วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยิ่งหา....ยิ่งห่าง


ยิ่งหา....ยิ่งห่าง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราคงโดนหางๆของพายุไต้ฝุ่น วีเซนเต ซึ่งเคลื่อนเข้าโหมกระหน่ำเกาะฮ่องกงด้วยความเร็วเกิน 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไร้ที่อยู่ ความรุนแรงของไต้ฝุ่นส่งผลให้ต้นไม้หลายร้อยต้นหักโค่น อาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย เที่ยวบินหลายเที่ยวถูกระงับ และโรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดการเรียนการสอน และต่อมาได้อ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่เวียดนาม
ในความก้าวหน้าของมนุษยชาติ พยายามอย่างยิ่งที่จะหยั่งรู้ล่วงหน้าของภัยธรรมชาติ แต่เอาเข้าจริงก็เข้าตำราว่า มนุษย์รู้ หรือ จะสู้ฟ้าลิขิต ทุกยุคทุกสมัยเราก็ยังเห็นผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อยพยายามที่จะหาทางต่อสู้กับธรรมชาติตลอดมา ก่อให้เกิดการค้นพบใหม่ๆ การค้นพบก็ไม่มีทางสิ้นสุด เพราะอะไร??? ก็เพราะเราไม่สามารถหยั่งรู้ซึ้งถึงพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระเจ้าได้ หน้าที่เราคือใช้สิ่งสร้างอย่างไรให้มีประโยชน์และรักษาสิ่งสร้างเหล่านั้น ใช่หรือไม่ ยิ่งเราค้นหาทางเพื่อให้เข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ก็เพราะเรามักใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสกัดกั้นหนทางใจที่จะนำเราเข้าใกล้พระองค์
เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC)  
ใช่...หากไม่มีการค้นพบและแสวงหาวิทยาการสมัยใหม่ โลกก็คงจะหยุดการพัฒนาไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับประเด็นนี้ เราพัฒนาได้แต่ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองและถอยห่างจากองค์กำเนิด การพัฒนาที่ก้าวไกลส่งผลให้เกิดการหลงใหลในวัตถุมากกว่าจิตใจ ก่อให้เกิดความยโสและหลงโลภอยู่ในสิ่งค้นพบ นำมาซึ่งการลดทอนความเชื่อ บูชาสิ่งที่เห็นละทิ้งสิ่งที่สร้างสุขภายใน ยิ่งทำให้มนุษย์ให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป คิดว่าการพึ่งพาแต่พระเจ้าเป็นสิ่งไร้สาระและตกอยู่ในภาวะที่ล้มเหลวทางจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำได้ด้วยสองมือหนึ่งสมอง แต่ไม่ได้คิดในมุมกลับว่า แล้วสองมือหนึ่งสมองนั้นมาจากไหน 
 เซิร์น (CERN)  องค์กรแห่งยุโรปเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์
เราคงเคยได้ยินเรื่องราวขององค์กร  เซิร์น (CERN)  องค์กรระหว่างประเทศที่ศึกษาทดลองด้านฟิสิกส์อนุภาค หรือองค์กรแห่งยุโรปเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มประเทศในยุโรป ปัจจุบันมีสมาชิกอย่างเป็นทางการรวม 20 ประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา สหพันธรัฐสวิส โดยมีอุโมงค์เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC) ที่มีเส้นรอบวงยาวถึง 27 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนของสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส และอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินถึง 100 เมตร 
นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเชื่อว่าสิ่งที่เล็กที่สุดของสสาร ไม่ใช่อะตอมหรือนิวเคลียสในอะตอม เหมือนที่เคยค้นพบกันมาก่อนหน้านี้ ฟิสิกส์อนุภาคเป็นสิ่งที่ เซิร์น ให้ความสนใจ และจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับของการกำเนิดเอกภพ โดยเอกภพที่เราอยู่เริ่มจากการขยายตัวของสิ่งที่เล็กมากๆ ร้อนมากๆ และหนาแน่นมากๆ ก่อนที่จะขยายตัว เย็นตัวและมีอุณหภูมิเท่าปัจจุบัน ไม่ใช่การระเบิดแล้วแตกออกอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ
นักวิทยาศาสตร์แสดงความดีใจใการค้นพบ "ฮิกส์โบซอน"
พวกเขาอ้างว่า การอยากรู้กำเนิดของจักรวาล ก็เพื่อเข้าใจธรรมชาติ ยามเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องย้อนกลับไปสู่อดีต เพื่อรู้จักที่มาของสิ่งเริ่มต้นที่เล็กที่สุด เครื่องเร่งอนุภาคอย่างแอลเอชซีจะเป็นเครื่องมือในการหาคำตอบนี้
ปีเตอร์ ฮิกส์  นักฟิสิกส์ชาว สก๊อต 
นักฟิสิกส์อนุภาคตั้งสมมุติฐานขึ้นมา แล้วเรียกทฤษฎีนี้ว่า ฮิกส์ หรือที่หลายคนเรียกว่า อนุภาคพระเจ้า ที่มาของทฤษฎีนี้มาจาก เมื่อ 48 ปีมาแล้ว นาย ปีเตอร์ ฮิกส์  นักฟิสิกส์ชาว สก๊อต ได้ใช้จินตนาการในการอธิบายกำเนิดจักรวาล หลังการเกิดบิ๊กแบง โดยอธิบายว่า ในชั่วระยะเวลา 1 ใน 1 ล้านล้านส่วนของวินาทีหลังเกิดบิ๊กแบง ได้เกิดสภาวะที่เรียกกันในเวลาต่อมาว่าสภาวะ ฮิกส์โบซอน ขึ้น ภายใต้สภาวะดังกล่าวจะมีอนุภาคส่วนหนึ่งซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า อนุภาคฮิกส์ หรือ อนุภาคพระเจ้า  ที่ทำให้เกิดมวลขึ้นเป็นดวงดาวทั้งหลายในจักรวาล แต่ไม่มีใครเคยเห็นเจ้าอนุภาคฮิกส์นี้เลย
 “เซิร์น ประกาศเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เองว่า เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ของเซิร์นนั้นได้ค้นพบอนุภาคใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายกับ อนุภาคฮิกส์ แล้ว การค้นพบอนุภาคย่อยของอะตอมชนิดใหม่ที่อาจจะเป็น ฮิกส์โบซอน อนุภาคมูลฐานที่ชาวบ้านรู้จักในชื่อ อนุภาคพระเจ้า ซึ่งจะช่วยอธิบายทฤษฎีที่ว่าเหตุใดสารทั้งหลายในเอกภพจึงมีขนาดและรูปร่าง จนเป็นที่มาของจักรวาลอันกว้างใหญ่ นักวิทยาศาสนตร์ทุกคนต่างปรบมือแสดงความยินดีถึงการค้นพบนี้
ความสำเร็จที่เราเห็นหลายคนนำมาแอบอ้างเพื่อลบล้างความเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกมาจากพระเจ้า ถ้าเรามองด้วยหัวใจ การค้นพบนี้ก็เป็นเพียงไขข้อสงสัยถึง วิธีการสร้าง ที่ให้เราต้องสรรเสริญความมหัศจรรย์ในการสร้าง หาใช่การมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากอนุภาคเล็กๆ แล้วอนุภาคเล็กๆเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง ก็กลายเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยุคนี้เราคิดทฤษฎีเช่นนี้ยุคหน้าอาจจะมีทฤษฏีใหม่ๆมาลบล้าง เหมือนกับคนยุคเราที่ค้นพบทฤษฏีใหม่เพื่อลบล้างทฤษฎีเก่าๆของคนรุ่นก่อน ใช่หรือไม่ บางครั้งเราพยายามหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์โดยแอบอ้างว่าจะได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นแต่เมื่อพบแล้ว เรายิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้น จนหลงลืมพระองค์ไป แต่พระองค์ไม่เคยห่างไกลจากเราเลย ค้นพบพระเจ้าในตัวตนให้เจอน่าจะเป็นความสำเร็จขั้นเทพของเราคริสตชน และใช้อนุภาคพระเจ้าในตัวเราสร้างสังคมให้ผาสุกตลอดไปได้ไหม...
พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และทรงสถิตอยู่ในทุกคน

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นอกกรอบโดยไม่หลุดกรอบ


นอกกรอบโดยไม่หลุดกรอบ
การได้ดูได้ชมงานศิลป์ก็เป็นสิ่งที่ชมชอบเป็นการส่วนตัวสิ่งหนึ่ง แต่ก็มิได้รู้ซึ้งถึงรายละเอียดว่างานชิ้นไหนใครประดิษฐ์คิดสร้างสรรค์เอาไว้ ไม่รู้เรื่องศาสตร์ทางศิลปะว่าภาพหรืองานศิลป์นี้อยู่ในรูปแบบใด เรียกว่าที่ไปดูไปชมก็เพียงเพื่อให้ความงามแห่งศาสตร์ศิลป์ช่วยนำพาจิตใจให้อ่อนโยนไม่อ่อนแอหรือแข็งกร้าวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อมเกินไปนัก และก็เพื่อให้มีสิ่งจรรโลงใจ ได้เห็นความสวยงามของสิ่งสร้างในนามองค์พระผู้สร้างผ่านทางผู้สร้างงานศิลป์เหล่านั้น ... ยามเย็นวันหนึ่งเมื่อมีผู้เชิญชวนให้ไปเยือน Art In Paradise Museum ที่พัทยาเหนือ ซึ่งเคยได้เห็นความสวยงามของภาพผ่านทางเพื่อนฝูงที่เคยไปและนำภาพเหล่านั้นมาบอกเล่า ผ่านทางโลกไซเบอร์ในเฟชบุ๊คมาบ้าง ยิ่งเพิ่มความกระหายในการไปให้ถึงถิ่นจริง แม้ว่าการออกเดินทางจะเย็นย่ำไปสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นข้อดี ที่เมื่อคณะเราเดินทางไปถึง ก็เหลือเวลาเปิดให้เข้าชมอีกราวสองชั่วโมง ผู้คนจึงน้อย ทำให้เรามีโอกาสเดินชม ถ่ายรูป ผลงานเหล่านั้นได้อย่างสบายๆไม่ต้องไปแย่งชิงพื้นที่กับใครๆ ...
และด้วยความแปลกแหวกแนวของผลงานที่สร้างสรรค์ ภาพหลายภาพเป็นภาพเลียนแบบงานศิลป์ที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก แต่ถูกนำเสนอในมุมมองใหม่ ภาพส่วนใหญ่ถูกวาดให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งหลุดออกมาจากกรอบภาพ ทำให้ภาพมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด ภาพยีราฟที่มีหัวโผล่ออกมาเพื่อกินน้ำ ภาพช้างที่งวงของมันออกมาอยู่ข้างๆ ภาพนกอินทรีย์ที่บินอย่างสง่าและดูเหมือนกำลังบินออกมาจากกรอบภาพ เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้คิดถึง การคิดนอกกรอบ แต่หัวใจสำคัญยังเคารพอยู่ในกรอบเดิมๆ
ใช่หรือไม่ เราคงกำลังคุ้นชินกับกระแสการคิดนอกกรอบของคนรุ่นใหม่ ที่ยึดโยงเอามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพ ที่พยายามคิดให้ต่างจากคนอื่น แล้วเรียกสิ่งนั้นว่า การคิดนอกกรอบ โดยที่มีความคิดเพียงเพื่อสร้างความโดดเด่นมากกว่าการสร้างสรรค์  คิดนอกกรอบกับ คิดว่าตัวเองคิดนอกกรอบ มันก็ต่างกัน  เพราะคนที่ คิดว่าตัวเองคิดนอกกรอบ มักจะอวดอ้างความสามารถให้ดู แต่พอให้วิเคราะห์ ลงลึกให้ถึงผลงาน กลับไปไม่เป็นดั่งที่กล่าวอ้าง ก็มีคนประเภทนี้ไม่น้อยกลุ่มนี้จะคิดแต่เพียงว่า การคิดนอกกรอบคือการทำให้แตกต่าง โดยจงใจที่จะคิดให้ต่างจากผู้อื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ก่อนที่จะคิดนอกกรอบได้ต้องรู้ว่าในกรอบคิดยังไงก่อน แล้วค่อยนำมาประยุกต์ มาหาวิธีคิดนอกกรอบใหม่ เพื่อให้ได้วิธีที่ใช้งานจริง การที่มัวแต่คิดต่าง แปลว่าจะทิ้งสิ่งดีๆที่มีอยู่จากเดิมไป ทำให้ไม่อาจได้วิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่ คิดนอกกรอบ กลุ่มนี้จะรู้ซึ้งว่าวิธีเดิมนั้นคิดไว้ดียังไง แล้วจึงจะหาคิดวิธีใหม่ควบคู่กันไป เพราะวิธีเก่าที่ใช้กันมานานย่อมมีสิ่งที่ดีอยู่ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ทำกันมาอย่างเนิ่นนาน และเมื่อใช้วิธีเดิมคิดควบคู่กับวิธีใหม่แล้ว ก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ต่อเติมสิ่งดีที่มีอยู่ ขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปแล้วนำสิ่งใหม่ที่ดีกว่ามาใช้แทน อีกทั้งคนกลุ่มนี้จะไม่สนว่าภายนอกจะแตกต่างแค่ไหน ขอให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็พอแล้ว
คนที่ คิดว่าตัวเองคิดนอกกรอบ คือพวกยึดติดกับความต่าง เพิกเฉยของเดิม หวังแต่ความหวือหวา คิดนอกกรอบ คือ คิดรวบยอดเก่าใหม่ สนใจที่การใช้งานจริงถึงไม่ต่างจากเดิมมากก็ยังใช้ บางคนบอกว่าการทำอะไรแบบเดิมตามความคุ้นชินนั้น ทำให้หลงลืมที่จะพัฒนางาน แต่การพัฒนาจากของเดิมให้ดีนั้น ย่อมต้องอาศัยวิธีแปลกใหม่ในการคิดด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้วจะคิดต่างคิดนอกกรอบได้นั้นก็ต้องรู้ด้วยว่าของเดิมนั้นดีไม่ดียังไง เพราะหากไม่รู้จริง สิ่งที่คิดใหม่ ก็ยากที่จะดีไปกว่าของเดิมได้ นั่นคือที่มาของความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์ บางทีก็ต้องเริ่มต้นจากการ คิดนอกกรอบ คำถามแรกของการคิดนอกกรอบก็คือ จะทำอย่างไรที่จะพัฒนาสิ่งเดิมๆให้ดีกว่า?
คุณครูในโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งให้นักเรียนชั้น ป.3 แต่งเรียงความเป็นการบ้านครูกำหนดตัวละคร 5 คนและตั้งชื่อให้พร้อม นักเรียนแค่นำตัวละครเหล่านี้ไปแต่งเรื่องมาเท่านั้น อะไรก็ได้
เด็กคนหนึ่งยกมือค้านบอกว่าไม่ชอบชื่อตัวละคร และขอเปลี่ยนชื่อใหม่ โดยเสนอชื่อตามสมัยนิยมมา 5 ชื่อ ครูแกล้งไม่ยอม ยืนยันให้ใช้ชื่อเดิม เธออยากรู้ว่าเด็กน้อยจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร เด็กหน้ามุ่ยแสดงชัดว่า ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร
วันรุ่งขึ้นเด็กคนนั้นก็ส่งการบ้านเหมือนกับเพื่อนๆ แต่ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแบบมีเลศนัย นักเรียนคนนี้ทำตามกติกาของคุณครู คือให้ตัวละครทั้ง 5 คนใช้ชื่อตามที่ครูกำหนด แต่พอเริ่มเรื่องปั๊บ ตัวละครทั้งหมดก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินขึ้นอำเภอทันที ขึ้นไปขอเปลี่ยนชื่อใหม่ ก็ชื่อที่เด็กน้อยคนนี้เสนอในห้องเรียนนั่นแหละ...
ภารกิจการเปลี่ยนชื่อเสร็จสิ้น จึงค่อยเดินเรื่องต่อไปตามจินตนาการของตนเอง ครูอ่านจบก็ยิ้มและหัวเราะ ไม่ได้ว่าอะไร แถมมาเล่าต่อด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยคนนี้มีกระบวนการยืนยันเจตนารมณ์ของตนเองที่ฉลาดมาก สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตนเองต้องการโดยไม่ขัดแย้งกับกติกาที่ผู้ใหญ่กำหนด  (EXTEENBLOG)
การคิดนอกกรอบ โดยมีกรอบเก่าเป็นแนวทางชี้นำ จึงเป็นสิ่งที่เราควรสร้างให้เกิดกับตัวเราเอง การสร้างสรรค์ความสวยงามให้กับโลกใบนี้เป็นภารกิจรักของเราทุกคน เป็นการสืบสานงานสร้างสวรรค์ให้เกิดบนแผ่นดิน ความสวยงามจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเรายังไม่มีจิตใจที่งดงาม เรายังไร้เดียงสาต่อความเชื่อความศรัทธาในหลักธรรมคำสอน เรายังไม่เคารพกรอบกติกาที่คนรุ่นก่อนๆได้ก่อร่างสร้างไว้ มุ่งหวังทำสิ่งใหม่โดยไร้การศึกษาของเก่า ก็คงเปรียบได้กับการนำต้นไม้ใหญ่ที่ไร้รากไปปลูกไว้หน้าบ้าน มันอาจจะงดงามอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม วันใดวันหนึ่งพายุแรงพัดกระหน่ำ ไม่นานต้นไม้ใหญ่ที่ไร้รากก็อาจจะล้มทับบ้านเรือนเราก็ได้….

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รู้แล้วทำช้าก็ดีกว่า...รู้งี้


รู้แล้วทำช้าก็ดีกว่า...รู้งี้
เพิ่มวงปีชีวิตไปอีกหนึ่งวง ย่างสู่วัยที่เติบใหญ่ใจนิ่งมากขึ้น แต่ในหลายครั้งหลายหนบนทางเดินที่ไม่ราบเรียบของชีวิต มีอันต้องสะดุดล้มลงเนื่องมาจากสาเหตุของความใจร้อนใจเร็ว ไร้ความละเอียดรอบคอบ ก่อให้เกิดผลเสียต่อความรู้สึกของตนเองและผู้คนคุ้นชิน และพอเมื่อเหตุการณ์แย่ๆมันผ่านไป มีเวลามานั่งคิดได้ว่า รู้งี้ ... ไม่ทำอย่างนั้นดีกว่า คำว่า รู้งี้ กลายเป็นโรคหนึ่งของผู้คนทั่วไป ที่มักคิดเร็วทำอะไรเร็วเกินไป ตั้งตนอยู่ในความประมาท ซึ่งแน่นอนไม่มากก็น้อยเราล้วนผ่านการ รู้งี้ มีผู้เขียนสรุปโรคดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า..
อายุ 15 ... สอบเข้าโรงเรียนดีๆไม่ได้  ...  รู้งี้...น่าจะตั้งใจเรียน
อายุ 20 ... เลือกทางเดินชีวิตผิด  ... รู้งี้...น่าจะเลือกคณะที่ชอบ
อายุ 30 ... ถังเเตก  ...  รู้งี้...น่าจะออมเงินไว้บ้าง
อายุ 50 ... ถูก Early Retire ... รู้งี้...น่าจะเสี่ยงลงทุนทำอะไรของตัวเอง
ตาย ...  รู้งี้...รักษาสุขภาพดีกว่า
ยังมีอีกหลายต่อหลายอย่างที่เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว กลับมานั่งพร่ำบ่นว่าไม่น่าทำลงไปเลย ชีวิตไม่มีปุ่ม Undo ที่จะย้อนมาลบล้างและเริ่มใหม่ มีคนพูดกันเล่นๆว่า ชีวิตคนเราทำผิดอยู่สองครั้ง คือ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ใช่หรือไม่ เราก็เริ่มต้นครั้งใหม่ๆได้เสมอ มันไม่สำคัญว่า ชีวิตนี้เราจะพูด รู้งี้  สักกี่ครั้ง มันสำคัญที่ว่า รู้ แล้ว ทำ หรือเปล่า!!! อย่าให้ชีวิตนี้ของเราต้องมีแต่คำว่า รู้งี้ จนลมหายใจสุดท้าย รู้งี้ก็ยังไม่สาย รู้แล้วแก้ไข เดินในแนวทางที่ถูกต้อง ให้เหมาะกับจริตและนิสัยตัวเองก็จะสมหวัง มีสุข
ใช่หรือไม่ ในความสัมพันธ์ที่ขาดหาย และห่างเหิน ก็มาจากการกระทำที่ไม่คิดก่อน แล้ววันนี้ก็มานั่งเสียดาย เสียใจ เพราะการกลัวเสียหน้าในครั้งเก่าก่อนแท้ๆ รู้งี้จะไม่พูดจะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บช้ำน้ำใจ รู้งี้จะไม่หลุดปากต่อว่าโดยไร้การตรวจสอบและซักถาม รู้งี้จะพูดจะสอนจะให้คำปรึกษาแบบดีๆไม่ผลีผลามตามอารมณ์ แต่สำหรับเราผู้ที่ทำไปแล้ว กลับมาสำนึกรู้ตัว น้อมรับความผิดคิดสั้นที่เราทำลงไป หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่จะนำกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ คือ หัวใจของการให้อภัยกัน อภัยต่อตัวเองผู้ไร้ภูมิแต่อวดดีถือตัว น้อมรับในความบกพร่อง แล้วนั้น คำขอโทษ ก็จะออกมาเพื่อลบรอยความผิด นี่จึงเป็นหนทางเยี่ยวยาคำว่า รู้งี้ ที่ทำไปแล้วได้ บางครั้งเราอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการแก้ไขข้อผิดพลาด ถึงจะช้าไปบ้างแต่เมื่อมีการกลับใจ การให้อภัยก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน...
เมื่อพูดถึงเรื่อง รู้ เรามีความรู้กันมากขึ้น เพราะด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ความรู้ไกลๆตัวมาอยู่ตรงหน้าต่อตา เรามีข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจตั้งมากมาย แต่เราก็มักข้ามเรื่องความละเอียด และไร้กระบวนการคิด แบบวิเคราะห์จนถึงขั้นสังเคราะห์ออกมาสู่การตัดสินใจเลือกหนทางที่ดีที่สุด และยังมีอคติก้อนใหญ่ที่แอบอ้าง อวดรู้ สู่รู้ นำสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ นำความล้มเหลวและปราชัยมาให้ชีวิตได้ในที่สุด ความรู้ที่ดีนั้นต้องเป็นความรู้เพื่อเพิ่มพูนคุณธรรม และความงดงามให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ อย่าเพียงรู้เพื่ออวดรู้ เพราะบางเรื่องเราทำไปแล้วอาจจะไม่มีสิทธิ์มาคิดว่า รู้งี้ ไม่ทำอย่างนั้นดีกว่า เหมือนอย่างเช่นนักศึกษาคนที่สาม...
มีนักศึกษาชายชาวอเมริกัน 3 คน ที่ได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศแม็กซิโก  ในคืนหนึ่งทั้ง 3 คน ดื่มเหล้าในบาร์หนักไปหน่อย พอตอนเช้า ก็พบว่าทั้ง 3 คน ติดอยู่ในคุกและโดนตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อย   แต่ทั้ง 3 คนไม่มีใครจำได้ว่าไปทำอะไรมาบ้าง เนื่องจากเมาจัด เลยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด 
ณ ลานประหาร นักศึกษาคนแรกถูกนำเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า เขาก็พูดสั่งเสียออกมาว่า 
ผมเป็นนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแถบแกรนด์แคนยอน ผมเชื่อในพลังของพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์
พอสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์เก้าอี้ไฟฟ้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เลยเชื่อว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้นักศึกษาคนนี้ตายจึงปล่อยตัวไป 
เสร็จแล้วนักศึกษาคนที่ 2 ก็ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสับสวิทช์ไฟ นักศึกษาคนที่ 2 ก็กล่าวมาว่า 
ผมเป็นนักศึกษากฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยอริโซน่า ผมเชื่อว่ากฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์จะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์เสมอ” 
พูดจบเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์ทันทีปรากฏว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้ชายผู้นี้ตาย ก็เลยยอมปล่อยตัวไป 
หลังจากนั้นพอนักศึกษาคนที่ 3 ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเขาก็กล่าวว่า 
ผมเป็นนักศึกษาวิศวะไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย (ด้วยจรรยาบรรณของดออกชื่อมหาลัย) และผมจะขอบอกพวกคุณว่า ถ้าพวกคุณไม่ต่อสายไฟ 2 เส้น ที่ขาดอยู่นั้นเข้าด้วยกัน เก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้ก็จะไม่มีวันใช้การได้เลย  
หลังจากนั้นอีก 5 นาที วิญญาณของนักศึกษาคนที่ 3 ก็ไปสู่สุขคติ  แล้วก็รำพึงรำพันกับตัวเองว่า รู้งี้ ไม่อวดรู้ ปากพล่อยบอกความลับไป นึกว่าจะรอดด้วยความรู้ แต่ความรู้กลับเป็นพิษเพราะรู้แบบไม่คิดนี่เอง” 
…. “รู้งี้  เป็นภาษาพูด ที่มาจากคำว่า รู้อย่างนี้....

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รู้เห็นเป็นดี


รู้เห็นเป็นดี
ในวิถีชีวิตตามปกติ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นการถูกจับจ้องมองและการที่เราก็เป็นผู้จ้องมองดูผู้อื่น ข้อสำคัญคือเราจะใส่ใจเรื่องอะไรมากว่ากัน...??? ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเป็นทุกข์ตรงที่คนอื่นจ้องมองเราอย่างไรมากกว่า กลัวว่าสิ่งที่เราทำ เราเป็นนั้น คนอื่นจะมองเราอย่างไร สิ่งนี้จึงเป็นผลต่อการมองโลกและมองตัวเองด้วยสายตาของคนอื่นตลอดเวลา เข้าใจง่ายๆคือเราต้องพยายามเดินไปในทางที่ผู้อื่นคาดหวังเสมอ และถ้ามีคนคาดหวังสักสิบคน ร้อยคน แล้วอะไรคือตัวตนของเราล่ะ ใช่หรือไม่ ในความเป็นจริงของชีวิตว่าทั้งเราเองและผู้อื่นก็มักจะมองในส่วนที่แย่ๆของกันและกันเสมอ แล้วก็พยายามทำให้เรื่องแย่ๆกลายเป็นสิ่งทำร้ายทำลายกัน แต่ด้วยการฝึกฝนคุณธรรม การหมั่นเพียรก่อความดี มองหาให้เห็นสิ่งดีจากตัวเรา จากคนอื่น จากโลกแวดล้อมตัวเรา จึงเป็นหนทางพาเราอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข ..
จุดดำบนกระดาษขาว
มีวัวตัวหนึ่งสีขาวทั้งตัว แต่มีสีดำติดอยู่ตรงปลายหางนิดหนึ่ง และมีควายอีกตัวมีสีดำทั้งตัว ทั้งสองตัวนี้ต่างก็อยู่ในคอกเดียวกันและเป็นเพื่อนรักกันมานาน  วันหนึ่งควายพูดกับวัวว่า
 “นี่ เพื่อนวัวจ๋า ฉันมีเรื่องอยากบอกเธอมานานแล้วล่ะ แต่กลัวเธอจะว่าเอา วัวบอกควายว่า มีอะไรหรือควาย เราเป็นเพื่อนกันนะ เพราะฉะนั้นพูดมาได้เลยจ๊ะ ควายจึงโล่งใจ และพูดขึ้นว่า นี่แน่ะวัว ตัวเธอน่ะมีสีขาวสวยงามมากจริงๆนะ สวยกว่าวัวทุกตัวที่ฉันเคยเห็นเลยล่ะ เสียอยู่หน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง อะไรหรือ วัวถาม  “ก็ปลายหางของเธอน่ะ ดำปี๋เลย ดูแล้วไม่สวย เธอไม่น่าจะมีสีดำตรงนั้นเลยนะ วัวบอกควายว่า ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะจ๊ะ  สีดำตรงนั้นมันติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิดแล้วนี่นา ก็นั่นน่ะสิ ไม่รู้จะมีมาทำไมนะ ทำให้เธอเป็นวัวที่มีตำหนิ ไม่สวยเลยล่ะ
ควายยังแสดงความคิดเห็นต่อ ส่วนวัวไม่ได้พูดอะไรอีก มันก้มลงเล็มหญ้า หลังจากวันนั้นควายก็ยกเอาเรื่องปลายหางสีดำของวัวขึ้นมาพูดทุกวัน
สีดำตรงปลายหางเธอนี่ไม่สวยเลยนะ” “ดูกี่ทีๆ ก็เหมือนมีรอยตำหนิล่ะ” “ถ้าเธอไม่มีรอยดำตรงปลายหาง เธอต้องสวยกว่านี้แน่ สีดำนั้นดำมากเลยนะ เธอไม่น่ามีมันเลย
ในที่สุดวัวก็ทนไม่ไหว พูดกับควายว่า พอที ทำไมเธอต้องมามองแต่จุดดำของฉัน ไม่สังเกตบ้างหรือไงว่า เธอน่ะดำหมดทั้งตัวเลย  (ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
คนเราก็มักเป็นอย่างนี้ ชอบมองเห็นแต่ข้อผิดพลาดของคนอื่นมากกว่าจุดดีๆ หรือสิ่งดี ๆ และไม่ค่อยย้อนมองดูตัวเองอีกด้วย จึงไม่รู้ว่าตัวเองก็มีส่วนที่ผิดพลาดตั้งมากมาย ไม่มีใครดีพร้อมไปเสียทุกเรื่องหรอก ต่างก็มีจุดบกพร่องและเรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา
จุดดำเล็กๆบนพื้นขาว
อีกประการหนึ่ง การฟังคนอื่นมากไปแล้วนำมาคิดตามคำพูดเหล่านั้น บางครั้งบางหนมันก็ทำให้เราเกิดปมด้อยในสิ่งเล็กๆที่มีในชีวิต คนเราก็แปลก...อะไรที่สร้างทุกข์ก็มักนำมาใส่ตัว และก็ตรมทุกข์จมอยู่ในทุกข์ทุกวันเวลา ส่วนสิ่งดีๆสิ่งงดงามในชีวิตก็มองข้ามไป ในขณะเดียวกันเราในฐานะเป็นผู้ที่มองผู้อื่น เรามองแบบไหน มองแบบใส่ร้ายป้ายสีหรือมองหาสิ่งงดงามในชีวิตของผู้คน มองหาสิ่งที่สร้างสรรค์สวรรค์บนแผ่นดิน หรือมองเพื่อจัดไฟนรกให้ลุกโชนในหัวใจผู้อื่น โดยปกติธรรมดาคนเราก็รู้เห็นเป็นอยู่ในด้านแย่ของตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าถูกตอกย้ำซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ใส่ลงไป แล้วใครเล่าจะมีชีวิตที่งดงามเดินดินอยู่ได้ แต่ถ้าเรารู้เห็นมองผู้อื่นด้วยหัวใจเปิดกว้าง หาสิ่งที่ดีงามในผู้อื่น นั่นเป็นการสร้างโลกให้สดใสถึงสองต่อเลยมิใช่หรือ  หนึ่งเราสุขใจที่พูด มอง สิ่งที่ดีๆ สองสร้างกำลังใจสิ่งดีให้เกิดขึ้นกับผู้อื่น ลองอ่านเรื่องนี้อีกสักเรื่อง แล้วเราจะเข้าใจว่า รู้เห็นเป็นเรานั้นต้องทำอย่างไร...
มีศิลปินอยู่คนหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น เขาต้องใช้บ้านพักตัวเองเพื่อเป็นที่สร้างงานศิลป์ จึงเริ่มก่อกำแพง ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำเลยในชีวิต การก่อกำแพงที่มองว่า แค่เอาอิฐวางเอาปูนใส่นั้น แท้จริงแล้ว มันเป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะว่าจะทำอย่างไรให้มันตรงเท่ากันหมด เมื่อเขาก่อกำแพงเสร็จ ก็เห็นว่าตรงกลางของกำแพง มีอิฐอยู่ 2 ก้อนที่ไม่ตรง มันนูนออกมาจากอิฐก้อนอื่น ครั้นจะรื้อก็ไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายมันแพง
ทุกครั้งที่มีผู้คนมาเยี่ยมชมงานศิลป์เขาก็จะรู้สึกอับอาย ที่มีคนจ้องไปที่อิฐสองก้อนนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่งมาที่บ้านหลังนี้ แล้วมองไปที่กำแพงนั้น ชายชราพูดว่า..
กำแพงนี้สวยงามมาก” เขาถามกลับไปด้วยความตกใจว่า ลืมใส่แว่นมาหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามันมีอิฐสองก้อนที่วางไม่ดีจนกำแพงนี้ ดูไม่ดี
ชายชราบอกว่า... ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก็เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อนก่อไว้ได้อย่างสวยงาม เป็นระเบียบงดงาม”  นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ศิลปินคนนั้นมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆบนกำแพง นอกเหนือจากสองก้อนที่เป็นปัญหา ตาที่เคยมืดบอดต่อสิ่งอื่นทั้งหมด บัดนี้มองเห็นอิฐดีๆแล้ว  
อย่าปล่อยให้การเห็นสิ่งไม่ดีในตัวเรา ในตัวผู้อื่น เป็นอคติตัดลอนความงดงามแห่งความรัก ความสัมพันธ์ต่อกัน มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้งหลายหนเราได้ลงมือทำลายกัน ด้วยการ รู้เห็นเป็นเลว ไปหมด แต่ถ้าเรา รู้เห็นเป็นดี ความงดงามก็จะบังเกิดขึ้นในจิตใจเราทุกคนตลอดไป...