ยิ่งหา....ยิ่งห่าง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประเทศไทยของเราคงโดนหางๆของพายุไต้ฝุ่น “วีเซนเต” ซึ่งเคลื่อนเข้าโหมกระหน่ำเกาะฮ่องกงด้วยความเร็วเกิน
140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไร้ที่อยู่
ความรุนแรงของไต้ฝุ่นส่งผลให้ต้นไม้หลายร้อยต้นหักโค่น
อาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย เที่ยวบินหลายเที่ยวถูกระงับ
และโรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดการเรียนการสอน และต่อมาได้อ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่เวียดนาม
ในความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
พยายามอย่างยิ่งที่จะหยั่งรู้ล่วงหน้าของภัยธรรมชาติ แต่เอาเข้าจริงก็เข้าตำราว่า “มนุษย์รู้ หรือ จะสู้ฟ้าลิขิต” ทุกยุคทุกสมัยเราก็ยังเห็นผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อยพยายามที่จะหาทางต่อสู้กับธรรมชาติตลอดมา
ก่อให้เกิดการค้นพบใหม่ๆ การค้นพบก็ไม่มีทางสิ้นสุด เพราะอะไร??? ก็เพราะเราไม่สามารถหยั่งรู้ซึ้งถึงพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระเจ้าได้
หน้าที่เราคือใช้สิ่งสร้างอย่างไรให้มีประโยชน์และรักษาสิ่งสร้างเหล่านั้น
ใช่หรือไม่ ยิ่งเราค้นหาทางเพื่อให้เข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
ก็เพราะเรามักใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสกัดกั้นหนทางใจที่จะนำเราเข้าใกล้พระองค์
เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC) |
ใช่...หากไม่มีการค้นพบและแสวงหาวิทยาการสมัยใหม่
โลกก็คงจะหยุดการพัฒนาไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับประเด็นนี้ เราพัฒนาได้แต่ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองและถอยห่างจากองค์กำเนิด
การพัฒนาที่ก้าวไกลส่งผลให้เกิดการหลงใหลในวัตถุมากกว่าจิตใจ
ก่อให้เกิดความยโสและหลงโลภอยู่ในสิ่งค้นพบ นำมาซึ่งการลดทอนความเชื่อ
บูชาสิ่งที่เห็นละทิ้งสิ่งที่สร้างสุขภายใน ยิ่งทำให้มนุษย์ให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป
คิดว่าการพึ่งพาแต่พระเจ้าเป็นสิ่งไร้สาระและตกอยู่ในภาวะที่ล้มเหลวทางจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำได้ด้วยสองมือหนึ่งสมอง
แต่ไม่ได้คิดในมุมกลับว่า แล้วสองมือหนึ่งสมองนั้นมาจากไหน
“เซิร์น” (CERN) องค์กรแห่งยุโรปเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ |
เราคงเคยได้ยินเรื่องราวขององค์กร
“เซิร์น” (CERN) องค์กรระหว่างประเทศที่ศึกษาทดลองด้านฟิสิกส์อนุภาค
หรือองค์กรแห่งยุโรปเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มประเทศในยุโรป ปัจจุบันมีสมาชิกอย่างเป็นทางการรวม 20
ประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา สหพันธรัฐสวิส
โดยมีอุโมงค์เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC) ที่มีเส้นรอบวงยาวถึง
27 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนของสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส
และอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินถึง 100 เมตร
นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเชื่อว่าสิ่งที่เล็กที่สุดของสสาร
ไม่ใช่อะตอมหรือนิวเคลียสในอะตอม เหมือนที่เคยค้นพบกันมาก่อนหน้านี้ ฟิสิกส์อนุภาคเป็นสิ่งที่
“เซิร์น” ให้ความสนใจ และจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับของการกำเนิดเอกภพ
โดยเอกภพที่เราอยู่เริ่มจากการขยายตัวของสิ่งที่เล็กมากๆ ร้อนมากๆ และหนาแน่นมากๆ
ก่อนที่จะขยายตัว เย็นตัวและมีอุณหภูมิเท่าปัจจุบัน
ไม่ใช่การระเบิดแล้วแตกออกอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ
นักวิทยาศาสตร์แสดงความดีใจใการค้นพบ "ฮิกส์โบซอน" |
พวกเขาอ้างว่า
การอยากรู้กำเนิดของจักรวาล ก็เพื่อเข้าใจธรรมชาติ ยามเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
จึงต้องย้อนกลับไปสู่อดีต เพื่อรู้จักที่มาของสิ่งเริ่มต้นที่เล็กที่สุด “เครื่องเร่งอนุภาคอย่างแอลเอชซี”
จะเป็นเครื่องมือในการหาคำตอบนี้
ปีเตอร์ ฮิกส์ นักฟิสิกส์ชาว สก๊อต |
นักฟิสิกส์อนุภาคตั้งสมมุติฐานขึ้นมา
แล้วเรียกทฤษฎีนี้ว่า “ฮิกส์”
หรือที่หลายคนเรียกว่า “อนุภาคพระเจ้า” ที่มาของทฤษฎีนี้มาจาก เมื่อ 48 ปีมาแล้ว นาย ปีเตอร์
ฮิกส์ นักฟิสิกส์ชาว สก๊อต ได้ใช้จินตนาการในการอธิบายกำเนิดจักรวาล
หลังการเกิดบิ๊กแบง โดยอธิบายว่า ในชั่วระยะเวลา 1 ใน 1
ล้านล้านส่วนของวินาทีหลังเกิดบิ๊กแบง
ได้เกิดสภาวะที่เรียกกันในเวลาต่อมาว่าสภาวะ “ฮิกส์โบซอน” ขึ้น ภายใต้สภาวะดังกล่าวจะมีอนุภาคส่วนหนึ่งซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “อนุภาคฮิกส์” หรือ “อนุภาคพระเจ้า” ที่ทำให้เกิดมวลขึ้นเป็นดวงดาวทั้งหลายในจักรวาล
แต่ไม่มีใครเคยเห็นเจ้าอนุภาคฮิกส์นี้เลย
“เซิร์น” ประกาศเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เองว่า
เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ของเซิร์นนั้นได้ค้นพบอนุภาคใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายกับ “อนุภาคฮิกส์” แล้ว การค้นพบอนุภาคย่อยของอะตอมชนิดใหม่ที่อาจจะเป็น
“ฮิกส์โบซอน”
อนุภาคมูลฐานที่ชาวบ้านรู้จักในชื่อ “อนุภาคพระเจ้า” ซึ่งจะช่วยอธิบายทฤษฎีที่ว่าเหตุใดสารทั้งหลายในเอกภพจึงมีขนาดและรูปร่าง จนเป็นที่มาของจักรวาลอันกว้างใหญ่ นักวิทยาศาสนตร์ทุกคนต่างปรบมือแสดงความยินดีถึงการค้นพบนี้
ความสำเร็จที่เราเห็นหลายคนนำมาแอบอ้างเพื่อลบล้างความเชื่อว่า
“ทุกสรรพสิ่งในโลกมาจากพระเจ้า” ถ้าเรามองด้วยหัวใจ
การค้นพบนี้ก็เป็นเพียงไขข้อสงสัยถึง “วิธีการสร้าง”
ที่ให้เราต้องสรรเสริญความมหัศจรรย์ในการสร้าง หาใช่การมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากอนุภาคเล็กๆ
แล้วอนุภาคเล็กๆเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง ก็กลายเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ยุคนี้เราคิดทฤษฎีเช่นนี้ยุคหน้าอาจจะมีทฤษฏีใหม่ๆมาลบล้าง เหมือนกับคนยุคเราที่ค้นพบทฤษฏีใหม่เพื่อลบล้างทฤษฎีเก่าๆของคนรุ่นก่อน
ใช่หรือไม่ บางครั้งเราพยายามหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์โดยแอบอ้างว่าจะได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นแต่เมื่อพบแล้ว
เรายิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้น จนหลงลืมพระองค์ไป แต่พระองค์ไม่เคยห่างไกลจากเราเลย
ค้นพบพระเจ้าในตัวตนให้เจอน่าจะเป็นความสำเร็จขั้นเทพของเราคริสตชน
และใช้อนุภาคพระเจ้าในตัวเราสร้างสังคมให้ผาสุกตลอดไปได้ไหม...
“พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน
พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และทรงสถิตอยู่ในทุกคน”