วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ขอ 3 คำ ใน 3 โลก


ขอ 3 คำ ใน 3 โลก
วลีหนึ่งที่ชาวไซเบอร์ชอบใช้เพื่อให้ผู้คนร่วมแสดงความคิดเห็น ได้ระบายอารมณ์ต่อภาพหรือต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่ได้นำมาพูดถึง ด้วยการใช้เพียงคำ 3 คำ และคำสั้นๆเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นการแสดงออกที่ชัดเจน ตรงไปตรงมาจนถึงขั้นหยาบและรุนแรง ยังเห็นน้อยมากที่ขอ 3 คำ สำหรับเรื่องดีๆเรื่องที่งดงามจรรโลงใจ แต่...มีคำคำหนึ่งในโลกที่แสนจะสั้น เปี่ยมไปด้วยความงดงาม และมีอยู่ในทุกผู้คน สามารถเกิดขึ้นในทุกวันในทุกโลกคำนั้นคือ รัก ความรักนำมาซึ่งการแบ่งปัน การให้อภัย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เชื่อมสามโลก คือ ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ขับเคลื่อนชีวิตให้ผ่านพ้นไปในทุกย่างก้าวบนหนทางอย่างสง่างาม แต่ในวันนี้ ยุคนี้คุณค่าของคำสั้นๆนี้กำลังกลายพันธุ์ ใช้กันเพื่อบำเรอความเห็นแก่ตัว ชนิดว่าเกิดอีกทั้งสามโลกก็ยังไม่สามารถพบความสุขได้เลย 3 คำที่พบกันบ่อยๆ ที่เบียดเอารักกระเด็นหายไป คือ เห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ เก็บกอบโกย
หากเราได้เห็นคู่สามีภรรยาอยู่กันจนแก่จนเฒ่า เดินเคียงคู่กันไป เราจะรู้สึกทึ่งและรับรู้ถึงความรักที่แท้จริง มีคนเคยถามตายายคู่หนึ่งว่า ทำยังไงถึงรักกันได้มาตั้ง 65 ปี คุณยายตอบว่า เราเกิดมาในยุคที่เมื่อมีอะไรพัง เราก็ซ่อม ไม่ได้โยนทิ้ง แล้วซื้อใหม่ คำตอบนี้สะท้อนสะเทือนอะไรได้หลายๆอย่าง ใช่หรือใหม่ เราอยู่ในยุคที่เครื่องใช้ไม้สอยมันดูจะเสื่อมและหมดอายุอย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มักใช้ได้ไม่นานก็เสียก็พัง แล้วก็ซ่อมยาก ซ่อมแล้วไม่คุ้มกับราคาอะไหล่ที่แสนแพง สู้ซื้อเครื่องใหม่ดีกว่า แถมยังมีรุ่นใหม่ๆเกิดขึ้นมายั่วเงินในกระเป๋าให้กระเด็นกระดอนโดยไม่ต้องทอน ในการถอยเครื่องรุ่นใหม่มาใช้เพิ่มรสนิยม หลอดไฟก็มีเวลาในการให้แสงสว่าง เมื่อถึงเวลาก็ต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงมนุษย์นั้นสามารถคิดหลอดไฟที่ไม่มีวันหมดอายุได้ แต่เพราะมันไม่ถูกจริตกับยุคทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจการลงทุนเพื่อหวังผลเป็นกำไร แทนที่จะผลิตเครื่องที่ใช้ได้ทนทาน ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเสื่อมสลายได้ง่ายดาย เพื่อหวังให้สายการผลิตเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามันทนทานก็ไม่มีใครจะซื้อหาสิ่งใหม่ โรงงาน บริษัทก็จะขาดทุน สิ่งนี้เองที่ค่อยๆซึมลึกลงในวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนของใช้อยู่เรื่อยๆ ความรักของคนยุคใหม่จึงกลายพันธุ์เป็นของใช้ที่หมดอายุง่ายและหาเปลี่ยนกันใหม่เป็นว่าเล่น คุณค่าของความรักจึงจางหายไป เหลือเพียงแต่ความพึงพอใจแบบชั่วครั้งชั่งคราวยาวนานหน่อยก็สักปีสองปี ความรักที่แท้จริง คือ ความรักที่ยืนยาว ความรักที่มีความอดทนนานและเข้าใจกัน ร่วมกันสร้างทางเดิน เพื่อจะได้เดินไปด้วยกัน สามคำที่สำคัญมากสำหรับวิถีแห่งรัก คือ ฉันรักคุณ แม่(พ่อ)รักลูก ครูรักศิษย์ เรารักษ์โลก สามคำเหล่านี้ต้องมาจากใจ อย่ารักด้วยสมองที่มองหาเหตุผลอย่างเดียว ดังตัวอย่างของตายายชาวจีนคู่หนึ่ง
หลิว โกวเจียง ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน สมกับวัย 19 ปี เกิดไปตกหลุมรัก ซู เฉากวิน แม่หม้ายลูกติดวัย 29 ปี ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของเหล่าญาติมิตร และผองเพื่อน เพราะด้วยวัยที่ห่างกันของทั้งคู่ ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมมาก ที่ชายหนุ่มจะรักกับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า พร้อมๆ กับความจริงที่ว่า ซู แต่งงานมีลูกแล้ว แต่ หลิว ไม่หวั่นกับคำครหาต่างๆนานา เขาพา ซู หลีกหนีการดูถูกของสังคมและผู้คน ไปอาศัยอยู่ในถ้ำร้างแห่งหนึ่งในเมืองเจียงจิน(Jiangjin) เมืองชนบททางตอนใต้ของเขตปกครองตนเองชงกิง มณฑลเสฉวน    
ช่วงเริ่มต้นชีวิตของทั้งคู่ เรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์เลยทีเดียว เพราะรอบๆ บริเวณนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าและอาหาร ทั้งคู่ต้องกินหญ้าหรือพืชที่เป็นหัวๆ ที่พบอยู่บริเวณภูเขา จากนั้น หลิว ก็ได้ประดิษฐ์ตะเกียงน้ำมันก๊าด เพื่อให้แสงสว่างแก่ตัวเองและคนที่รัก   หลิว และ ซู ก็ครองคู่อยู่ด้วยกันในถ้ำแห่งนั้น และ หลิว ก็เริ่มแกะสลักบันไดหินด้วยมือตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้คู่ชีวิตของเขาเดินลงจากภูเขาได้ง่ายๆ
เวลาผ่านไป ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบราบรื่น มีลูกด้วยกันถึงเจ็ดคน จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ หลิว ในวัย 72 ปี กลับมาจากทำงานในไร่ จู่ๆ เขาก็ล้มลง ซู ในวัย 82 ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนให้กับสามีของเธอ แต่แล้วมัจจุราชก็ได้พราก หลิว ให้จากไป ภายใต้อ้อมกอดของเธอ ด้วยมือที่เกาะกุมกันไว้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต พร้อมๆ กับคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจของ ซู ว่า คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันเสมอจนถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปก่อน ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีคุณ ซึ่ง ซู ใช้เวลาหลายวันพูดแต่ประโยคนี้ซ้ำๆ แผ่วๆ และสัมผัสโลงศพของสามีด้วยน้ำตานองหน้า  อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2001 นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปสำรวจบริเวณภูเขาแห่งนั้น และก็ต้องประหลาดใจ ที่ได้พบบันไดหินแกะสลักกว่า 6,000 ขั้น!!! 
ใช่หรือไม่...ในยุคนี้เรามัวแต่บูชาและสะสมความเห็นแก่ตัว ที่ออกมาในรูปของทรัพย์สมบัติ เงินทอง เครื่องใช้ไม้สอยกันอย่างมากมาย และรับเอาวัฒนธรรมวัตถุที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีวันหมดอายุในการใช้สอยมาใช้กับความรักที่เป็นเรื่องของจิตใจและจิตวิญญาณ ที่มิอาจมีวันเสื่อมสลายลงไปได้ คนที่นำความรักไปใช้ไม่เป็น ไม่ช้าไม่นานชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ก็จะล่มสลายเสื่อมสูญไป รักด้วยทรัพย์กับรักด้วยใจมันต่างกัน ทรัพย์สมบัติของท่านเสื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว เงินทองของท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจไฟซึ่งท่านได้สะสมไว้สำหรับวันสุดท้าย มีแต่ รักด้วยใจเท่านั้นที่จะเป็นนิรันดร์ไม่ว่าโลกนี้หรือทั้งสามโลก...     

ไม่มีความคิดเห็น: