จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา
เพื่อจะเข้าสู่ประเทศโปแลนด์
คณะทัวร์แสวงบุญของเราต้องนั่งเครื่องไปลงประเทศฮังการี แล้วเดินทางต่อด้วยรถบัส
ตลอดระหว่างทางเราก็พบหิมะตกปกคลุมไปทั่ว ซึ่งโดยปกติในช่วงเดือนเมษายนน่าจะหมดหิมะแล้ว
จึงเป็นข้อสังเกตว่า อากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันในทุกหย่อมหญ้า
ถิ่นแดนร้อนก็ร้อนสูงขึ้น ถิ่นแดนหนาวก็หนาวนานและหนาวมากขึ้น
สิ่งสร้างถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่งในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ความสมดุลทางธรรมชาติจึงเริ่มเอนเอียง
เป็นหน้าที่ของเรามิใช่หรือ...ที่จะร่วมกับสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในโลกนี้
พูดถึงเรื่องความสมดุลแล้วก็ทำให้คิดว่า
ในบางช่วงเวลามนุษย์เราก็สร้างความโน้มเอียงให้กับโลกด้วยการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง
แต่ไม่ช้าไม่นานพระเจ้าก็จะจัดสมดุลให้เกิดขึ้นเองอยู่เสมอๆ
พระองค์ผู้ไม่เคยทอดทิ้งเรา ความคิดนี้แล่นเข้ามาในระหว่างเส้นทางไปยังโปแลนด์
ผู้นำทางได้เล่าปูมหลังของดินแดนแห่งนี้ ที่ต้องผ่านศึกสงครามมาอย่างยาวนาน ใช่หรือไม่
การเดินทางท่องเที่ยวบางครั้งก็เหมือนกับการเดินไปในเส้นทางที่เคยแสนทุกข์ยากของมนุษย์
แต่วันนี้เป็นเพียงสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา และถ้าเราจะเข้าใจโลกให้มากขึ้น
การเดินทางผ่านทางทุกข์ของประวัติมนุษย์นั้น เป็นเครื่องย้ำเตือนเราว่า เราไม่ควรที่จะมีจิตวิญญาณแห่งความโหดร้ายต่อกันอีกเลย…
โปแลนด์ หรือชื่อทางการคือ
สาธารณรัฐโปแลนด์
เป็นประเทศในตอนกลางของยุโรป รัฐโปแลนด์ก่อตั้งเมื่อมากกว่า 1,000 ปีก่อน ตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่
16 เป็นยุคที่โปแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในยุโรป
หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศโปแลนด์ได้ถูกแบ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ออสเตรีย
และปรัสเซีย ได้รับเอกราชใหม่ ในปี 1918 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โปแลนด์กลายเป็นรัฐบริวารที่เป็นคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตภายใต้ชื่อสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพของขบวนการโซลิดาริตี
และเป็นการพ่ายแพ้ของผู้นำคอมมิวนิสต์ของโปแลนด์ มีการก่อตั้งสาธารณรัฐโปแลนด์ ในปัจจุบัน
และในปี 2004 ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป
จะเห็นว่าโปแลนด์นั้นผ่านเรื่องของการรบรามาโดยตลอด
เป็นเมืองขึ้นของประเทศโน่นประเทศนี้ โดยเฉพาะในเมืองคราคูฟ
เป็นเมืองแห่งการทำสงคราม การรบที่เมืองคราคูฟ นับเป็นการรบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของเยอรมันภายหลังจากความพ่ายแพ้ที่สตาลินกราด
เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายในแนวรบด้านตะวันออก
ที่ทำให้แนวรบของเยอรมันกลับมามีความแข็งแกร่งมั่นคงดังเดิม
แต่ในระหว่างการรบราแย่งชิงแดนกันนั้น
พระเจ้าได้จัดสมดุลอย่างเงียบๆ ผ่านทางเด็กชายคนหนึ่ง คือ คาโรล วอยติวา
เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1920 ที่หมู่บ้านวาโดวิเซ
ใกล้เมืองคราคูฟ
บิดาเป็นทหารมียศเป็นจ่าทหารและเกษียณราชการแล้ว มารดาเสียชีวิต
เมื่อคาโรลยังเป็นเด็ก คาโรลเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ ชอบการกีฬาเป็นอันมาก
ชอบบทกวีและการแสดงละคร เข้ารับการศึกษา
ที่มหาวิทยาลัยในเมืองคราคูฟ เมื่อปี ค.ศ.1938 เรียนทางวรรณกรรมและภาษาโปแลนด์
เนื่องจากท่านชื่นชอบการแสดง เพื่อนๆ หลายคนก็คิดว่าท่านคงจะยึดอาชีพนักแสดงตามโรงละครมากกว่าเข้าบ้านเณรเพื่อบวชเป็นพระสงฆ์
ในปี 1939 กองทัพนาซีได้บุกยึดโปแลนด์ มหาวิทยาลัยปิด คาโรล
ต้องแอบเรียนส่วนตัว และทำงานในโรงงานตัดหิน มีหน้าที่ดูแลระบบส่งน้ำของโรงงาน
เมื่อบิดาจากไปแล้วและท่านเองก็ประสบอุบัติเหตุที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด (โดนรถชน)
ท่านได้เบนเข็ม ชีวิตมาที่การบวชเป็นพระสงฆ์ โดยเข้ารับการศึกษาที่บ้านเณร ซึ่งเปิดสอนลับ
ๆ แบบทำงานใต้ดิน เมื่อสงครามยุติลงในปี 1945
คาโรลก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยต่อจนจบการศึกษาในปี 1946
จากนั้นได้รับศีลบวช ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1946
สองปีต่อมาทางผู้ใหญ่ก็ส่งท่านไปเรียนที่โรม
เพื่อทำปริญญาเอกทางเทววิทยา เมื่อจบการศึกษาจากโรมแล้วก็เดินทางกลับโปแลนด์
ทำหน้าที่พระสงฆ์ประจำวัดอยู่สามปี
จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาปริญญาเอกทางด้านปรัชญาที่โรมอีกครั้ง
ในปี 1956 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาจริยศาสตร์ที่ลูบลิน
ในปี 1958 ท่านก็ต้องแปลกใจกับตัวเองที่ได้รับเลือกเป็นพระสังฆราชผู้ช่วยแห่งสังฆมณฑลคราคูฟ
5 ปีต่อมา
พระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระสังฆราชแห่งคราคูฟ
จากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน 1967
ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัลขณะอายุเพียง 47 ปี เท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระคาร์ดินัลที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพระคาร์ดินัลทั่วโลก
ท่านได้ร่วมกับพระคาร์ดินัลอาวุโสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามยุโรปในเวลา
นั้นอย่างแข็งขัน ในปี 1976 ท่านได้รับเกียรติให้ไปเทศน์ให้พระสันตะปาปาในช่วงเทศกาลมหาพรต จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็ค่อย ๆ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เป็นต้นในบรรดาพระคาร์ดินัลทั้งหลาย
เมื่อพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 1 สิ้นพระชนม์อย่างปัจจุบันทันด่วน
บรรดาพระคาร์ดินัลต่างก็ถูกเรียกตัวกลับโรมอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งพระสันตะปาปา
ซึ่งผ่านไปเพียงเดือนเดียว และในครั้งนี้ท่านได้รับเลือกเป็น สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ที่ทำให้โปแลนด์แดนอันตรายกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
(โปรดติดตามความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ได้ในสัปดาห์หน้า)