วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำได้แต่อย่าลืมที่จะ...


ทำได้แต่อย่าลืมที่จะ...
ในวันนี้ วันที่เทคโนโลยีเป็นมากกว่าความสะดวกสบาย กลายเป็นลมหายใจและวิถีชีวิตของผู้คนไปเสียแล้ว ทุกวินาทีต้องมีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอยู่เคียงข้างกาย คอยเป็นห่วง และหวง ยิ่งกว่าคนรักเสียอีก จนอาจพูดได้ว่า มนุษย์ยุคไอที มีอุปกรณ์ไฮเทคเป็นอวัยวะส่วนที่ 33 อยากจะรู้อะไรก็เปิดกูเกิ้ล ไม่ต้องฝึกสมองให้มีความจำ เพราะเรามีหน่วยความจำรวมศูนย์ของคนทั้งโลกอยู่ ความทรงจำอาจจะไม่เหลือเลยในลิ้นชักแห่งความหลัง เพราะเพียงเปิดคลังภาพก็ย้อนไปในอดีตได้ ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการและสุนทรียะใดๆ อยากเก็บภาพประทับใจก็ยกกล้องขึ้นถ่าย พูดกันแบบจริงๆยอมรับแบบตรง จะมีใครสักกี่คนที่เฝ้าย้อนกลับไปดูภาพที่เคยถ่าย เรื่องที่เคยโพสต์ไว้ในหน่วยความจำดิจิทัล เพราะในแต่ละวันมักมีเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอๆแทบจะทุกวินาที อยากติดต่อสื่อสารกับใคร ก็ง่ายเพียงนิ้วสัมผัสเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือแซตผ่านโปรแกรมพูดคุยบนมือถือ ชีวิตที่แยกไม่ขาดกับเทคโนโลยีเช่นนี้ ทำให้ความสะดวกสบายกลายเป็นสิ่งสามัญธรรมดา เป็นความเคยชินที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่เคยมีคุณค่ากลับจางหายไป ด้านหนึ่งของวิวัฒนาการในชีวิตมนุษย์วันนี้จึงถูกกำหนดโดยเทคโนโลยี

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมใหม่ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นหลังการกำเนิดมาของสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่า สมองพฤติกรรมของมนุษย์กำลังถูกเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยี แต่ที่สำคัญ คือเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยเราไม่รู้ตัว วัฒนธรรมยุคนี้เก็บภาพได้อย่างง่ายดายเพียงยกกล้องขึ้นแล้วกดผ่านโทรศัพท์นั้น ภาพที่เราถ่ายก็ถูกบันทึกเป็นภาพสาธารณะที่เหมือนบังคับให้ใครก็ได้ต้องดู และสิ่งที่นิยมกันมาก นั่นคือ การถ่ายรูปอาหารก่อนกิน Mashable.com เปิดเผยผลการวิจัยของ 360i เรื่องพฤติกรรมผู้คนในยุคนี้ ที่อาจเรียกได้ว่าเสพติดการถ่ายรูปอาหารก่อนกิน ข้อมูลของผลวิจัยดังกล่าว ที่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นชาวอเมริกันที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอาหารก่อนทานเป็นชีวิตจิตใจ ระบุว่า เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เกิดเทรนด์การถ่ายภาพอาหารก่อนกิน คือ ความต้องการจะบอกกล่าวให้รู้ว่า วันนี้ฉันทานอะไรบ้าง  บางทีก็เป็นการโชว์อาหารฝีมือของตัวเอง หรือโชว์อาหารที่ทานในวาระและโอกาสพิเศษๆ รวมถึงเหตุผลด้านอื่นๆ อาทิ ความสวยงามด้านสีสันและการจัดวาง การได้ใช้เวลาอยู่กับคนพิเศษ การพูดคุยถึงร้านอาหาร การบอกถึงสูตรเด็ดเคล็ดลับ และอาหารแปลกๆ ที่อาจจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน (ซึ่งถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนบริโภคนิยมได้อย่างเข้าตรงเป้าหมาย : ความคิดของ คนข้างวัด)
ผลวิจัยของ 360i ระบุอีกว่า ในช่วงปี 2010 มีภาพอาหารชนิดต่างๆ มากกว่า 80,000,000,000 ภาพจากทั่วทุกมุมโลก อัพโหลดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นการถ่ายภาพแล้วอัพโหลดจากโทรศัพท์โดยตรง 52% ถ่ายภาพแล้วอัพโหลดผ่านเว็บต่างๆ อาทิ Facebook, Twitter, Picasa, Flickr อีก 19% โดยเฉพาะ Flickr นั้น มีการตั้งกลุ่ม “I Ate This” ที่ให้คนมาแชร์ภาพอาหารนั้น มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 23,000 คน ในประเทศไทยก็มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบเทรนด์การถ่ายภาพอาหาร สร้างหน้าแฟนเพจบนเฟซบุ๊กชื่อ ชุมชนคนชอบถ่ายภาพของกินก่อนกิน”  ให้ได้คลิกไลค์และโพสต์รูปอาหาร
อันที่จริง เทรนด์ถ่ายรูปอาหารเป็นพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วประมาณสัก 4-5 ปีที่แล้ว หลังกล้องดิจิทัลถูกพัฒนาให้คนกล้าถ่ายรูปมากขึ้น และได้รับความแพร่หลายยิ่งขึ้น เมื่อสมาร์ทโฟนเข้าสู่ตลาด ทำให้กระบวนการถ่ายง่ายขึ้น เพียงแค่ แชะ แล้ว แชร์ ถึงวันนี้พฤติกรรมการถ่ายภาพอาหาร กลายเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านอาหารต่างๆ และได้พัฒนาจากเทรนด์สู่วิถีชีวิต

เมื่อพูดถึงตรงนี้ มีแง่มุมหนึ่งให้หวนคิดในฐานะที่เราเป็นชาวคริสต์ ที่เมื่อก่อน ก่อนที่เราจะรับประทานอาหาร เมื่อทุกอย่างถูกนำมาวางพร้อมแล้ว เราทำอะไรก่อนกิน ยังจำกันได้ไหม!!! เราจะสวดภาวนาขอบคุณพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ขอบคุณคนเตรียม คนทำอาหาร คนที่ปลูกข้าว ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ที่เป็นอาหารสำหรับเราในวันนี้ เราได้ระลึกถึงคุณค่าของผู้ที่ได้ทำให้เรากิน ก็เพื่อย้ำเตือนว่ากว่าจะมาเป็นอาหารที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ ผ่านมือผู้คนมาหลายคน เราจึงต้องรับประทานอาหารนั้นอย่างเห็นคุณค่า แต่วันนี้เราคงหลงลืมวิถีชีวิตเหล่านี้หมดแล้ว พอเห็นอาหารต้องรีบหยิบยกกล้องขึ้นกด ส่งให้เพื่อนดู ให้ดูเพื่อโชว์ เพื่อเย้ยหยันเพื่อน เพื่ออวด เพื่อเพิ่มรสนิยม เพื่อให้โลกรู้ เช่นนี้หรือไม่ เราลืมที่จะขอบคุณพระเจ้า แต่เทิดทูนวัตถุกันมากขึ้น แน่หล่ะ...เราอยู่ในยุคเช่นนี้ เราอาจจะหลีกเลี่ยงวัฒนธรรมรวมหมู่เหล่านี้ไม่ได้ แต่โปรดอย่าลืมวัฒนธรรมอันดีงามของเราเลย ก่อนกิน ก่อนถ่ายรูป ขอบคุณพระเจ้าสักนิดหนึ่งก่อน ที่พระองค์ได้ประทานอาหารให้แก่เรา อย่าลืมว่า ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า สงสารบรรดาเด็กตาดำๆ ที่แอบเห็นภาพอาหารของเราอย่างหิวโหย
และแน่นอนยิ่งนับวัน เทคโลโลยีย่อมเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พฤติกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกยุคไอที คงมีพฤติกรรมใหม่ๆ อีกมากมายเกิดขึ้นตามมา เพราะโลกวันนี้วิ่งเร็วเสียกว่าความเร็วแสง เราอาจรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่อาจมองเห็น หากไม่รู้เท่าทันและหลงระเริงไปกับเทคโนโลยี จนไม่สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป สังคมเราอาจกลายเป็นเพียงสังคมที่มีแต่ผู้ถูกกระแสเทคโนโลยีพัดพา ไปตามยถากรรม โดยหันหลังให้กับหลักยึดเหนี่ยวของชีวิต และคุณค่าทางจิตวิญญาณก็จะสูญหายไป คงเหลือแต่เพียงข้ออ้างทางเสรีภาพ และสิทธิส่วนบุคคลเท่านั้นที่นำมาเป็นธงนำหน้า เราคริสตชนเราอยู่ในสังคมแบบนี้ ทำแบบนั้นได้แต่เราต้องไม่ลืมที่จะใส่คุณค่าของเราลงไปด้วย เริ่มต้นจากที่กล่าวมา ก่อนจะถ่ายรูปอาหาร สวดขอบคุณพระเจ้าก่อน...

ไม่มีความคิดเห็น: