ความดีมิได้หายไปไหน
ในวันๆหนึ่งเรามักจะเห็นข่าวคราวมากมายหลายหลากไหลหลั่งออกมา ให้อ่านให้ติดตาม แต่ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องวุ่นๆเสียทั้งนั้น จนบางครั้งก็เกิดอาการเบื่อหน่ายที่จะติดตาม ที่จะอ่านสิ่งเหล่านั้น แต่จะทำไงได้!!! ในเมื่อเราเกิดมาและกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสื่อสารครองโลกเช่นนี้ ต่อให้ไม่อ่านไม่ติดตาม แต่เมื่อเราได้ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ข่าวคราวเหล่านั้นย่อมเข้ามาหาเองโดยไม่รู้ตัว และการรับรู้อย่างไร้สติกลั่นกรองก็นำมาซึ่งความเข้าใจผิด คิดต่อๆกันไป แล้วก็ขยายออกไปเป็นวงกว้าง จากความจริงกลายเป็นความเท็จ ยิ่งหากไม่ได้รับการชี้แจงแถลงข้อความจริงก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเมามันในการเมาท์ เป็นทั้งอาหารหลักและอาหารว่างในช่วงวันเกิดเหตุสดๆร้อนๆจนกว่าจะมีเรื่องร้อนที่แรงกว่า มาดึงดูดให้กระแสเปลี่ยนทางไป ดูๆแล้วเราก็วนเวียนอยู่ในกระแสอันเน่าเหม็นของข่าวที่ร้ายๆเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกว่า โลกนี้ไร้เรื่องดีงามแล้วหรือ...
โลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่งดงาม
และดีงามเสมอ เพราะพระเจ้าสร้างทุกสิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า “ทุกอย่างล้วนดี” แต่เพียงในวันนี้ ในยุคที่กระแสแห่งความงดงามมักไม่แรงพอที่จะสู้กระแส เดือด
ดุ เด็ด เผ็ด แซบ เวอร์ ได้ แต่โลกเราก็ควรมีเรื่องดีๆสวยงามของมนุษย์ผู้อื่นให้เราได้เรียนรู้บ้าง
เพื่อย้ำเตือน ยืนยันว่า โลกเรานี้มิเคยหมดเรื่องของความดีงาม
ทาเคชิ คิตาโนะ เป็นดาวตลกและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ชาวญี่ปุ่น เพิ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติเมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์ Sankei News ตีพิมพ์ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่น ในหัวข้อคนดังที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจากเว็บไซต์ดัง และชุมชนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมภายในประเทศ รวมแล้วมีผู้ร่วมออกความคิดเห็นถึง 265,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ ทาเคชิ คิตาโนะ ที่คว้าอันดับ 1 ไปครอง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คงไม่ใช่เรื่องของการแสดงหรือการกำกับเสียทีเดียว แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาได้เปิดเผยต่อสาธารณชน
อีกด้านมุมหนึ่งที่ทำให้เขาครองใจคนญี่ปุ่นได้นั้น
มาจากเหตุการณ์ที่เขาได้เปิดเผยในวันที่เขาสูญเสียมารดาไป เมื่อไม่กี่ปีก่อน
มารดาของเขาสิ้นบุญที่บ้านนอก เขาไปร่วมงานศพ ทั้งๆที่เขาไม่ชอบคุณแม่เลย
เพราะคุณแม่ของเขาเอาแต่ขอเงินจากเขา เดือนไหนที่เขาไม่ได้ส่งเงินกลับบ้าน
แม่ของเขาจะโทรมา เปิดปากก็ด่าทอโขมงโฉงเฉงเป็นแม่ประเภทที่เอาแต่เงินจริง ๆ ยิ่ง ทาเคชิ ดังมากขึ้นเท่าไร แม่ก็ยิ่งขอเงินมากขึ้นเท่านั้น...แต่วันที่แม่นอนไร้ลมหายใจ
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังอดที่จะร้องไห้โฮออกมาไม่ได้ เพราะเขายังตะขิตตะขวงใจที่ต้องไปทำงานไกลๆ
ไม่ได้อยู่ดูแลคุณแม่แม้จะเป็นแม่ที่ “เอาแต่เงิน”
เขาก็ยังอดรู้สึกติดค้างบุญคุณแม่ไม่ได้...
ทาเคชิ คิตาโนะ |
หลังงานศพแม่
ก่อนที่ ทาเคชิ จะกลับไปทำงาน พี่ใหญ่ของเขาได้ยื่นซองเล็กๆซองหนึ่งให้เขา บอกว่า
คุณแม่สั่งนักสั่งหนาว่าต้องมอบให้เขา ทาเคชิ เปิดซองออกอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีสมุดเงินฝากธนาคารเล่มหนึ่ง และจดหมายฉบับหนึ่ง สมุดเงินฝากเป็นชื่อของเขา มีเงินฝากเป็นหลายสิบล้านเยน ในจดหมายเขียนว่า...
“ลูกทาเคชิ ในบรรดาลูกๆของแม่ คนที่ทำให้แม่กังวลมากที่สุด คือ ลูก ตั้งแต่เล็กลูกไม่ขยันเรียนหนังสือ สุรุ่ยสุร่าย แถมใจกว้างกับเพื่อนฝูง พอลูกจะขอมาสู้ชีวิตลำพังในเมืองหลวง แม่ก็กังวลว่าลูกจะตกระกำ เป็นไอ้จรจัด ดังนั้น แม่จึงบังคับให้ลูกส่งเงินกลับมาให้แม่ทุกเดือน เพื่อจะได้กระตุ้นให้ลูกไปหาเงินให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยลูกเก็บเงินอีกทางหนึ่ง เงินที่ลูกให้แม่ แม่ไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว พี่ชายของลูกดูแลแม่ดีอยู่แล้ว เงินของลูกก็คือเงินของลูก ตอนนี้ลูกเอาไปใช้ให้คุ้มเถิด”
พออ่านจบ
ทาเคชิ ทรุดลงบนพื้น ทรุดอยู่เช่นนั้นเป็นนานสองนาน...
เชื่ออย่างหมดใจเลยว่าในตัวเราแต่ละคนล้วนมีความดีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าความดีมักซ่อนเร้นอยู่ ไม่ค่อยได้รับการปลุกเร้า ให้ตื่นมาปฏิบัติหน้าที่
อาจเป็นเพราะด้วยสภาพแวดล้อมหรือเปล่า เพราะความ หลง โลภ หรือไม่ หรือเพราะความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ที่มาบดบังแสงแห่งความดีในตัวตน
ความดีมิได้หายไปไหน มันอยู่ในตัวเรา เราล้วนแต่เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
ใช่หรือไม่
อีกสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนความดีงามของผู้คน ก็คือการมองข้ามความดีงามของกันและกัน
คนที่อยู่ใกล้ บ่อยไปที่ละเลยที่จะชื่นชมความดีงามของกันและกัน
แถมมีข้ออ้างที่แสนจะหดหู่ว่า เป็นคนดีจริงไม่ต้องมายกย่องสรรเสริญกันก็ได้ ใช่
บางคนไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมแบบออกหน้าออกตา แต่เราก็มีวิธีที่จะให้กำลังใจกัน
หรือนำเรื่องราวเหล่านั้นไปถ่ายทอด เป็นตัวอย่าง ให้กับผู้คน
เราชอบที่จะให้เวลาหมดไปกับการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
เพียงเพื่อทำให้ตัวเองดูดีเด่นดังขึ้น แล้วมันก็เป็นวัฏจักรในวันหนึ่งสิ่งที่เคยวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นก็ย้อนกลับมาเล่นงาน
ทำไปทำมาต่างคนต่างก็คิดว่าโลกนี้หนอมีแต่ตำหนิ ไม่สวยงามดังหวัง
ดูสังคมวันนี้ซิเป็นสังคมที่เก่งแต่ปาก ใจอ่อนล้ากันทั้งนั้น
การให้เกียรติกัน
การยกย่องกัน ในสังคมเล็กๆในครอบครัวควรเป็นสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง
เริ่มต้นได้ด้วยการเล่าถึงความดี ความขยัน หมั่นเพียร ซื่อสัตย์
หรือตัวอย่างที่ดีงามของบรรพบุรุษ ของต้นตระกูล ให้ลูกๆหลานๆได้รับรู้
ให้พวกเขาซึมซับเข้าไปในจิตใจ เพื่อเป็นประกายแสงส่องทาง เพื่อให้รู้ว่าความดีมิเคยหายไปจากชีวิตเราเลย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น