วิทยาศาสน์
คำว่า “วิทยาศาสน์” นี้ได้มาจากคำว่า “วิทยาศาสตร์” และ “ศาสนา” ที่ผู้คนกำลังสับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ควรมานำยึดถือ แต่ในยุคนี้สมัยที่วิทยาศาสตร์เจริญรุดหน้าไปไกลมาก
จนทำให้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยออกมาไม่เว้นแต่ละวัน โดยเชื่อกันว่า หากมนุษย์คิดจะทำอะไร
มีข้อขัดข้องใจอย่างไรไม่ช้าไม่นาน มนุษย์ก็ค้นพบทางออกและพบความจริง (หรือเปล่า)
จนทำให้เกิดความผยอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า จึงไม่ยอมเชื่อเรื่องพระเจ้าที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผลอีกต่อไป
หลายคนจึงสรุปเอาอย่างง่าย ๆ และเขลาๆว่า อะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์
ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของคริสตชนที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
และสรรพสิ่งสร้างมาจากพระเจ้า
เป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน และไม่สามารถพิสูจน์ได้...
แล้ว “หลักการทางวิทยาศาสตร์”
เป็นคำตอบเดียวและคำอธิบายเดียวสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างไหม? หรือว่าเรามีหนทางอื่นที่นอกเหนือจากวิธีของวิทยาศาสตร์ในการอธิบายถึงความจริงของสรรพสิ่งสร้าง
วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นมีขีดจำกัด
วิทยาศาสตร์ต้องอาศัยวิชาคำนวณเป็นพื้นฐาน สิ่งที่จะเอามาพิสูจน์จึงต้องมีตัวตน แต่เราก็ทราบดีว่า
มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่วัดไม่ได้ ชั่งไม่ได้ ตวงไม่ได้
แต่ก็เป็นความจริง นั่นคือ ความรัก และความยุติธรรม ความศรัทธา
ที่นำพาเราไปสู่ความเชื่อ พูดอีกนัยหนึ่งวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ที่เห็นและสัมผัส
และหรือ เห็นผลวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขที่ตั้งอยู่บนฐานได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า
ความรัก ความยุติธรรมและความศรัทธามีอยู่จริง ถึงแม้จะพิสูจน์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นเราทุกคนต่างยอมรับว่า “วิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์ว่าไม่มีพระเจ้า”
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์กำลังช่วยเราให้ค้นพบกฎเกณฑ์ต่างๆ
ที่กำลังกำกับดูแลสรรพสิ่งสร้างของโลกอยู่ เช่น จากจักรวาลไปสู่อะตอม พลังงานทางฟิสิกส์และทฤษฎีสัมพัทธ์
ซึ่งมีผลเปลี่ยนแปลงเราดุจดังกลางคืนไปสู่กลางวัน
แสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์กำลังค่อยๆนำการเดินทางของเราให้มีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เราได้ครอบครององค์ความรู้มหาศาล แต่ยังมิได้ใช้ให้เกิดประโยชน์มากพอสมควร และบ่อยครั้ง
กลับถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เพี่อส่วนตัวจากคนที่มองเห็นแก่ตัว ไม่สามารถนำประโยชน์จากองค์ความรู้นั้นๆออกมาใช้
และไม่สามารถดึงเอาปรีชาญาณขององค์ความรู้ในนามของพระจิตเจ้านั้นออกมาได้ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งถ้าเรานำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อปลุกจิตสำนึกแห่งเผ่าพันธุ์
จิตวิญญาณมวลรวมของเราและของมนุษยชาติจะได้เติบโตขึ้น
การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการทดลองหลายๆ
ครั้งติดต่อกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน
ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดประกาศการค้นคิดใหม่ของตนโดยผ่านการทดลองเพียงครั้งเดียว
การที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายการกำเนิดของจักรวาล
จึงไม่ใช่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเชื่อดี ๆ นี่เอง
เพราะคงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใด มีโอกาสยืนเฝ้าสังเกตการกำเนิดของจักรวาลว่าเกิดขึ้นอย่างไร
เพราะช่วงชีวิตของเราไม่มากกว่าสามหมื่นวัน ฉะนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ การอธิบายของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลจึงเป็นการสันนิษฐาน
พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
การอธิบายหรือพิสูจน์ทฤษฎีใดๆ
ของนักวิทยาศาสตร์ จำต้องอาศัยหลักมูลฐาน
หรือจุดเริ่มต้นที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐาน หรือเชื่อว่าเป็นความจริง
ข้อสรุปของการศึกษาค้นคว้าย่อมมีความผิดพลาดได้ ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป
มันจึงเป็นเพียงหลักสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นจริง เราจึงเห็นว่า
ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งขึ้น อาจจะไปขัดแย้งหรือหักล้างทฤษฎีเก่าๆ
ความจริงทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ซึ่งผิดกับความจริงในพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าเปิดเผยให้กับมนุษย์นั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่มีทางล้าสมัย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป
และข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์มีทางผิดพลาดได้ ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนหลักมูลฐาน
ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อนั่นเอง
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว
ไม่ขัดแย้งกับความจริงของความเชื่อเลย เพราะทั้งสองอย่างนี้มาจากต้นตอเดียวกัน
คือ พระเจ้า เพียงแต่ว่าการเข้าไปสู่ความจริงของแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน
เพราะใช้คนละวิธีเพื่อเข้าไปสู่ความจริงและคนละด้าน นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าความจริงด้านธรรมชาติ
สิ่งสร้างของพระเจ้า โดยวิธีเฉพาะของมนุษย์
และฝ่ายความเชื่อพบความจริงด้านจิตวิญญาณ ผ่านทางพระวาจาของพระเจ้า
องค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16 พระองค์ตระหนักในเรื่องนี้ว่า
หากมนุษย์ยังหลงใหลไปกับการค้นพบใหม่ๆและก็ทึกทักเอาว่า ทุกสรรพสิ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
จนทำให้วิทยาศาสตร์เป็นศาสนาใหม่ขึ้นมา ทำให้ผู้คนหลงไป เพราะในความเป็นวิทยาศาสตร์มิอาจจะช่วยให้จิตวิญญาณของมนุษย์ยกสูงขึ้น
มีแต่ความว่างเปล่า
พระองค์จึงทรงย้ำให้เราเข้าถึงความเชื่อที่ต้องพิสูจน์จากความศรัทธาของเรา
และพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยการปฏิบัติ หากท่านมีความเชื่อแล้วไม่มีการกระทำ
ความเชื่อนั้นก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่ถูกตั้งขึ้นเท่านั้น แล้วความเชื่อของเราหล่ะ
เป็นเพียงแค่ข้อสมมุติฐานหรือเปล่า ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น