วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

สายธารพระเมตตา


สายธารพระเมตตา
ชีวิตคนเราบางทีก็มีเรื่องให้แปลกใจ ได้คิดได้อ่านอยู่เสมอๆ ก็แค่เพียงช่วงห่างกันไม่กี่วัน สิ่งที่พบเจอดูเหมือนจะต่างกันอย่างสุดขั้ว ในวันหนึ่งเราอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงที่เราคุ้นเคย จนเกือบจะคุ้นชินกับอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวเกือบจะ 40 องศา แต่เพียงข้ามวันเราก็มาอยู่ในสถานที่แปลกตา และไม่เคยคุ้นมาก่อน ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น 1 องศา แถมด้วยหิมะโปรยลงมา มีวิถีชีวิตและใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ในถิ่นแปลกหูแปลกตา ก็ต้องกลับคืนสู่ยังถิ่นฐานเดิม กลับมาอยู่กับความร้อน อยู่กับความคุ้นเคยที่เราคิดถึงและโหยหา ทั้งที่นอน ห้องน้ำและอาหารการกิน แต่ชีวิตเราก็มักเรียกร้องให้ไปยังต่างถิ่นเพื่อให้คิดถึงถิ่นเดิมเสมอๆ

เมื่อกลับมา ก็เป็นช่วงเวลาแห่งวันหยุดยาวแห่งชาติ ชีวิตช่วงหยุดสงกรานต์ที่ทุกคนพร้อมกันนัดหมาย มุ่งหน้าหันหลังให้เมืองหลวง ช่วงเวลานี้เองที่เราขอจับจองสนองความรื่นไหลที่จะไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก เพราะรถราหายไปจากถนนเกือบหมดดังต้องคำสาป เวลาช่วงนี้จึงเหมาะกับการใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มเล็กๆของคนมักคุ้น ที่ใช้เวลาว่างเว้นภารกิจออกท่องไปยังที่เดียวกัน ใช้ชีวิตหมู่คณะเล็กๆ เพื่อเสริมเติมกระชับความสัมพันธ์ในนามของชุมชนแห่งมิตรภาพให้มากขึ้น นั่นคือการนัดหมายเดินทางไปเยี่ยมเยียนและรดน้ำบิดามารดาของคุณพ่อเจ้าวัด คุณพ่อสุพจน์ และคุณพ่อปลัด คุณพ่อนัฏฐวี ในแบบเช้าไปเย็นกลับ บ้านของคุณพ่อทั้งสองเหมือนๆกันคือมีลำคลองเล็กๆ เป็นสายธารนำความร่มเย็นให้กับคณะผู้มาเยือน จะต่างกันก็ตรงที่บ้านคุณพ่อนัฏฐวีเป็นน้ำกร่อย บ้านคุณพ่อสุพจน์เป็นน้ำจืด และคนที่สนุกสนานที่สุดคงเป็นเด็กๆในคณะที่ได้ลงน้ำกันอย่างชุ่มปอด สำหรับเราผู้ใหญ่ก็นั่งตั้งวงพูดคุยสนทนาเฮฮา สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันแบบไม่เขินอาย ใช่หรือไม่ บางทีชีวิตที่ต่างคนต่างไปก็ทำให้ความสัมพันธ์ห่างหายกันไป จนกระทั่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่เราต้องมาใช้ลมหายใจร่วมกันในที่ๆเดียวกัน หัวใจแห่งมิตรภาพก็งอกงามขึ้นมาด้วยออกซิเจนที่ใช้ร่วมกัน...

ในวันที่คณะเราเดินทางไปบ้านของคุณพ่อเจ้าอาวาส บ้านตั้งอยู่ริมคลองเจ้าเจ็ด มีโอกาสลงเรือล่องลำคลอง ตลอดสองข้างริมตลิ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี มีนกกาบินว่อน  มีวัดวาตั้งอยู่ในทุกชุมชน แต่ผู้คนกลับบางตา (เพราะต่างย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองกันหมด) ทำให้คิดไปถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิตที่อยู่กับอีกคณะหนึ่ง ได้เดินทางไปฉลองพระเมตตายังประเทศโปแลนด์ สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไปเต็มไปด้วยหิมะขาวโผลน ผู้คนประเทศนี้เขาอยู่กันได้อย่างไร หนาวแสนหนาวเยี่ยงนี้ เช่นกันตลอดสองข้างทางเราก็มักพบชุมชนเล็กๆและในชุมชนก็จะมีวัดมีโบสถ์เล็กๆประจำอยู่ด้วยเสมอ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นผู้คน ใจหนึ่งก็คิดว่าหนาวๆเช่นนี้จะมีคนไปร่วมฉลองสักกี่คน แต่ผู้จัดทัวร์เที่ยวนี้ (เจ๊ยิ้ม) ก็เล่าให้ฟังว่าคนจะเยอะมาก จนไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดที่ไกลๆและเดินเป็นกิโลๆ เราก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แล้วเมื่อวันฉลองมาถึง เหตุการณ์ก็เป็นดังนั้น แม้ว่าคณะเราจะมาถึงวัดพระเมตตาและอารามของนักบุญซิสเตอร์โฟสตินา ก่อนเป็นชั่วโมง รถบัสของเราก็ต้องไปจอดในที่ไกลๆและเดินมายังวัด เรามองเห็นหลายคณะเดินมาเป็นหมู่ เป็นกลุ่มๆ เริ่มเห็นถึงความศรัทธา ในท่ามกลางอากาศหนาวยังมีผู้อาสามาทำหน้าที่โบกรถ ดูแลความปลอดภัยในการข้ามถนน 
และเมื่อมาถึงยังวัด เห็นผู้คนเริ่มหนาตา บริเวณรอบๆวัดจัดให้เป็นสถานที่เดินรูปสิบสี่ภาค หลายคนกำลังเดินรูปในความหนาวเย็น คณะเรามองหาทางเข้าวัดที่มีแต่ฝูงชนเต็มไปหมด ความหนาวเย็นของอากาศถูกความร้อนรนศรัทธาในพระเจ้าของผู้คนที่ร่วมอยู่ ณ ตรงนั้น เวลานั้น ทำให้อบอุ่นขึ้นมาในทันที ในจังหวะที่เราหาทำเลเหมาะๆเพื่อร่วมฟังมิสซาอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งว่าตรงที่เรายืนอยู่ คือ ประตูทางเข้าซึ่งกำลังจะเปิดในอีกไม่กี่นาทีนี้ เราจึงไปยืนต่อแถว สักพักหนึ่งคลื่นมหาชนก็ถูกผลักถูกดึงดูดให้เข้าไปในกลางวัด หนึ่งในพวกเราสังเกตเห็นว่าบนชั้นลอยยังมีที่นั่งเราจึงพยายามแหวกกลุ่มคนมุ่งหน้าไปยังบันได และก็เบียดตัวเพื่อขึ้นไปข้างบน ที่สุดเราก็ได้มานั่งยังที่ที่มองเห็นพระแท่นและได้ร่วมมิสซาได้อย่างดียิ่ง แม้ว่าตลอดทั้งมิสซาเราจะฟังภาษาไม่รู้เรื่องเลย เพราะเขาใช้ภาษาโปแลนด์ แต่เรากลับรู้สึกถึงพระพรที่เราได้รับในวันนั้น เราได้เห็นผู้คนอีกมากมายที่อยู่ด้านล่างและต้องยืนตลอดมิสซา แต่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา 
และในวันนี้...มีเวลามานั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บนเปลญวนริมลำคลองเจ้าเจ็ด ทำให้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในทุกที่ทุกเวลา ทุกลมหายใจ และที่สำคัญผ่านมาทางผู้คนที่เราสัมผัสได้ไม่ว่าจากคนที่มักคุ้น หรือจากคนที่เราเพียงพบผ่านไป พระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งกว่าสายน้ำเย็นที่ไหลไป เพราะพระเมตตานั้นไหลมาแต่ไม่เคยไหลผ่านไปอย่างไร้ค่า ยังคงกลับมาให้เราได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า เป็นเราเองที่จะสัมผัสพระเมตตานั้นและใช้พระเมตตานั้น ให้กับใครได้บ้าง โดยไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกบุคคล ตรงนี้ต่างหากที่เรายังไม่หลุดพ้นความเป็นคนไปได้ แต่เราก็ต้องหมั่นเพียรทำต่อไปและมั่นใจเสมอว่า เราได้รับพระเมตตามาฉันใด เราก็ควรมีเมตตาต่อผู้คนรอบข้างในทุกเวลาด้วยฉันนั้น เราจึงจะได้สัมผัสพระองค์ในชีวิตของเรา
นักบุญโฟสตินากล่าวว่า จงขอความเมตตาของเราสำหรับมวลมนุษย์ทั่วโลก วิญญาณใดที่ร่ำร้องขอความเมตตาจากเรา จะไม่ผิดหวัง เพราะความเมตตาของเรายิ่งใหญ่กว่าบาปของเจ้า และบาปของทั่วโลก
      (15 เมษายน บนเปลญวน ริมลำคลองเจ้าเจ็ด...นึกย้อนไปยังโปแลนด์ดินแดนพระเมตตา...)

ไม่มีความคิดเห็น: