วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา


จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา
            เพื่อจะเข้าสู่ประเทศโปแลนด์ คณะทัวร์แสวงบุญของเราต้องนั่งเครื่องไปลงประเทศฮังการี แล้วเดินทางต่อด้วยรถบัส ตลอดระหว่างทางเราก็พบหิมะตกปกคลุมไปทั่ว ซึ่งโดยปกติในช่วงเดือนเมษายนน่าจะหมดหิมะแล้ว จึงเป็นข้อสังเกตว่า อากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันในทุกหย่อมหญ้า ถิ่นแดนร้อนก็ร้อนสูงขึ้น ถิ่นแดนหนาวก็หนาวนานและหนาวมากขึ้น สิ่งสร้างถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่งในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสมดุลทางธรรมชาติจึงเริ่มเอนเอียง เป็นหน้าที่ของเรามิใช่หรือ...ที่จะร่วมกับสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในโลกนี้

            พูดถึงเรื่องความสมดุลแล้วก็ทำให้คิดว่า ในบางช่วงเวลามนุษย์เราก็สร้างความโน้มเอียงให้กับโลกด้วยการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ไม่ช้าไม่นานพระเจ้าก็จะจัดสมดุลให้เกิดขึ้นเองอยู่เสมอๆ พระองค์ผู้ไม่เคยทอดทิ้งเรา ความคิดนี้แล่นเข้ามาในระหว่างเส้นทางไปยังโปแลนด์ ผู้นำทางได้เล่าปูมหลังของดินแดนแห่งนี้ ที่ต้องผ่านศึกสงครามมาอย่างยาวนาน ใช่หรือไม่ การเดินทางท่องเที่ยวบางครั้งก็เหมือนกับการเดินไปในเส้นทางที่เคยแสนทุกข์ยากของมนุษย์ แต่วันนี้เป็นเพียงสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา และถ้าเราจะเข้าใจโลกให้มากขึ้น การเดินทางผ่านทางทุกข์ของประวัติมนุษย์นั้น เป็นเครื่องย้ำเตือนเราว่า เราไม่ควรที่จะมีจิตวิญญาณแห่งความโหดร้ายต่อกันอีกเลย
โปแลนด์ หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐโปแลนด์ เป็นประเทศในตอนกลางของยุโรป รัฐโปแลนด์ก่อตั้งเมื่อมากกว่า 1,000 ปีก่อน ตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นยุคที่โปแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในยุโรป หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศโปแลนด์ได้ถูกแบ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ออสเตรีย และปรัสเซีย ได้รับเอกราชใหม่ ในปี 1918 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โปแลนด์กลายเป็นรัฐบริวารที่เป็นคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตภายใต้ชื่อสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพของขบวนการโซลิดาริตี และเป็นการพ่ายแพ้ของผู้นำคอมมิวนิสต์ของโปแลนด์ มีการก่อตั้งสาธารณรัฐโปแลนด์ ในปัจจุบัน และในปี 2004 ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป


จะเห็นว่าโปแลนด์นั้นผ่านเรื่องของการรบรามาโดยตลอด เป็นเมืองขึ้นของประเทศโน่นประเทศนี้ โดยเฉพาะในเมืองคราคูฟ เป็นเมืองแห่งการทำสงคราม การรบที่เมืองคราคูฟ นับเป็นการรบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของเยอรมันภายหลังจากความพ่ายแพ้ที่สตาลินกราด เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายในแนวรบด้านตะวันออก ที่ทำให้แนวรบของเยอรมันกลับมามีความแข็งแกร่งมั่นคงดังเดิม 
            แต่ในระหว่างการรบราแย่งชิงแดนกันนั้น พระเจ้าได้จัดสมดุลอย่างเงียบๆ ผ่านทางเด็กชายคนหนึ่ง คือ คาโรล วอยติวา เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1920 ที่หมู่บ้านวาโดวิเซ ใกล้เมืองคราคูฟ บิดาเป็นทหารมียศเป็นจ่าทหารและเกษียณราชการแล้ว มารดาเสียชีวิต เมื่อคาโรลยังเป็นเด็ก คาโรลเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ ชอบการกีฬาเป็นอันมาก ชอบบทกวีและการแสดงละคร  เข้ารับการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยในเมืองคราคูฟ เมื่อปี ค.ศ.1938 เรียนทางวรรณกรรมและภาษาโปแลนด์ เนื่องจากท่านชื่นชอบการแสดง เพื่อนๆ หลายคนก็คิดว่าท่านคงจะยึดอาชีพนักแสดงตามโรงละครมากกว่าเข้าบ้านเณรเพื่อบวชเป็นพระสงฆ์
ในปี 1939 กองทัพนาซีได้บุกยึดโปแลนด์ มหาวิทยาลัยปิด คาโรล ต้องแอบเรียนส่วนตัว และทำงานในโรงงานตัดหิน มีหน้าที่ดูแลระบบส่งน้ำของโรงงาน เมื่อบิดาจากไปแล้วและท่านเองก็ประสบอุบัติเหตุที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด (โดนรถชน) ท่านได้เบนเข็ม ชีวิตมาที่การบวชเป็นพระสงฆ์ โดยเข้ารับการศึกษาที่บ้านเณร ซึ่งเปิดสอนลับ ๆ แบบทำงานใต้ดิน เมื่อสงครามยุติลงในปี  1945 คาโรลก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยต่อจนจบการศึกษาในปี 1946 
จากนั้นได้รับศีลบวช ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1946 สองปีต่อมาทางผู้ใหญ่ก็ส่งท่านไปเรียนที่โรม เพื่อทำปริญญาเอกทางเทววิทยา เมื่อจบการศึกษาจากโรมแล้วก็เดินทางกลับโปแลนด์ ทำหน้าที่พระสงฆ์ประจำวัดอยู่สามปี จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาปริญญาเอกทางด้านปรัชญาที่โรมอีกครั้ง 
ในปี 1956 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาจริยศาสตร์ที่ลูบลิน ในปี 1958 ท่านก็ต้องแปลกใจกับตัวเองที่ได้รับเลือกเป็นพระสังฆราชผู้ช่วยแห่งสังฆมณฑลคราคูฟ 
5 ปีต่อมา พระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6  ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระสังฆราชแห่งคราคูฟ จากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน 1967 ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัลขณะอายุเพียง 47 ปี เท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระคาร์ดินัลที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพระคาร์ดินัลทั่วโลก ท่านได้ร่วมกับพระคาร์ดินัลอาวุโสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามยุโรปในเวลา นั้นอย่างแข็งขัน ในปี 1976 ท่านได้รับเกียรติให้ไปเทศน์ให้พระสันตะปาปาในช่วงเทศกาลมหาพรต จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็ค่อย ๆ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เป็นต้นในบรรดาพระคาร์ดินัลทั้งหลาย เมื่อพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่  1 สิ้นพระชนม์อย่างปัจจุบันทันด่วน บรรดาพระคาร์ดินัลต่างก็ถูกเรียกตัวกลับโรมอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ซึ่งผ่านไปเพียงเดือนเดียว และในครั้งนี้ท่านได้รับเลือกเป็น สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่ทำให้โปแลนด์แดนอันตรายกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
(โปรดติดตามความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ได้ในสัปดาห์หน้า) 

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

สายธารพระเมตตา


สายธารพระเมตตา
ชีวิตคนเราบางทีก็มีเรื่องให้แปลกใจ ได้คิดได้อ่านอยู่เสมอๆ ก็แค่เพียงช่วงห่างกันไม่กี่วัน สิ่งที่พบเจอดูเหมือนจะต่างกันอย่างสุดขั้ว ในวันหนึ่งเราอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงที่เราคุ้นเคย จนเกือบจะคุ้นชินกับอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวเกือบจะ 40 องศา แต่เพียงข้ามวันเราก็มาอยู่ในสถานที่แปลกตา และไม่เคยคุ้นมาก่อน ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น 1 องศา แถมด้วยหิมะโปรยลงมา มีวิถีชีวิตและใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ในถิ่นแปลกหูแปลกตา ก็ต้องกลับคืนสู่ยังถิ่นฐานเดิม กลับมาอยู่กับความร้อน อยู่กับความคุ้นเคยที่เราคิดถึงและโหยหา ทั้งที่นอน ห้องน้ำและอาหารการกิน แต่ชีวิตเราก็มักเรียกร้องให้ไปยังต่างถิ่นเพื่อให้คิดถึงถิ่นเดิมเสมอๆ

เมื่อกลับมา ก็เป็นช่วงเวลาแห่งวันหยุดยาวแห่งชาติ ชีวิตช่วงหยุดสงกรานต์ที่ทุกคนพร้อมกันนัดหมาย มุ่งหน้าหันหลังให้เมืองหลวง ช่วงเวลานี้เองที่เราขอจับจองสนองความรื่นไหลที่จะไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก เพราะรถราหายไปจากถนนเกือบหมดดังต้องคำสาป เวลาช่วงนี้จึงเหมาะกับการใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มเล็กๆของคนมักคุ้น ที่ใช้เวลาว่างเว้นภารกิจออกท่องไปยังที่เดียวกัน ใช้ชีวิตหมู่คณะเล็กๆ เพื่อเสริมเติมกระชับความสัมพันธ์ในนามของชุมชนแห่งมิตรภาพให้มากขึ้น นั่นคือการนัดหมายเดินทางไปเยี่ยมเยียนและรดน้ำบิดามารดาของคุณพ่อเจ้าวัด คุณพ่อสุพจน์ และคุณพ่อปลัด คุณพ่อนัฏฐวี ในแบบเช้าไปเย็นกลับ บ้านของคุณพ่อทั้งสองเหมือนๆกันคือมีลำคลองเล็กๆ เป็นสายธารนำความร่มเย็นให้กับคณะผู้มาเยือน จะต่างกันก็ตรงที่บ้านคุณพ่อนัฏฐวีเป็นน้ำกร่อย บ้านคุณพ่อสุพจน์เป็นน้ำจืด และคนที่สนุกสนานที่สุดคงเป็นเด็กๆในคณะที่ได้ลงน้ำกันอย่างชุ่มปอด สำหรับเราผู้ใหญ่ก็นั่งตั้งวงพูดคุยสนทนาเฮฮา สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันแบบไม่เขินอาย ใช่หรือไม่ บางทีชีวิตที่ต่างคนต่างไปก็ทำให้ความสัมพันธ์ห่างหายกันไป จนกระทั่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่เราต้องมาใช้ลมหายใจร่วมกันในที่ๆเดียวกัน หัวใจแห่งมิตรภาพก็งอกงามขึ้นมาด้วยออกซิเจนที่ใช้ร่วมกัน...

ในวันที่คณะเราเดินทางไปบ้านของคุณพ่อเจ้าอาวาส บ้านตั้งอยู่ริมคลองเจ้าเจ็ด มีโอกาสลงเรือล่องลำคลอง ตลอดสองข้างริมตลิ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี มีนกกาบินว่อน  มีวัดวาตั้งอยู่ในทุกชุมชน แต่ผู้คนกลับบางตา (เพราะต่างย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองกันหมด) ทำให้คิดไปถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิตที่อยู่กับอีกคณะหนึ่ง ได้เดินทางไปฉลองพระเมตตายังประเทศโปแลนด์ สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไปเต็มไปด้วยหิมะขาวโผลน ผู้คนประเทศนี้เขาอยู่กันได้อย่างไร หนาวแสนหนาวเยี่ยงนี้ เช่นกันตลอดสองข้างทางเราก็มักพบชุมชนเล็กๆและในชุมชนก็จะมีวัดมีโบสถ์เล็กๆประจำอยู่ด้วยเสมอ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นผู้คน ใจหนึ่งก็คิดว่าหนาวๆเช่นนี้จะมีคนไปร่วมฉลองสักกี่คน แต่ผู้จัดทัวร์เที่ยวนี้ (เจ๊ยิ้ม) ก็เล่าให้ฟังว่าคนจะเยอะมาก จนไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดที่ไกลๆและเดินเป็นกิโลๆ เราก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แล้วเมื่อวันฉลองมาถึง เหตุการณ์ก็เป็นดังนั้น แม้ว่าคณะเราจะมาถึงวัดพระเมตตาและอารามของนักบุญซิสเตอร์โฟสตินา ก่อนเป็นชั่วโมง รถบัสของเราก็ต้องไปจอดในที่ไกลๆและเดินมายังวัด เรามองเห็นหลายคณะเดินมาเป็นหมู่ เป็นกลุ่มๆ เริ่มเห็นถึงความศรัทธา ในท่ามกลางอากาศหนาวยังมีผู้อาสามาทำหน้าที่โบกรถ ดูแลความปลอดภัยในการข้ามถนน 
และเมื่อมาถึงยังวัด เห็นผู้คนเริ่มหนาตา บริเวณรอบๆวัดจัดให้เป็นสถานที่เดินรูปสิบสี่ภาค หลายคนกำลังเดินรูปในความหนาวเย็น คณะเรามองหาทางเข้าวัดที่มีแต่ฝูงชนเต็มไปหมด ความหนาวเย็นของอากาศถูกความร้อนรนศรัทธาในพระเจ้าของผู้คนที่ร่วมอยู่ ณ ตรงนั้น เวลานั้น ทำให้อบอุ่นขึ้นมาในทันที ในจังหวะที่เราหาทำเลเหมาะๆเพื่อร่วมฟังมิสซาอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งว่าตรงที่เรายืนอยู่ คือ ประตูทางเข้าซึ่งกำลังจะเปิดในอีกไม่กี่นาทีนี้ เราจึงไปยืนต่อแถว สักพักหนึ่งคลื่นมหาชนก็ถูกผลักถูกดึงดูดให้เข้าไปในกลางวัด หนึ่งในพวกเราสังเกตเห็นว่าบนชั้นลอยยังมีที่นั่งเราจึงพยายามแหวกกลุ่มคนมุ่งหน้าไปยังบันได และก็เบียดตัวเพื่อขึ้นไปข้างบน ที่สุดเราก็ได้มานั่งยังที่ที่มองเห็นพระแท่นและได้ร่วมมิสซาได้อย่างดียิ่ง แม้ว่าตลอดทั้งมิสซาเราจะฟังภาษาไม่รู้เรื่องเลย เพราะเขาใช้ภาษาโปแลนด์ แต่เรากลับรู้สึกถึงพระพรที่เราได้รับในวันนั้น เราได้เห็นผู้คนอีกมากมายที่อยู่ด้านล่างและต้องยืนตลอดมิสซา แต่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา 
และในวันนี้...มีเวลามานั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บนเปลญวนริมลำคลองเจ้าเจ็ด ทำให้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในทุกที่ทุกเวลา ทุกลมหายใจ และที่สำคัญผ่านมาทางผู้คนที่เราสัมผัสได้ไม่ว่าจากคนที่มักคุ้น หรือจากคนที่เราเพียงพบผ่านไป พระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งกว่าสายน้ำเย็นที่ไหลไป เพราะพระเมตตานั้นไหลมาแต่ไม่เคยไหลผ่านไปอย่างไร้ค่า ยังคงกลับมาให้เราได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า เป็นเราเองที่จะสัมผัสพระเมตตานั้นและใช้พระเมตตานั้น ให้กับใครได้บ้าง โดยไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกบุคคล ตรงนี้ต่างหากที่เรายังไม่หลุดพ้นความเป็นคนไปได้ แต่เราก็ต้องหมั่นเพียรทำต่อไปและมั่นใจเสมอว่า เราได้รับพระเมตตามาฉันใด เราก็ควรมีเมตตาต่อผู้คนรอบข้างในทุกเวลาด้วยฉันนั้น เราจึงจะได้สัมผัสพระองค์ในชีวิตของเรา
นักบุญโฟสตินากล่าวว่า จงขอความเมตตาของเราสำหรับมวลมนุษย์ทั่วโลก วิญญาณใดที่ร่ำร้องขอความเมตตาจากเรา จะไม่ผิดหวัง เพราะความเมตตาของเรายิ่งใหญ่กว่าบาปของเจ้า และบาปของทั่วโลก
      (15 เมษายน บนเปลญวน ริมลำคลองเจ้าเจ็ด...นึกย้อนไปยังโปแลนด์ดินแดนพระเมตตา...)

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำได้แต่อย่าลืมที่จะ...


ทำได้แต่อย่าลืมที่จะ...
ในวันนี้ วันที่เทคโนโลยีเป็นมากกว่าความสะดวกสบาย กลายเป็นลมหายใจและวิถีชีวิตของผู้คนไปเสียแล้ว ทุกวินาทีต้องมีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอยู่เคียงข้างกาย คอยเป็นห่วง และหวง ยิ่งกว่าคนรักเสียอีก จนอาจพูดได้ว่า มนุษย์ยุคไอที มีอุปกรณ์ไฮเทคเป็นอวัยวะส่วนที่ 33 อยากจะรู้อะไรก็เปิดกูเกิ้ล ไม่ต้องฝึกสมองให้มีความจำ เพราะเรามีหน่วยความจำรวมศูนย์ของคนทั้งโลกอยู่ ความทรงจำอาจจะไม่เหลือเลยในลิ้นชักแห่งความหลัง เพราะเพียงเปิดคลังภาพก็ย้อนไปในอดีตได้ ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการและสุนทรียะใดๆ อยากเก็บภาพประทับใจก็ยกกล้องขึ้นถ่าย พูดกันแบบจริงๆยอมรับแบบตรง จะมีใครสักกี่คนที่เฝ้าย้อนกลับไปดูภาพที่เคยถ่าย เรื่องที่เคยโพสต์ไว้ในหน่วยความจำดิจิทัล เพราะในแต่ละวันมักมีเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอๆแทบจะทุกวินาที อยากติดต่อสื่อสารกับใคร ก็ง่ายเพียงนิ้วสัมผัสเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือแซตผ่านโปรแกรมพูดคุยบนมือถือ ชีวิตที่แยกไม่ขาดกับเทคโนโลยีเช่นนี้ ทำให้ความสะดวกสบายกลายเป็นสิ่งสามัญธรรมดา เป็นความเคยชินที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่เคยมีคุณค่ากลับจางหายไป ด้านหนึ่งของวิวัฒนาการในชีวิตมนุษย์วันนี้จึงถูกกำหนดโดยเทคโนโลยี

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมใหม่ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นหลังการกำเนิดมาของสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่า สมองพฤติกรรมของมนุษย์กำลังถูกเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยี แต่ที่สำคัญ คือเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยเราไม่รู้ตัว วัฒนธรรมยุคนี้เก็บภาพได้อย่างง่ายดายเพียงยกกล้องขึ้นแล้วกดผ่านโทรศัพท์นั้น ภาพที่เราถ่ายก็ถูกบันทึกเป็นภาพสาธารณะที่เหมือนบังคับให้ใครก็ได้ต้องดู และสิ่งที่นิยมกันมาก นั่นคือ การถ่ายรูปอาหารก่อนกิน Mashable.com เปิดเผยผลการวิจัยของ 360i เรื่องพฤติกรรมผู้คนในยุคนี้ ที่อาจเรียกได้ว่าเสพติดการถ่ายรูปอาหารก่อนกิน ข้อมูลของผลวิจัยดังกล่าว ที่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นชาวอเมริกันที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอาหารก่อนทานเป็นชีวิตจิตใจ ระบุว่า เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เกิดเทรนด์การถ่ายภาพอาหารก่อนกิน คือ ความต้องการจะบอกกล่าวให้รู้ว่า วันนี้ฉันทานอะไรบ้าง  บางทีก็เป็นการโชว์อาหารฝีมือของตัวเอง หรือโชว์อาหารที่ทานในวาระและโอกาสพิเศษๆ รวมถึงเหตุผลด้านอื่นๆ อาทิ ความสวยงามด้านสีสันและการจัดวาง การได้ใช้เวลาอยู่กับคนพิเศษ การพูดคุยถึงร้านอาหาร การบอกถึงสูตรเด็ดเคล็ดลับ และอาหารแปลกๆ ที่อาจจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน (ซึ่งถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนบริโภคนิยมได้อย่างเข้าตรงเป้าหมาย : ความคิดของ คนข้างวัด)
ผลวิจัยของ 360i ระบุอีกว่า ในช่วงปี 2010 มีภาพอาหารชนิดต่างๆ มากกว่า 80,000,000,000 ภาพจากทั่วทุกมุมโลก อัพโหลดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นการถ่ายภาพแล้วอัพโหลดจากโทรศัพท์โดยตรง 52% ถ่ายภาพแล้วอัพโหลดผ่านเว็บต่างๆ อาทิ Facebook, Twitter, Picasa, Flickr อีก 19% โดยเฉพาะ Flickr นั้น มีการตั้งกลุ่ม “I Ate This” ที่ให้คนมาแชร์ภาพอาหารนั้น มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 23,000 คน ในประเทศไทยก็มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบเทรนด์การถ่ายภาพอาหาร สร้างหน้าแฟนเพจบนเฟซบุ๊กชื่อ ชุมชนคนชอบถ่ายภาพของกินก่อนกิน”  ให้ได้คลิกไลค์และโพสต์รูปอาหาร
อันที่จริง เทรนด์ถ่ายรูปอาหารเป็นพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วประมาณสัก 4-5 ปีที่แล้ว หลังกล้องดิจิทัลถูกพัฒนาให้คนกล้าถ่ายรูปมากขึ้น และได้รับความแพร่หลายยิ่งขึ้น เมื่อสมาร์ทโฟนเข้าสู่ตลาด ทำให้กระบวนการถ่ายง่ายขึ้น เพียงแค่ แชะ แล้ว แชร์ ถึงวันนี้พฤติกรรมการถ่ายภาพอาหาร กลายเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านอาหารต่างๆ และได้พัฒนาจากเทรนด์สู่วิถีชีวิต

เมื่อพูดถึงตรงนี้ มีแง่มุมหนึ่งให้หวนคิดในฐานะที่เราเป็นชาวคริสต์ ที่เมื่อก่อน ก่อนที่เราจะรับประทานอาหาร เมื่อทุกอย่างถูกนำมาวางพร้อมแล้ว เราทำอะไรก่อนกิน ยังจำกันได้ไหม!!! เราจะสวดภาวนาขอบคุณพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ขอบคุณคนเตรียม คนทำอาหาร คนที่ปลูกข้าว ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ที่เป็นอาหารสำหรับเราในวันนี้ เราได้ระลึกถึงคุณค่าของผู้ที่ได้ทำให้เรากิน ก็เพื่อย้ำเตือนว่ากว่าจะมาเป็นอาหารที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ ผ่านมือผู้คนมาหลายคน เราจึงต้องรับประทานอาหารนั้นอย่างเห็นคุณค่า แต่วันนี้เราคงหลงลืมวิถีชีวิตเหล่านี้หมดแล้ว พอเห็นอาหารต้องรีบหยิบยกกล้องขึ้นกด ส่งให้เพื่อนดู ให้ดูเพื่อโชว์ เพื่อเย้ยหยันเพื่อน เพื่ออวด เพื่อเพิ่มรสนิยม เพื่อให้โลกรู้ เช่นนี้หรือไม่ เราลืมที่จะขอบคุณพระเจ้า แต่เทิดทูนวัตถุกันมากขึ้น แน่หล่ะ...เราอยู่ในยุคเช่นนี้ เราอาจจะหลีกเลี่ยงวัฒนธรรมรวมหมู่เหล่านี้ไม่ได้ แต่โปรดอย่าลืมวัฒนธรรมอันดีงามของเราเลย ก่อนกิน ก่อนถ่ายรูป ขอบคุณพระเจ้าสักนิดหนึ่งก่อน ที่พระองค์ได้ประทานอาหารให้แก่เรา อย่าลืมว่า ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า สงสารบรรดาเด็กตาดำๆ ที่แอบเห็นภาพอาหารของเราอย่างหิวโหย
และแน่นอนยิ่งนับวัน เทคโลโลยีย่อมเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พฤติกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกยุคไอที คงมีพฤติกรรมใหม่ๆ อีกมากมายเกิดขึ้นตามมา เพราะโลกวันนี้วิ่งเร็วเสียกว่าความเร็วแสง เราอาจรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่อาจมองเห็น หากไม่รู้เท่าทันและหลงระเริงไปกับเทคโนโลยี จนไม่สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป สังคมเราอาจกลายเป็นเพียงสังคมที่มีแต่ผู้ถูกกระแสเทคโนโลยีพัดพา ไปตามยถากรรม โดยหันหลังให้กับหลักยึดเหนี่ยวของชีวิต และคุณค่าทางจิตวิญญาณก็จะสูญหายไป คงเหลือแต่เพียงข้ออ้างทางเสรีภาพ และสิทธิส่วนบุคคลเท่านั้นที่นำมาเป็นธงนำหน้า เราคริสตชนเราอยู่ในสังคมแบบนี้ ทำแบบนั้นได้แต่เราต้องไม่ลืมที่จะใส่คุณค่าของเราลงไปด้วย เริ่มต้นจากที่กล่าวมา ก่อนจะถ่ายรูปอาหาร สวดขอบคุณพระเจ้าก่อน...

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

คนหลังวัด


คนหลังวัด
ภาพที่คุ้นชินตา ที่มักเห็นภายในวัดของเรา ในบางรอบมิสซา จะมีชายชราคนหนึ่งที่เดินมาเปิดวัด มาจัดแท่น ตีระฆัง จุดเทียน แล้วก็หายไปอยู่หลังวัด คนที่เราเห็นคนนั้น วันนี้นอนรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ที่โรงพยาบาลเลิดสิน ด้วยความคุ้นชินส่วนตัวคุณลุงเป็นแฟนพันธุ์แท้คอลัมน์ คนข้างวัด อย่างเหนียวแน่นคนหนึ่ง มีโอกาสทักทายกันทุกครั้งที่พบเจอ เมื่อรู้ข่าวว่าคุณลุงป่วย จึงได้หาเวลาว่างเพื่อไปเยี่ยม
เตียงที่1 คือที่นอนที่ใช้รักษาคุณลุง ภาพที่เห็น คือคนแก่ที่ใบหน้าไม่เหมือนเดิมนอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยาง คุณลุงอยากจะพูดอะไรบางสิ่งบางอย่างเมื่อได้เห็นว่ามีคนมาเยี่ยม แต่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ แววตาและสีหน้าแสดงถึงความกังวลอะไรบางอย่าง เราผู้ไปเยี่ยมเพียงได้แต่บอกว่า ไม่ต้องห่วงอะไรนะลุง พักรักษาตัวให้สบาย ยอมรับเลยว่าแทบอดกั้นน้ำตาแห่งความสงสารไว้ไม่อยู่ จากคนที่มักคุ้น คุ้นเคยที่เดินไปเดินมา ทักทายถามไถ่กันบ้าง เพียงไม่กี่วันกลับมานอนรักษาตัว ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก และด้วยความที่คุณลุงทำงานเพื่อวัดมาอย่างยาวนาน ทำให้มีผู้ใจบุญกรุณาเป็นธุระติดต่อคุณหมอ ดูแลให้เป็นอย่างดี ทำให้ญาติพี่น้องของคุณลุงเบาแรงเบาใจได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งคุณพ่อเจ้าวัด คุณพ่อปลัด ก็ได้ไปเยี่ยมและโปรดศีลให้ ด้วยความห่วงใยเช่นกัน
เห็นคุณลุงคนหลังวัดแล้วก็ทำให้นึกถึง คนหลังฉาก คนเบื้องหลังในงานสำคัญ หลายๆครั้งหากไม่มีบุคคลเหล่านี้ งานอาจจะไม่สำเร็จลุล่วงลงไปได้ โลกมีความสมดุลเสมอ คนเบื้องหลังย่อมทำหน้าที่เพื่อเสริมส่งคนเบื้องหน้า และหากเรายอมรับในความเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกัน เราก็ย่อมให้คุณค่ากับคนทุกคนได้ไม่ว่าจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง
เห็นคุณลุงนอนป่วยหมดเรี่ยวแรง ใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ในบรรดาสรรพสิ่งสร้างมีเพียงมนุษย์กระมั๊ง ที่มีอุปนิสัยแห่งความโมโห ความอิจฉา ชอบดูถูกหยามหยันกัน ในวันที่เรายังดีๆ มีเรี่ยวแรงก็มักจะก่อความขัดแย้งต่อกัน ทำอะไรไม่ถูกใจก็โมโหดุด่าว่ากล่าวให้เจ็บช้ำน้ำใจ หากอีกฝ่ายไม่ยอมก็มีโต้เถียง เมื่อไม่ยอมจบความสงบในใจของทั้งสองฝ่ายก็ไม่มี เพียงเงาก็ไม่อยากจะพบเจอ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหนึ่งได้ดิบได้ดี ก็เฝ้าอิจฉาตาร้อน เอาไปนินทาว่ากล่าวลับหลัง เพื่อหาพวกมาสนับสนุนอยู่ฝ่ายตน คนเรานี่ก็แปลก !!!จะอยู่กันแบบสงบเงียบๆกันไม่ได้ จวบจนวันสุดท้ายนั่นแหละ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งล้มหายตายจากไป จึงจะยอมกล่าวคำขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อกัน คนหลังวัดอย่างคุณลุงทำความดีอย่างเงียบๆ แต่มีคนลับหลังเท่านั่นแหละที่อยู่นิ่งๆไม่เป็น

        ใช่หรือไม่ ชีวิตที่มีค่า ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่มีเงินทองมากมาย มีเกียรติยศ ชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตาเยอะๆ คนหลายคนเป็นคนที่มีค่ามาก ทำงานแบบปิดทองหลังพระ อยู่เบื้องหลัง ไม่มีโอกาสได้แสดงตัว แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับเป็นคนที่มีคุณค่ามาก เป็นงานเบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น เปรียบเหมือนเลขศูนย์ที่ดูเหมือนไม่มีค่า แต่ว่าพอเลขศูนย์ไปอยู่ข้างหลังเลขตัวไหนก็ตาม เลขตัวนั้นจะมีค่าขึ้นมาทันที เช่น ... 10, 100 , 1000 , 10000, 100000, 1000000 .... เรียกว่าศูนย์เพิ่มค่า
มีคนมากมายที่อยู่เบื้องหลังเรา คอยส่งเสริมให้ชีวิตเรามีคุณค่าขึ้น พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้เราได้อยู่สุขสบาย คำสั่งสอนแบบฉบับของพ่อแม่ที่ทำให้เรารู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น ความสุขแท้ของคน คือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น พระวาจาและคำสอนของพระศาสนจักรที่สอนให้เรามีคุณค่า ด้วยการให้เกียรติและรักคนอื่นอย่างที่เรารักตัวเอง สถาบันการศึกษาที่บ่มเพาะอบรมปลูกฝัง ด้วยการให้ยึดมั่นทำงาน มิใช่ด้วยการประจบทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า หรือมัวแต่นั่งน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น 
และคนเราทุกคนย่อมต้องเคยมีภาวะที่ต้องเป็นคนเบื้องหน้า และคนเบื้องหลัง เพียงแต่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ว่า ที่สุดแล้ว เราเหมาะที่จะก้าวมาอยู่เบื้องหน้า รับแรงเสียดแทนคนอื่นก่อน หรือจะเป็นคนคอยผลักดัน คนจัดเตรียมให้ผู้อื่น พระเจ้าได้มอบหมายให้เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจึงไม่จำเป็นต้องทำเหมือนคนอื่น คนที่สละตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใดๆก็ตาม ก็ต้องตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตนและยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร 
คนที่พอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นผู้ปิดทองหลังพระมีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น จากชีวิตหนึ่งเพื่อสู่ชีวิตหนึ่ง เหตุใดเล่าเราจึงดิ้นรนอยากเป็นคนยิ่งใหญ่กันนัก เอาเข้าจริงหนทางแบบนี้มันมีความสุขจริงหรือ แม้ว่าวันนี้คุณลุงต้องนอนรักษาตัว และเจ็บปวดกับอาการของโรค แต่คนหลังวัดคนนี้ก็ได้ทำให้เราสัตบุรุษผู้มาเข้าวัดอีกหลายร้อยคน ได้รับความสงบสุขทางด้านจิตใจมาอย่างยาวนาน และเราก็หวังว่าสุดท้ายแล้วคุณลุงก็จะได้รับความสุขสันติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างงดงามที่สุด ขอคำภาวนาสำหรับคุณลุงผู้อยู่หลังวัดด้วยนะครับ...