วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิทยาศาสน์


วิทยาศาสน์
คำว่า วิทยาศาสน์ นี้ได้มาจากคำว่า วิทยาศาสตร์ และ ศาสนา ที่ผู้คนกำลังสับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ควรมานำยึดถือ  แต่ในยุคนี้สมัยที่วิทยาศาสตร์เจริญรุดหน้าไปไกลมาก  จนทำให้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยออกมาไม่เว้นแต่ละวัน โดยเชื่อกันว่า หากมนุษย์คิดจะทำอะไร มีข้อขัดข้องใจอย่างไรไม่ช้าไม่นาน มนุษย์ก็ค้นพบทางออกและพบความจริง (หรือเปล่า) จนทำให้เกิดความผยอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า จึงไม่ยอมเชื่อเรื่องพระเจ้าที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผลอีกต่อไป หลายคนจึงสรุปเอาอย่างง่าย ๆ และเขลาๆว่า อะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของคริสตชนที่เชื่อว่ามีพระเจ้า และสรรพสิ่งสร้างมาจากพระเจ้า เป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน และไม่สามารถพิสูจน์ได้...  แล้ว หลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นคำตอบเดียวและคำอธิบายเดียวสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างไหม?  หรือว่าเรามีหนทางอื่นที่นอกเหนือจากวิธีของวิทยาศาสตร์ในการอธิบายถึงความจริงของสรรพสิ่งสร้าง
วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นมีขีดจำกัด วิทยาศาสตร์ต้องอาศัยวิชาคำนวณเป็นพื้นฐาน  สิ่งที่จะเอามาพิสูจน์จึงต้องมีตัวตน แต่เราก็ทราบดีว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่วัดไม่ได้ ชั่งไม่ได้ ตวงไม่ได้  แต่ก็เป็นความจริง  นั่นคือ  ความรัก และความยุติธรรม ความศรัทธา   ที่นำพาเราไปสู่ความเชื่อ พูดอีกนัยหนึ่งวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ที่เห็นและสัมผัส และหรือ เห็นผลวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขที่ตั้งอยู่บนฐานได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า ความรัก ความยุติธรรมและความศรัทธามีอยู่จริง  ถึงแม้จะพิสูจน์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเราทุกคนต่างยอมรับว่า วิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์ว่าไม่มีพระเจ้า

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์กำลังช่วยเราให้ค้นพบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลสรรพสิ่งสร้างของโลกอยู่ เช่น จากจักรวาลไปสู่อะตอม พลังงานทางฟิสิกส์และทฤษฎีสัมพัทธ์ ซึ่งมีผลเปลี่ยนแปลงเราดุจดังกลางคืนไปสู่กลางวัน แสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์กำลังค่อยๆนำการเดินทางของเราให้มีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เราได้ครอบครององค์ความรู้มหาศาล แต่ยังมิได้ใช้ให้เกิดประโยชน์มากพอสมควร และบ่อยครั้ง กลับถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เพี่อส่วนตัวจากคนที่มองเห็นแก่ตัว ไม่สามารถนำประโยชน์จากองค์ความรู้นั้นๆออกมาใช้ และไม่สามารถดึงเอาปรีชาญาณขององค์ความรู้ในนามของพระจิตเจ้านั้นออกมาได้ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งถ้าเรานำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อปลุกจิตสำนึกแห่งเผ่าพันธุ์ จิตวิญญาณมวลรวมของเราและของมนุษยชาติจะได้เติบโตขึ้น
การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการทดลองหลายๆ ครั้งติดต่อกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก  เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน  ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดประกาศการค้นคิดใหม่ของตนโดยผ่านการทดลองเพียงครั้งเดียว การที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายการกำเนิดของจักรวาล  จึงไม่ใช่วิธีการทางวิทยาศาสตร์  แต่เป็นความเชื่อดี ๆ นี่เอง  เพราะคงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใด มีโอกาสยืนเฝ้าสังเกตการกำเนิดของจักรวาลว่าเกิดขึ้นอย่างไร เพราะช่วงชีวิตของเราไม่มากกว่าสามหมื่นวัน ฉะนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ การอธิบายของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลจึงเป็นการสันนิษฐาน  พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
การอธิบายหรือพิสูจน์ทฤษฎีใดๆ ของนักวิทยาศาสตร์ จำต้องอาศัยหลักมูลฐาน หรือจุดเริ่มต้นที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐาน หรือเชื่อว่าเป็นความจริง   ข้อสรุปของการศึกษาค้นคว้าย่อมมีความผิดพลาดได้  ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป   มันจึงเป็นเพียงหลักสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นจริง เราจึงเห็นว่า ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งขึ้น  อาจจะไปขัดแย้งหรือหักล้างทฤษฎีเก่าๆ
ความจริงทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ซึ่งผิดกับความจริงในพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าเปิดเผยให้กับมนุษย์นั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ไม่มีทางล้าสมัย  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป  และข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์มีทางผิดพลาดได้   ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนหลักมูลฐาน ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อนั่นเอง
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว ไม่ขัดแย้งกับความจริงของความเชื่อเลย  เพราะทั้งสองอย่างนี้มาจากต้นตอเดียวกัน คือ พระเจ้า   เพียงแต่ว่าการเข้าไปสู่ความจริงของแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน  เพราะใช้คนละวิธีเพื่อเข้าไปสู่ความจริงและคนละด้าน นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าความจริงด้านธรรมชาติ สิ่งสร้างของพระเจ้า  โดยวิธีเฉพาะของมนุษย์  และฝ่ายความเชื่อพบความจริงด้านจิตวิญญาณ ผ่านทางพระวาจาของพระเจ้า  
องค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16 พระองค์ตระหนักในเรื่องนี้ว่า หากมนุษย์ยังหลงใหลไปกับการค้นพบใหม่ๆและก็ทึกทักเอาว่า ทุกสรรพสิ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ จนทำให้วิทยาศาสตร์เป็นศาสนาใหม่ขึ้นมา ทำให้ผู้คนหลงไป เพราะในความเป็นวิทยาศาสตร์มิอาจจะช่วยให้จิตวิญญาณของมนุษย์ยกสูงขึ้น มีแต่ความว่างเปล่า พระองค์จึงทรงย้ำให้เราเข้าถึงความเชื่อที่ต้องพิสูจน์จากความศรัทธาของเรา และพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยการปฏิบัติ หากท่านมีความเชื่อแล้วไม่มีการกระทำ ความเชื่อนั้นก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่ถูกตั้งขึ้นเท่านั้น แล้วความเชื่อของเราหล่ะ เป็นเพียงแค่ข้อสมมุติฐานหรือเปล่า ...

ไม่มีความคิดเห็น: