วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผลงานจากเมื่อวาน


ผลงานจากเมื่อวาน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสทำงานร่วมกับศิลปินวาดทราย (อ.ก้องเกียรติ กองจันดี) ศิลปะวาดทรายนั้นเป็นการวาดภาพเรื่องราวต่างๆด้วยเม็ดทรายที่ละเอียด ซึ่ง อ.ก้องเกียรติ ได้เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต แล้วค่อยๆหัดทำ คิดสร้างสรรค์ ดัดแปลงอุปกรณ์ให้เหมาะสม โดยผนวกเป็นเรื่องราว สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก ใช้มือลงน้ำหนัก แสง และเงา ระยะใกล้ ไกล ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในหลายๆสถานที่ ในแต่ละงาน ภาพวาดทรายก็จะแตกต่างกันไปแล้ววัตถุประสงค์ของผู้จัดงาน นั่งมองภาพวาดเหล่านั้นผ่านการสรรค์สร้างด้วยหัวใจแห่งศิลปะ ด้วยสมาธิความตั้งใจอันแน่วแน่ของ อ.ก้องเกียรติแล้ว ทำให้ต้องหันมามองคุณค่าชีวิตของเราว่า ในแต่ละวันเวลาผ่านไปนั้น เรามีศรัทธาต่อชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน มีความแน่วแน่ในวิถีชีวิตแห่งความดีแล้วหรือยัง แล้วเราได้วาดภาพสร้างชีวิตให้งดงามเพียงใด
อ.ก้องเกียรติ กองจันดี
ใช่หรือไม่ ทรายกองเดียวกันสามารถนำมาวาดภาพได้หลากหลายรูปแบบ แล้วใครจะไปคิดล่ะว่า ทรายก็สามารถนำมาวาดภาพศิลปะได้อย่างงดงาม นอกจากนำไปเพื่อการก่อสร้างและป้องกันน้ำท่วม....แล้วชีวิตของเรานั้นมีประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากพอแล้วหรือยัง ผลงานที่ผ่านกิจวัตรประจำวัน เอาแค่เมื่อวานนี้ เราได้ฝากความงดงามและสร้างสรรค์ให้กับชีวิตเรา เกิดคุณค่าในความทรงจำที่มีค่าแก่ผู้อื่นบ้างหรือไม่..อย่างไร...
หนทางหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของเรามีคุณภาพ นั่นคือ การฝึกฝนสำรวจตรวจสอบตัวเองเป็นประจำ เพื่อนำเราไปสู่การปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่...เราก็มักพูดว่า ไม่มีเวลา เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดของการแก้ตัว ประมาณว่าถ้าเกิดไฟไหม้ที่ไหน สิ่งแรกที่คาดถึงสาเหตุก็คือไฟฟ้าลัดวงจร…. สาเหตุหนึ่งของคนเราในปัจจุบันที่มักไม่ค่อยมีเวลาสำรวจตรวจสอบตัวเอง หรือเรียกว่าละเลย หรือขลาดกลัวไม่กล้าไตร่ตรองชีวิตประจำวัน ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป อาจจะเป็นเพราะความเร่งรีบหรือเปล่า ก็อดแปลกใจอยู่ไม่ใช่น้อย ชีวิตเมืองที่รีบเร่ง เพื่อไปนั่งจมปลักอยู่ในรถกลางถนนเป็นชั่วโมง ดูเหมือนว่าเราพยายามรีบเร่งเพื่อไม่ให้ต้องเจอกับสภาพเช่นนี้ แต่ก็ไม่เคยพ้นสภาพเช่นนั้นสักที ยิ่งฤดูฝนหล่นฟ้ารั่ว ตกมาเมื่อไรอัมพาตกันทั้งเมือง และเราก็ใช้ความเห็นแก่ตัวเพื่อให้หลุดรอดความทุกข์มวลรวมบนท้องถนนจนกลายเป็นนิสัยติดตัว ทำเช่นนี้ในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต
แล้วไม่ต้องคิดเลยว่า รถอีกห้าแสนคันกำลังรอออกมาอวดโฉมบนถนนนั้น แค่ที่ให้จอดจะมีหรือไม่ ถนนคงกลายเป็นลานจอดรถดีๆนี่เอง แค่นี้กรุงเทพก็ติดอันดับหนึ่งของเมืองที่มีการจลาจรติดขัดมากที่สุดของโลกไปแล้ว เห็นไหมล่ะ จะหาเวลาที่ไหนมานั่งรำพึงรำพันกับชีวิต เช้าติดเย็นติด มีรถคันแรกก็เหมือนได้บ้านหลังแรกอย่างไรอย่างงั้น พอถึงบ้านก็หมดสภาพ นอนหลับแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ต้องตื่นไปผจญบนทางเดิมๆอีกแล้ว เช่นนี้แล้วการไตร่ตรองตรวจสอบชีวิต จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย วันๆหนึ่งเราก็ดำเนินชีวิตไปเหมือนหุ่นยนต์ที่ติดตั้งโปรแกรมไว้ ร่างกายเคลื่อนไหวแต่จิตใจและจิตวิญญาณนั้นอ่อนล้าและหลับใหล 
ใช่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองคนเราจึงไม่ค่อยมีสติ สมาธิสั้นเอาแต่ใจตนเองใครมาขวางหน้าเป็นต้องพุ่งชน ทำอะไรไม่สนขอเพียงให้ได้มาซึ่งสิ่งที่หวัง ไปให้ถึงที่หมายด้วยความเร็วสูงสุด แล้วเมื่อถึงจริงๆก็กลับหมดเรี่ยวแรงที่จะชื่นชมสิ่งที่ปรารถนา 
ความจริงแล้วเรามีเวลาเท่ากัน เพียงแต่ว่าวันนี้ยุคนี้เราจัดสรรเวลากันไม่ค่อยเป็นมากกว่า เวลาว่างๆในรถ ขณะรอเคลื่อนไปข้างหน้า เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เราสามารถย้อนกลับไปถึงผลงานที่ผ่านมาว่าชีวิตเราก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง มีความดีงามผุดขึ้นมาบ้างไหม หรือได้ให้อภัย ได้แบ่งปัน หรือกระทั่งว่าได้สร้างความเจ็บปวดแก่ผู้ใดบ้าง ผลงานการสร้างของเราวันนี้สวยงามหรือดูแย่ๆ เต็มไปด้วยความเลอะเทอะ และเป็นไปได้ก่อนหลับตาลงนอนเคยย้อนถึงเวลาเพียงชั่ววันที่ผ่านมา ว่าเกิดอะไรขึ้น มีทุกข์มีสุขเช่นใดในเรื่องอะไร สร้างบาดแผลรอยด่างไว้ให้ใครบ้าง ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ
ใช่หรือไม่ ชีวิตของเรามันก็เหมือนกับเราได้ดูละครที่ระคนไปด้วยทุกข์สุข มีเงื่อนปม มีคลี่คลาย และก็มีเริ่มต้นปมใหม่สู่การคลี่คลายใหม่ๆเสมอ ในขณะที่เราสุขก็มีหลายคนที่ทุกข์ตรม และในทางตรงข้าม ในช่วงทุกข์ของเราอีกหลายต่อหลายคนก็กำลังอิ่มสุข ฉะนั้นแล้วโลกนี้ไม่เคยขาดความทุกข์-สุข แม้เพียงเสี้ยววินาที ขึ้นอยู่กับว่าเราจะคว้าเอาสุขมาถือครอง หรือจะเพิ่มทุกข์เป็นสมบัติติดตัว เมื่อเรามีสิทธิเลือกแล้วใยกลับเลือกทุกข์มาโหมใส่ ใช่...การพูดเช่นนี้มันเหมือนง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากปัจจัย สภาพแวดล้อมหลากหลาย ซ้ำร้ายบางจังหวะชีวิตยังไม่มีสิทธิเลือกได้ ถ้าเป็นความสุขเข้ามาก็สดชื่นเบิกบานไป แต่ถ้าเป็นพายุทุกข์ก็ต้องตั้งรับและหลบหลีกให้เป็นและด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
เช้าตื่นขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการฟื้นจากหลับตายของวันวานและใช้เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อสร้างผลงานแห่งความดีให้เกิดขึ้น ให้ดีกว่าวันก่อนที่ผ่านมา เริ่มใหม่อย่าให้ความอ่อนแอและอ่อนล้าของเมื่อวานมาลดความสดชื่น จากเมื่อวานส่งผลให้มีการหลับเพื่อ ตื่นขึ้นมาอย่างมีคุณภาพในวันใหม่ ลองเปลี่ยนวิถีชีวิต อย่าจมในความซ้ำซากประหนึ่งหุ่นยนต์ต้องอยู่อย่างเข้าถึงความจริงที่ยิ่งใหญ่ ความจริงที่ว่าชีวิตเราคือผลงานของพระเจ้า แล้วเราจะให้ผลงานนี้งดงามหรือหมองหม่น หากผลงานของชีวิตเมื่อวานดีแล้ววันนี้ก็ขอให้ดีกว่า หากเมื่อวานไม่ได้เรื่องวันใหม่คือโอกาสของการเริ่มต้น... 

ไม่มีความคิดเห็น: