลา ให้เสียอารมณ์..
และแล้วชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งเราก็มายืนในถิ่นหัวหิน
ห้องพักไม่มีโทรทัศน์เหมือนบังคับทำให้ได้นอนเร็วยิ่งขึ้น
ทำให้ตื่นเช้าได้อย่างสบาย มีเวลามาสูดอากาศริมชายหาดได้อย่างเต็มปอด
หาดทรายที่กว้างมีความเป็นส่วนตัว มีศาลาริมหาดไว้สำหรับนั่งพักผ่อน หาดยามเช้างดงาม
แสงอาทิตย์พยายามเบียดดันเมฆฝนเพื่อทอแสง แต่ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่งคราว
เพราะเมฆฝนที่หนาแต่ก็ไม่มีฝนตกหนัก ซ้ำยังช่วยทำให้อากาศเย็นลมโชยสบายๆมากยิ่งขึ้น
มีเวลาเดินเล่นตามชายหาดไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักทักทายกับปูตัวน้อยที่วิ่งหนีลงรู
และพวกมันก็ทิ้งร่องรอยการวิ่งลงรูนั้นออกรูนี้ไว้เป็นลวดลายงานศิลป์บนพื้นทรายอย่างงดงาม
การมาเยือนหาดหัวหินถิ่นนี้อีกครั้งหนึ่ง
ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพ ที่มีผู้คนมากหน้าหลายชาติพันธุ์ขึ้น อาคาร
ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ก็งอกตามมามากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ
ท้องทะเล ยังไงก็ยังเป็นที่พึ่งพิง ที่พักให้อาศัยยามกายล้าใจเหนื่อย
เป็นสิ่งที่ช่วยให้กำลังใจกำลังกายได้รับการฟื้นฟูบำบัดได้เสมอ ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูสุดลูกตา
คลื่นที่พัดพาจากท้องทะเลและโยนตัวลงระนาบกับหาดทรายด้วยความอ่อนโยนดูกี่ครั้งเห็นกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ
พื้นทรายที่เหยียบย่ำพอค่ำคืนก็ตกอยู่ใต้แผ่นน้ำ ใช่...นี่ก็คือ
อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เป็นความฉงนที่แฝงเร้นไปด้วยสัจจะธรรม น้ำทะเลกับหาดทราย
น้ำขึ้นและน้ำลง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ยามเย็นน้ำทะเลก็จะค่อยๆขึ้น
กลืนกินหาดทรายให้เหลือพื้นที่น้อยลง จวบจนค่ำคืนความมืดมิดปิดบัง
หาดทรายก็มักจะหดหายกลายเป็นพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ ดูน่าเกรงขาม
ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็ให้คำอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้กันมากกว่าดวงอาทิตย์
จึงทำให้น้ำขึ้นในตอนกลางคืน นั่นก็เป็นกฎเกณฑ์แห่งสิ่งสร้าง
แต่สำหรับเราผู้ที่ยืนชื่นชมความงามของหาดทรายอยู่นี้
มีสิ่งที่ให้ตระหนักอยู่เสมอนั่นคือ ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมัน
แต่เรามักใจร้อน ชอบเร่งรัด โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้ดังใจนึก ก็มักดิ้นรนจนล้นจนลาน เวลาของแต่ละอย่าง
แต่ละคน แต่ละครั้งยาวนานไม่เหมือนกัน อยู่ที่ใจเรา
เวลาของทุกข์มักยาวนานกว่าเวลาสุข
ใช่หรือไม่
เวลาเราพบกับความทุกข์เราก็ยิ่งทุกข์ขึ้น เพราะว่าใจเรามันเร่าร้อนอยากจะพ้นทุกข์
เหมือนกับวันไหนที่เรานอนไม่หลับ ก็มักจะดูนาฬิกาบ่อยๆ ดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว
ดูแล้วดูอีก และก็บ่นว่า “ทำไม??? เวลาวันนี้มันเดินช้าจัง” ทั้งๆที่เวลาก็เท่าเดิม
ยามเราตกอยู่ในทุกข์ เราก็มักจมอยู่กับทุกข์
หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์อย่างรู้เท่าทันอย่างรู้ตัว ไม่นานเราก็จะผ่านพ้นทุกข์ครั้งนี้ไปได้
แล้วก็เตรียมตัวเรากับทุกข์ครั้งใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
เรามิอาจจะพ้นทุกข์ไปได้
เพียงแต่เราจะอยู่กับทุกข์ได้อย่างไรคือหัวใจของการดำรงชีวิตอยู่ต่างหาก
สิ่งหนึ่งที่มักจะวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดเสมอๆ
นั่นคือ การที่เรามักคาดหวัง ยึดโยงอยู่กับผู้อื่น อยากจะให้คนนั้นเป็นอย่างใจนึก
อยากจะให้คนนี้เป็นอย่างใจคิด พอไม่ได้เช่นนี้เช่นนั้น เราก็รู้สึกผิดหวัง ยิ่งในยุคที่เราต่างก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
การจะยอมกันมีน้อยลง อยู่กับตัวเองหลงกับตัวเอง จนลืมมองคนรอบข้าง แต่ชอบเรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่น
ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความตรอมทุกข์ เราต้องหยุดที่จะเรียกร้องจากผู้อื่น
หันกลับมาทำตัวเองให้หลุดจากกรอบที่เราครอบไว้
มีชีวิตเพื่อผู้อื่นโดยเฉพาะคนที่อยู่กับเราบ้าง ให้ความสำคัญต่อกัน
ดูแลกายห่วงใยใจกันและกัน พร้อมที่จะยืนและรอเวลารุ่งเช้าด้วยกันบ้าง
ชีวิตก็จะพบความสวยงามได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปกับความมืดมิด จนชีวิตไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเป็นเช่นไร
และแล้วเช้าของวันใหม่ก็มาพร้อมกับความงามของหาดทรายอีกวัน
แสงตะวันของวันใหม่ วันแห่งการเริ่มต้น ฉายแสงส่องเป็นประกาย กระทบแผ่นน้ำ
หลังจากพ้นห้วงแห่งทุกข์ย่อมพบแรกแย้มของสุข ฟ้าหลังฝนงามเช่นใด
หาดยามน้ำลงก็งดงามเช่นนั้น
ยามช่วงที่ชีวิตมีสุขก็จงเก็บความงดงามเป็นพลังเพื่อเผชิญทุกข์ในครั้งต่อไป
การก้าวหน้าของชีวิตเรานั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเดินทางผ่านทางทุกข์
เก็บไว้เป็นภูมิคุ้มกัน
หาดทรายยามน้ำลดลงคงเหลือเศษซากที่ไหลมากับน้ำทะเลให้ได้เห็นบ้าง อาจจะเป็นเศษขยะ
เศษไม้ แต่เมื่อเทียบกับหาดที่ยาวไกลแล้ว เศษซากเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอันใด
ชีวิตเราล่ะยังคงปล่อยให้เศษซากขยะรกรุงรังในวันที่ผ่านพ้นทุกข์มาแล้วหรือ
ลืมเลือนไป ให้อภัยใจเราก็สงบ...