พลังที่มองไม่เห็น
หากไม่สังเกตก็ไม่รู้เลยว่า ในทุกๆเช้าตรงหลังบ้านตึกแถวที่อาศัยอยู่นั้น
จะมีนกกระจอกเล็กๆอยู่ฝูงหนึ่ง ต่างส่งเสียงเหมือนกำลังคุยกัน
เพราะชีวิตที่เหมือนดังถูกกำหนดด้วยตารางอันตายตัว ตื่นนอนในเวลาเหมือนๆกัน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านด้วยความคุ้นชินเป็นประจำย้ำซ้ำเดิมอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน
ทำให้ไม่เคยที่จะหยุดฟังเสียงนกน้อยทักทาย มาวันนี้มีเวลาให้กับชีวิตนิ่งๆเงียบๆไม่รีบไม่ร้อน
ทำให้เพลิดเพลินจากเสียงนกที่เหมือนจะคุยกัน บางครั้งถึงขั้นลองใส่จินตนาการว่านกน้อยเหล่านั้นคงกำลังคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้
ดีนะที่ไม่ได้ไปนั่งร่วมวงสนทนาภาษานกด้วย ไม่งั้นคนรอบข้างคงเผ่นหนี และหาว่าบ้าไปแล้วเป็นแน่...
![]() |
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
จะด้วยความบังเอิญหรือเป็นเพราะเบื้องบนจัดสรรก็ไม่ทราบได้ (แต่ด้วยความเชื่อแล้ว
ทุกๆเหตุการณ์ในชีวิตมักถูกร้อยเรียงโดยพระผู้สร้างอย่างเหมาะเจาะเสมอมา) เรื่องนี้ก็เช่นกันในวันที่เพลิดเพลินกับเสียงนกน้อยยามเช้า
ตกสายมาก็ได้อ่านนิทานเรื่องที่เกี่ยวกับนกที่ให้บทสอนดีๆเรื่องหนึ่ง ที่สอนให้เราได้เรียนเรื่องพลังที่สร้างโลกสร้างสังคมมาอย่างยาวนาน
เป็นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่ถูกสร้างด้วยหัวใจ....
นานแสนนานผ่านมา ณ
ป่าไผ่แห่งหนึ่งมีนกกระจาบอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยหากินอยู่เป็นประจำ ต่อมามีพรานป่าผู้หนึ่งเที่ยวเสาะแสวงหาสัตว์ต่างๆ
ผ่านมา เห็นฝูงนกจำนวนมาก ก็นึกพอใจในฝูงนกเหล่านั้น จึงได้แอบซุ่มอยู่ ณ
ที่ไม่ไกลจากที่ฝูงนกหากิน จัดแจงเตรียม ตาข่าย และเชือกอยู่
เมื่อพร้อมแล้วจึงเหวี่ยงตาข่ายเข้าคลุมฝูงนกทั้งหลาย ได้นกไปเป็นจำนวนมาก เหล่านกกระจาบที่หลุดรอดจากการจับกุม
จึงพากันไปปรึกษากับนกกระจาบผู้เป็นหัวหน้า
“นี่พวกเราจักทำอย่างไรดีเล่า
นายพรานนั่น จับพวกเราไปมากมายแล้วนะท่านหัวหน้า”
นกตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น “เอาอย่างนี้ดีไหม” หัวหน้านกกระจาบเอ่ยขึ้นหลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักใหญ่ “พวกเราทั้งหลายต่อไปนี้ถ้านายพรานมาอีก ขอให้ฟังสัญญาณจากเราให้ดี
เมื่อเรากล่าวว่า “นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว
ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที”
ขอพวกเราจงบินขึ้นไปยังยอดไผ่ เพื่อเอาตาข่ายไปแขวนไว้
แล้วเธอจงมุดลงมาทางด้านล่างของตาข่าย เพียงแค่นี้
นายพรานก็มิอาจจะทำอะไรพวกเธอได้อีกต่อไป”
วันต่อมา
นายพรานมาซุ่มรอเหล่านกกระจาบอีก เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้
เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว
ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น จึงกล่าวคำสัญญาณ “นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว
ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที” เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น ก็บินขึ้นไปยังยอดไผ่พร้อมกัน
ยกเอาตาข่ายขึ้นไปแขวนไว้ได้ ทำให้นายพรานไม่ได้นกกลับไปสักตัวหนึ่ง
และยังต้องเสียเวลาแก้ตาข่ายออกจากยอดไผ่อีกด้วย เป็นอยู่เช่นนี้วันแล้ว วันเล่า
![]() |
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
ข้างฝ่ายนายพรานไม่ย่อท้อ
ยังคงจ้องจับนกกระจาบอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน ด้วยหวังว่า สักวัน
เมื่อนกกระจาบขาดความสามัคคี
เมื่อนั้นเขาจะได้นกกระจาบทั้งฝูงกลับไปฝากภรรยาเป็นแน่และแล้ววันของนายพรานก็มาถึง
นกกระจาบตัวหนึ่งถลาร่อนหมายจะลงมายังพื้นดินหากแต่พลาดไปเหยียบเอาหัวของเพื่อนนกอีกตัวเข้า
ทำให้นกตัวนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่านกตัวแรกจะขอโทษอย่างไรก็ไม่ยอม
เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต หัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น ก็นึกรู้ว่าวันนี้
หากนายพรานมา พวกนกทั้งหลาย จะไม่ยอมสามัคคีกันอีกเป็นแน่
จึงรวบรวมพรรคพวกที่เชื่อฟังหนีไปยังที่ปลอดภัย
แล้วกลับมาเฝ้าสังเกตฝูงนกที่เหลืออยู่ ไม่นานนักนายพรานก็มาซุ่มรอดูเหล่านกกระจาบอีก
เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร
เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น
จึงกล่าวคำสัญญาณ “นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที” เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น
ต่างก็เกี่ยงงอนกันไม่มีใครยอมยกตาข่ายขึ้นเมื่อนายพรานเห็นดังนั้น
จึงรีบวิ่งเข้ามาคว้าเอานกที่ขาดความสามัคคีนั้นไปได้ทั้งหมด
ฝ่ายหัวหน้าฝูงนกกระจาบ
เมื่อเห็นว่าตนช่วยเหลือเพื่อนผู้ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไม่ได้แล้ว
จึงบินกลับไปยังที่ที่ปลอดภัย และใช้ชีวิตอยู่กับเหล่านกกระจาบที่เหลืออย่างมีความสุขตลอดจนสิ้นอายุขัย (จากเว็บบ้านจอมยุทธ์ baanjomyut.com)
ใช่หรือไม่
เพราะพลังความสามัคคีที่นำความเข้มแข็งมาสู่สังคม มาสู่ชุมชน
พลังสามัคคีจะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องอาศัยพลังแห่งความศรัทธาร่วมกัน ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วนั้นก็จะเกิดพลังแห่งความเชื่อ
เมื่อเชื่อแล้วก็ต้องมีพลังแห่งความรักเข้าไปขับเคลื่อนให้ออกมาสู่การปฏิบัติอันงดงาม
ในโลกยุคแห่งการรีบเร่ง รวดเร็วและรวบรัด
มักจะมองข้ามและมองพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
พลังเหล่านี้เป็นพลังเสริมที่สำคัญ แต่คนทั่วไปใช้เพียงพลังสมอง
พลังทางร่างกายเพื่อเข้าสู่สนามแข่งขัน เพียงมุ่งมั่นหมายได้คว้าชัย ไม่นานก็อ่อนล้าอ่อนแรง
แห้งเหี่ยวเครียดลงตับลงกระเพาะ กลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่ร่าเริงไม่สดชื่น
เห็นชีวิตเช่นนี้แล้ว นำมาเปรียบกับนกน้อยช่างเจรจายามเช้า ดูเหมือนว่านกน้อยดูจะมีความสุขมากกว่าเป็นไหนๆ
และอีกไม่นานเราจะก้าวเข้าสู่ “ปีแห่งความเชื่อ” ตามที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 ได้ทรงประกาศไว้
เราต้องเริ่มคิดทบทวนตัวเราเองว่า พลังแห่งความเชื่อของเรามีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าขาดหายไปเราก็ต้องเพิ่มเติมลงไป
ส่วนใครที่มีพลังความเชื่อและยังรักษาไว้ได้อย่างมั่นคง ก็เปลี่ยนให้เป็นพลังแห่งรักและเมตตา
เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าเชื่อโดยไม่แสดงออก....