วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พลังที่มองไม่เห็น


พลังที่มองไม่เห็น
หากไม่สังเกตก็ไม่รู้เลยว่า ในทุกๆเช้าตรงหลังบ้านตึกแถวที่อาศัยอยู่นั้น จะมีนกกระจอกเล็กๆอยู่ฝูงหนึ่ง ต่างส่งเสียงเหมือนกำลังคุยกัน เพราะชีวิตที่เหมือนดังถูกกำหนดด้วยตารางอันตายตัว ตื่นนอนในเวลาเหมือนๆกัน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านด้วยความคุ้นชินเป็นประจำย้ำซ้ำเดิมอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ไม่เคยที่จะหยุดฟังเสียงนกน้อยทักทาย มาวันนี้มีเวลาให้กับชีวิตนิ่งๆเงียบๆไม่รีบไม่ร้อน ทำให้เพลิดเพลินจากเสียงนกที่เหมือนจะคุยกัน บางครั้งถึงขั้นลองใส่จินตนาการว่านกน้อยเหล่านั้นคงกำลังคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดีนะที่ไม่ได้ไปนั่งร่วมวงสนทนาภาษานกด้วย ไม่งั้นคนรอบข้างคงเผ่นหนี และหาว่าบ้าไปแล้วเป็นแน่... 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
จะด้วยความบังเอิญหรือเป็นเพราะเบื้องบนจัดสรรก็ไม่ทราบได้ (แต่ด้วยความเชื่อแล้ว ทุกๆเหตุการณ์ในชีวิตมักถูกร้อยเรียงโดยพระผู้สร้างอย่างเหมาะเจาะเสมอมา) เรื่องนี้ก็เช่นกันในวันที่เพลิดเพลินกับเสียงนกน้อยยามเช้า ตกสายมาก็ได้อ่านนิทานเรื่องที่เกี่ยวกับนกที่ให้บทสอนดีๆเรื่องหนึ่ง ที่สอนให้เราได้เรียนเรื่องพลังที่สร้างโลกสร้างสังคมมาอย่างยาวนาน เป็นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่ถูกสร้างด้วยหัวใจ....
นานแสนนานผ่านมา ณ ป่าไผ่แห่งหนึ่งมีนกกระจาบอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยหากินอยู่เป็นประจำ ต่อมามีพรานป่าผู้หนึ่งเที่ยวเสาะแสวงหาสัตว์ต่างๆ ผ่านมา เห็นฝูงนกจำนวนมาก ก็นึกพอใจในฝูงนกเหล่านั้น จึงได้แอบซุ่มอยู่ ณ ที่ไม่ไกลจากที่ฝูงนกหากิน จัดแจงเตรียม ตาข่าย และเชือกอยู่ เมื่อพร้อมแล้วจึงเหวี่ยงตาข่ายเข้าคลุมฝูงนกทั้งหลาย ได้นกไปเป็นจำนวนมาก เหล่านกกระจาบที่หลุดรอดจากการจับกุม จึงพากันไปปรึกษากับนกกระจาบผู้เป็นหัวหน้า 
นี่พวกเราจักทำอย่างไรดีเล่า นายพรานนั่น จับพวกเราไปมากมายแล้วนะท่านหัวหน้า นกตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น  “เอาอย่างนี้ดีไหม หัวหน้านกกระจาบเอ่ยขึ้นหลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักใหญ่ “พวกเราทั้งหลายต่อไปนี้ถ้านายพรานมาอีก ขอให้ฟังสัญญาณจากเราให้ดี เมื่อเรากล่าวว่า นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที ขอพวกเราจงบินขึ้นไปยังยอดไผ่ เพื่อเอาตาข่ายไปแขวนไว้ แล้วเธอจงมุดลงมาทางด้านล่างของตาข่าย เพียงแค่นี้ นายพรานก็มิอาจจะทำอะไรพวกเธอได้อีกต่อไป
วันต่อมา นายพรานมาซุ่มรอเหล่านกกระจาบอีก เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น จึงกล่าวคำสัญญาณ  นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น ก็บินขึ้นไปยังยอดไผ่พร้อมกัน ยกเอาตาข่ายขึ้นไปแขวนไว้ได้ ทำให้นายพรานไม่ได้นกกลับไปสักตัวหนึ่ง และยังต้องเสียเวลาแก้ตาข่ายออกจากยอดไผ่อีกด้วย เป็นอยู่เช่นนี้วันแล้ว วันเล่า
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ข้างฝ่ายนายพรานไม่ย่อท้อ ยังคงจ้องจับนกกระจาบอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน ด้วยหวังว่า สักวัน เมื่อนกกระจาบขาดความสามัคคี เมื่อนั้นเขาจะได้นกกระจาบทั้งฝูงกลับไปฝากภรรยาเป็นแน่และแล้ววันของนายพรานก็มาถึง นกกระจาบตัวหนึ่งถลาร่อนหมายจะลงมายังพื้นดินหากแต่พลาดไปเหยียบเอาหัวของเพื่อนนกอีกตัวเข้า ทำให้นกตัวนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่านกตัวแรกจะขอโทษอย่างไรก็ไม่ยอม เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต หัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น ก็นึกรู้ว่าวันนี้ หากนายพรานมา พวกนกทั้งหลาย จะไม่ยอมสามัคคีกันอีกเป็นแน่ จึงรวบรวมพรรคพวกที่เชื่อฟังหนีไปยังที่ปลอดภัย แล้วกลับมาเฝ้าสังเกตฝูงนกที่เหลืออยู่ ไม่นานนักนายพรานก็มาซุ่มรอดูเหล่านกกระจาบอีก เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น จึงกล่าวคำสัญญาณ นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น ต่างก็เกี่ยงงอนกันไม่มีใครยอมยกตาข่ายขึ้นเมื่อนายพรานเห็นดังนั้น จึงรีบวิ่งเข้ามาคว้าเอานกที่ขาดความสามัคคีนั้นไปได้ทั้งหมด 
ฝ่ายหัวหน้าฝูงนกกระจาบ เมื่อเห็นว่าตนช่วยเหลือเพื่อนผู้ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไม่ได้แล้ว จึงบินกลับไปยังที่ที่ปลอดภัย และใช้ชีวิตอยู่กับเหล่านกกระจาบที่เหลืออย่างมีความสุขตลอดจนสิ้นอายุขัย  (จากเว็บบ้านจอมยุทธ์  baanjomyut.com)
ใช่หรือไม่ เพราะพลังความสามัคคีที่นำความเข้มแข็งมาสู่สังคม มาสู่ชุมชน พลังสามัคคีจะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องอาศัยพลังแห่งความศรัทธาร่วมกัน ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วนั้นก็จะเกิดพลังแห่งความเชื่อ เมื่อเชื่อแล้วก็ต้องมีพลังแห่งความรักเข้าไปขับเคลื่อนให้ออกมาสู่การปฏิบัติอันงดงาม ในโลกยุคแห่งการรีบเร่ง รวดเร็วและรวบรัด มักจะมองข้ามและมองพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน พลังเหล่านี้เป็นพลังเสริมที่สำคัญ แต่คนทั่วไปใช้เพียงพลังสมอง พลังทางร่างกายเพื่อเข้าสู่สนามแข่งขัน เพียงมุ่งมั่นหมายได้คว้าชัย ไม่นานก็อ่อนล้าอ่อนแรง แห้งเหี่ยวเครียดลงตับลงกระเพาะ กลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่ร่าเริงไม่สดชื่น เห็นชีวิตเช่นนี้แล้ว นำมาเปรียบกับนกน้อยช่างเจรจายามเช้า ดูเหมือนว่านกน้อยดูจะมีความสุขมากกว่าเป็นไหนๆ และอีกไม่นานเราจะก้าวเข้าสู่ ปีแห่งความเชื่อ ตามที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงประกาศไว้ เราต้องเริ่มคิดทบทวนตัวเราเองว่า พลังแห่งความเชื่อของเรามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าขาดหายไปเราก็ต้องเพิ่มเติมลงไป ส่วนใครที่มีพลังความเชื่อและยังรักษาไว้ได้อย่างมั่นคง ก็เปลี่ยนให้เป็นพลังแห่งรักและเมตตา เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าเชื่อโดยไม่แสดงออก....

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดราม่า ....แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร


ดราม่า ....แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร
สังคมไทยมักเกิดเรื่องราวให้พูดถึง ให้วิพากษ์วิจารณ์กันได้ทุกวัน จากเรื่องกระแสฟุตบอลยูโร จอดำจอดับ ยังไม่ทันจะคลี่คลายและสร่างซา ก็มีเรื่องใหม่ๆเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ดูเหมือนเราดูละครหลังข่าวที่แต่ละวันเล่นไม่ซ้ำเรื่องกัน บางเรื่องราวมีความซับซ้อนเบื้องหน้าเบื้องหลังมากมาย มีการหักมุมหักเหลี่ยม จึงเกิดวัฒนธรรมข้อมูลข่าวสารแบบ ดราม่า คือ ทำให้เรื่องราวมีสีสัน ไม่ซีเรียส
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
คำว่า ดราม่า กำลังเป็นที่นิยมพูดกันมากในกลุ่มชนที่อยู่ในโลกไซเบอร์ สังคมเครือข่าย ดราม่า เป็นเหมือนการสร้างเรื่อง หรือนำเรื่องที่เกิดขึ้นแต่งเสริมปรุงให้น่าติดตาม บางเรื่องปรุงแต่งมากไปหน่อยก็กลายเป็นดราม่า(ละคร)น้ำเน่า หาความสมจริงไม่เจอ บางเรื่องก็พยายามสร้างฉาก เซ็ทเรื่องขึ้นมาโดยใช้การตลาดนำ ซึ่งมีไม่น้อยที่เป็นเรื่องที่ไร้รสนิยม ไร้จริยธรรมและเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว...
สมัยนี้เราจึงเห็นการทำอะไรก็ได้เพื่อให้เป็นที่พูดถึงของคนกลุ่มใหญ่ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบ ก็แปลกดี คนเราวันนี้สามารถทำให้คนหมู่มากเกิดพลังพูดคุยได้ หรือทำให้คนหมู่มากเกิดความสับสนได้เพียงใช้ตัวหนังสือที่พลิ้วไหว มีคนไม่น้อยที่มุ่งหวังเพียงเพื่อผลประโยชน์แบบฉาบฉวย สร้างเรื่องมาเพื่อให้พูดต่อๆกันไป ซึ่งไม่เหมือนคนสมัยก่อนที่พยายามสร้างทางปูทางสายคุณธรรม สร้างหลักศีลธรรมให้คนหมู่มากได้คิด ได้ไตร่ตรอง ได้วิเคราะห์ และก็กลายเป็นหลักอมตะค้ำยันโลกนี้..
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดราม่าที่กำลังถกเถียงกันว่า อะไรที่เรียกว่าพรสวรรค์ อะไรที่เรียกว่าความสามารถและอะไรหรือคือศิลปะ ก็เป็นกระแสที่กำลังเป็นที่กล่าวขานถึง ก็อย่างที่ทราบๆกันอยู่ เราคงไม่นำเรื่องมาเล่าเพื่อต่อเติมประเด็น แต่สิ่งที่เห็น วันนี้เรามีคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งก็บอกว่าแนวคิดแบบนี้ถูก แนวคิดแบบนั้นผิด อีกกลุ่มก็เห็นตรงข้าม ต่างก็ใช้ความเป็นตัวตน ความเห็นแก่ตัว ยึดในความคิดที่ว่า สิ่งที่ออกมาจากตัวเองเท่านั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง ค่านิยมนี้กำลังครอบงำสังคม และกลืนกินให้ผู้คนติดกับดัก วนเวียนอยู่เพียงการต่อล้อต่อเถียงกันเพื่อให้เกิดความสะใจ เพื่อมุ่งให้ชนะในอารมณ์ที่มีเหนือกว่า แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะมาร่วมกันกับเพื่อนฝูง คนคุ้นเคย นั่งคิดนั่งคุย นำเรื่องที่เกิดขึ้นมาพูดคุยวิเคราะห์ มาหาบทเรียนและบทสอนให้กับชีวิต อย่างเก่งก็เห็นจับกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์ตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็จากลากันไปแบบไม่ได้อะไรงอกเงยขึ้นมาในหัวใจ มีแต่สิ่งเดิมๆที่ติดค้างคาอยู่ในหัว และก็อวดตัวว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งถูกสุดแล้ว
สิ่งหนึ่งที่เราละเลยแล้วมักมองข้ามผ่านไปเสมอๆนั่นคือ เด็กของเราจะได้อะไรจากการได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เราพูดคุยกัน...ทุกครั้งที่เห็นแววตา รอยยิ้มผ่านช่องเหงือกที่ไร้ฟันซี่ ได้ยินคำพูดแบบซื่อๆ เห็นการเล่นตามจินตนาการแบบไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ยามเมื่อได้รวมตัวกัน เด็กเหล่านี้จะต้องผ่านดราม่าอีกกี่ร้อยครั้งในชีวิต ต้องผ่านดราม่าของสังคมอีกกี่มากน้อยแค่ไหน ดวงตาใสๆรอยยิ้มน้อยๆจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า มันน่าเศร้าที่เราผู้ผ่านวันวานมาก่อน มิได้เป็นผู้เตรียมทางให้พวกเขาเดิน เราต้องเป็นผู้เตรียมทางที่มิใช่ผู้ปูทาง ที่เฝ้าฝังความทรงจำแห่งยุคสมัยให้พวกเขา วันพรุ่งนี้ของพวกเขาคือวันเวลาแห่งเทคโนโลยีสื่อสารครองเมือง หากไม่หมั่นอบรมสอนบอกกล่าว เด็กเหล่านี้ย่อมไร้ภูมิ แล้วเด็กคนนี้ที่เราเห็นวันนี้จะเป็นอะไร อย่างไรเล่าในวันพรุ่งนี้...
เราก็เห็นๆกันอยู่ว่าทุกวันนี้คนไทย ดำเนินชีวิตประจำวันโดยมีเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ก่อนเรื่องอื่น ยุคของการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้านหนึ่งทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ใช่หรือไม่  ในความสัมพันธ์รูปแบบการดำเนินชีวิตของครอบครัวในปัจจุบัน ก็มีความแตกต่างไปจากครอบครัวไทยในอดีต เราห่างเหินกันมากขึ้น เพราะแต่ละคนต่างเป็นอิสระ มีที่มีทางของตนเอง ทุกคนมักใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่สังคมนอกบ้าน ทำงานหนัก เรียนหนัก บ้านเป็นเพียงที่พักพิงของแม่บ้าน ของยามและของมดหนูแมลง
วิธีการเลี้ยงดูลูกหลานก็แตกต่างไปจากเดิม พ่อแม่ทำงานหนักเหนื่อยกลับมาถึงบ้านก็อยากพักผ่อน ความใกล้ชิดสนิทสนมลดลง หลายครอบครัวเลี้ยงลูกด้วยวิทยาการสมัยใหม่ให้เครื่องยนต์กลไกเป็นผู้ดูแลอบรมสั่งสอนลูกแทนตน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตที่ทันสมัย ทำไปทำมาเกิดความวิตกกังวลของพ่อแม่อีก กลัวว่าลูกหลานของตนจะรู้น้อยกว่าเด็กอื่น ไม่ทัดเทียมลูกบ้านอื่น สมองน้อยๆของพวกเขา เลยต้องคิด ต้องจดจำ รับรู้ความรู้วิทยาการต่างๆมากขึ้น แต่ด้านศีลธรรมจรรยาไม่ได้รับการเลี้ยงดู เด็กก็เกิดความรับรู้โดยอัตโนมัติว่า ตนจะต้องทำแบบนั้นเพราะใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าไม่ทำก็สู้คนอื่นไม่ได้ หรือแม้ไม่อยากทำ ก็จะถูกผู้ใหญ่สร้างดราม่าใส่ความคิดให้อยู่ทุกวันว่าต้องทำ สมองน้อยๆ ความคิด ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของเขาก็ซึมซับเอาความคิดเหล่านี้ไว้โดยปริยาย  เด็กไทยในยุคนี้จึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเป็นของตัวเองและมีแนวโน้มจะไม่ยอมรับฟังความคิดของผู้อื่น มีความคิดเห็นมักสวนทางกับความคิดของผู้ใหญ่อยู่เสมอ
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
         เราในฐานะผู้เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง เราก็มักตั้งคำถามว่า แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร ซึ่งเป็นความห่วงใยที่งดงาม แต่ระหว่างทางนั้น เราเป็นคนขีดเขียนบทให้เขาเดินไปหรือเราเป็นเพียงผู้นำทางให้พวกเขาก้าวสู่ลู่ทางของตัวเองอย่างสมบูรณ์บนความเป็นมนุษย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ใหญ่รู้จักปรับวิธีการให้เหมาะสมกับยุคที่เปลี่ยนไป อย่าเอาดราม่าที่เราชื่นชอบไปใส่ไว้ในตัวเด็กให้มากนัก สอนให้รู้จักจัดวางตัวตนให้เป็น อย่าไปอวดรู้ทุกเรื่องในทุกที่ เพราะอาจจะมีคนที่สำคัญกว่าเรา รู้มากกว่าเรา ดีมากกว่ายืนอยู่ด้านหลังเราอย่างเงียบๆ ใช่หรือไม่ เราเกิดมาบนโลกนี้เพื่อเตรียมที่เตรียมทางให้กับคนอื่น ไม่ได้เกิดมาเพื่อเบียดบังโลกเพียงเพื่อตัวเอง นี่ต่างหากคือเรื่องจริงที่ไม่ใช่ดราม่า...

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ในเวลาที่เฝ้าดูและรอคอย


ในเวลาที่เฝ้าดูและรอคอย
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณมิตรรักแฟนประจำคอลัมน์ ที่ได้อ่านงานเขียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วพบข้อผิดพลาดบางประการ แล้วมาแจ้งให้ทราบ ทั้งๆที่ขึ้นต้นด้วยเรื่องดาวศุกร์แต่จบท้ายเป็นดาวอังคาร.......ขอน้อมรับความผิดพลาดในความพลั้งเผลอโดยมิมีข้อแก้ตัวในครั้งนี้ด้วยครับ...
เคยสังเกตไหมว่าในชีวิตของเรานั้น มีเวลา มีจังหวะ ในทุกการเคลื่อนไหวมีเหตุผลประกอบบอกให้รู้ หรือแม้กระทั่งมีการส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่บ่อยครั้งเราละเลยมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป ซึ่งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า สัญญาณแห่งกาลเวลา...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
“สัญญาณแห่งกาลเวลา”นี้ หมายถึงอะไร บางคนคิดว่าคงเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น การล่มสลายของเศรษฐกิจ (ขณะนี้เกิดขึ้นในประเทศทางยุโรป โดยเฉพาะกรีซและสเปน) การก่อการร้าย สงครามกลางเมือง อุบัติภัยของพายุ สึนามิ น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว หรือ ภาวะโลกร้อน โรคระบาด หรืออาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในพระศาสนาจักร นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งกาลเวลา  แต่ในความเป็นปัจเจก สัญญาณแห่งกาลเวลาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งเราก็พบเจอมรสุมพายุร้ายพัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิต เราต้องเฝ้าดูและรอคอยเวลาเพื่อให้สิ่งหนักๆผ่านไปด้วยความหวัง แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะใจร้อน คิดเองเออเอง ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ขัดแย้งกับเครื่องหมาย สิ่งที่จะนำเราให้เข้าใจสัญญาณแห่งกาลเวลาได้นั้นเราต้องอาศัยความอดทนและความศรัทธาเป็นแกนหลัก
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่...ในเวลาที่เราเฝ้าดูและรอคอยอะไรบางอย่างนั้น มันช่างทรมาน มันน่ารำคาญ หงุดหงิดใจที่ไม่เป็นดังหวัง จากประสบการณ์ของแต่ละคนที่ผ่านมาไม่มากก็น้อย มักถูกเข้าใจผิด ถูกผู้อื่นกล่าวหาให้ร้ายเสียหาย เราก็อยากจะอธิบายอย่างยิ่ง อยากจะแก้ตัวแก้ต่าง แต่บ่อยครั้งยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ยิ่งเหมือนสุมฟืนใส่กองไฟ การนิ่งเงียบและอาศัยความเพียรทน เพื่อพิสูจน์ความจริง ใช้ความซื่อสัตย์ในความดี ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลากว่าความจริงจะเปิดเผยออกมา อาจจะเจ็บปวดบ้างบางครั้งในระหว่างทางที่เฝ้าดูและรอคอย สิ่งสำคัญคือการเชื่อมั่นในองค์แห่งความดี เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งความจริง เวลาของเรากับเวลาของพระเจ้าไม่เหมือนกันและพระองค์ย่อมมีเวลาให้เราพิสูจน์ความจริง ความดีงามได้เสมอ 
ในขณะเดียวกัน บ่อยครั้งเรามักจะเข้าใจผู้อื่นผิดๆ โดยใช้เพียงการได้ยินมา ได้รับข้อมูลฝ่ายเดียวเยอะกว่า และก็ตีความ ตีราคาค่าคนอื่นแบบผิดๆ พร้อมปิดประตูที่จะยอมรับฟังคำอธิบาย การที่เราตัดสินใจที่จะตัดสินคนๆหนึ่งว่า ผิด ถูก ประการใดนั้น ก่อนอื่นต้องทบทวนและวอนขอปรีชาญาณจากพระเจ้าเสมอ ต้องใช้มโนสำนึกและการวิเคราะห์ ไตร่ตรองถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างลึกซึ้ง อย่าใช้เพียงเชื่อเพราะได้ยิน อย่าเชื่อเพราะได้เห็น อย่าเชื่อเพราะเสียงเล่าลือเล่าอ้าง อย่าเชื่อเพราะอ่านข้อมูลข่าวสาร เพราะเอาเข้าจริง ข่าวสารเหล่านั้นกว่าจะถึงมือเราก็ต้องผ่านการแก้ไขแล้วแก้ไขอีกหลายต่อหลายรอบ อย่าเชื่อเพราะมีคนบอกต่อๆกันมา และอย่าเชื่อเพราะคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกัน สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของเราอย่างมาก เป็นเชื้อราเชื้อโรคร้ายสกัดกั้นไม่ให้เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามได้เติบโตในจิตวิญญาณของเรา
ในยุคสมัยใหม่ การไหลบ่าของข้อมูลมีมากมายจนกลายเป็นขยะก็มากล้น แต่คนก็กลับเลือกรับแบบง่ายดายไร้การไตร่ตรอง แล้วก็คิดเองว่าสิ่งที่ได้รับนั้นคือความจริงแท้ ที่เมื่อมีไว้ครอบครองแล้วจะสร้างความภูมิฐานได้เป็นอย่างดียิ่ง หารู้ไม่ว่า สิ่งนี้มันกลายเป็นกำแพงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงจนกั้นไม่ให้สิ่งสวยงามไหลเข้ามา ยิ่งโลกในอนาคตถ้าเรายังดำเนินชีวิตบนเส้นทางของการเสพติดข่าวสารแบบเลือกข้างเลือกเชื่อด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอันตราย เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังถูกปีศาจที่คอยอาศัยจังหวะที่เราหลงลืม ที่เราหย่อนยานและขาดความอดทน ช่วงที่เราไม่รอบคอบเข้าครอบครองนิสัยใจคอเราให้กลายเป็นคนที่ปฏิเสธความจริงเพียงเพื่อรักษาหน้า
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในช่วงเวลาที่เราเฝ้าดูและรอคอยนั้น เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ความจริงคลี่คลายออกมา เมื่อถึงจังหวะ ถึงเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง จังหวะนั้นเราจะพบกับความสุขอย่างแท้จริง เหมือนยกภูเขาออกจากอก เบาเหมือนปุยนุ่น สิ่งที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้ต้องผ่านทางการให้อภัยกัน สนทนากันแบบมิตรสหาย เปิดใจเปิดปากคุยกัน เป็นการปรับเคลื่อนความเข้าใจให้ตรงกัน และหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความจริง ใส่ปุ๋ยแห่งความรัก ลดน้ำใจลงไป ไม่นานต้นกล้าแห่งความจริงก็จะผลิบาน มันน่าเสียดายหากว่าเราปล่อยให้วันเวลาแห่งความเข้าใจผิดเดินทางไปสู่ความเกลียดชัง น่าเสียดายถ้าวันเวลาที่เดินผ่านไปมีแต่ความหักหลังชิงชังกัน โลกนี้ คนเรานั้น เกิดมาจากความรักด้วยกันทั้ง ทำไมปล่อยให้ความเกลียดโกรธจากความเข้าใจผิดเข้าครอบงำ ทั้งๆที่เรามีเวลาในโลกนี้เพื่อกันและกัน   
หมั่นสวดอธิษฐานวอนขอความปรีชาฉลาดให้สามารถอ่าน สัญญาณแห่งกาลเวลาในยุคสมัยของเรา เพื่อว่าเราจะได้ตีความหมายแห่งกาลเวลาได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับโลกที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งในฐานะบุคคลและในฐานะที่เป็นสมาชิกของโลกนี้และขอความกล้าหาญ ความอดทน เพื่อต้นกล้าน้อยๆจะค่อยๆเติบโตขึ้นบนหนทางที่จะรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เรามิอาจจะหลีกหนีเวลาแห่งการขัดแย้งในชีวิตได้ เช่นเดียวกัน เราก็มีเวลาเพียงพอที่จะสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในชีวิตมิใช่หรือ....

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สละ(กัน)เสียบ้าง..

สละ(กัน)เสียบ้าง..
6 มิถุนายนที่ผ่านมา (วันที่เขียนสารวัดฉบับนี้พอดี) เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนไทยได้เห็นปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เหนือฟากฟ้าเมืองไทย ปรากฏการณ์นี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเราที่จะมีโอกาสได้เห็น เพราะว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2660 หรืออีกกว่าหนึ่งศตวรรษในอนาคต ใครจะมีโอกาสอยู่ถึงวันนั้นบ้างหนอ....!!!! ก็อย่างที่ทราบๆกันนี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์เคลื่อนที่ผ่านแนวเส้นตรงที่เชื่อมระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์ และโลก เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดาวศุกร์ปรากฏเป็นจุดกลมเล็กเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ หลายคนคงได้ดูได้เห็นภาพสวยๆจากสื่อต่างๆ
ในขณะที่เกิดปรากฏการณ์อันบ่งบอกถึงความอัศจรรย์ และสวยงามของสิ่งสร้าง ก็มีสิ่งสร้างเล็กๆที่เรียกว่า คน อีกหลายคน ยังหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเอง วนๆเวียนๆอยู่แค่เรื่องของตัวเอง จักรวาลอันกว้างใหญ่ ดาวศุกร์เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์เล็กเพียงแค่หัวไม้ขีด แต่คนเราเป็นเพียงผงฝุ่นกลับทำตัวเป็นศูนย์รวมของโลกไปซะงั้น ทั้งๆที่เราอยู่บนโลกเราควรที่จะสร้างโลกให้สวยงาม ตามพระประสงค์ของการเนรมิต เพื่อไปให้ถึงเช่นนั้นโลกจึงต้องอาศัยการเสียสละเป็นพื้นฐาน
คุณธรรมเรื่องของการเสียสละนี้ ถือว่าเป็นคุณธรรมที่มีการปลูกฝังอบรมสั่งสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อให้ทุกคนต้องรู้จักสละเรื่องส่วนตัวทำเพื่อผู้อื่นบ้าง เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่เป็นสัจจะ เราทุกคนเกิดมาเพื่อผู้อื่นด้วยกันทั้งสิ้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนยุคสมัยผ่าน เราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าความเจริญก้าวหน้าในด้านวัตถุและเทคโนโลยีของวันนี้ ทำให้หลายๆคนคลั่งไคล้ในแนวคิดแบบวัตถุนิยม และยึดโยงผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ขาดความเสียสละและไร้แล้งน้ำใจ จนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปในที่สุด คุณธรรมถูกแทนที่ด้วยคุณประโยชน์ ความเสียสละและความมีน้ำใจ กำลังจะจางหายไปจากสังคมของเรามากขึ้นทุกที ซึ่งจะเห็นได้จากการที่สังคมเกิดความวุ่นวาย ความโกลาหล ต่างคนต่างก็เห็นแก่ตัว จะเอาชนะกัน ชิงดีชิงเด่น ดื้อดึง ดื้อรั้น อย่างที่เห็นๆกันอยู่
สังคมในยุคปัจจุบัน เป็นสังคมของการแข่งขันไปเสียเกือบจะทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันเพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพ แข่งขันกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ แข่งขันกันเพื่อแสวงหาอำนาจและบารมี หรือแข่งขันกันเพื่อเอาตัวรอดโดยลำพัง คุณค่าคนถูกแทนที่ด้วยราคาคน เรื่องความเสียสละจึงถูกแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องของการเรียกร้องให้อาสา คนยุคใหม่จึงมีแต่การเรียกร้องมากกว่าการเสียสละให้ผู้อื่น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเรากลับมีมุมมองของเรื่องการเสียสละเพียงแค่ สละ ของที่ เสีย แล้ว ใช้ไม่ได้แล้วนำไปให้ผู้อื่น การเสียสละที่แท้จริงต้องมาจากใจที่ยอมสละให้สิ่งที่ดีๆแก่ผู้อื่น สละเวลาส่วนตัวเพื่อทำคุณประโยชน์ให้ส่วนรวม สละความเป็นตัวตนเพื่อน้อมรับฟังผู้อื่น สละอคติติดตัวแล้วไตร่ตรองในสิ่งที่เห็นที่ฟังที่ได้สัมผัส สละนิสัยเสียๆของเราที่มักเรียกร้องให้คนอื่นชื่นชมในทุกผลงาน สละความอวดรู้อวดเก่งเบ่งภูมิ แต่รู้จักที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้รับความรู้จากเราอย่างฉลาดและเข้าถึง
การเสียสละนั้นนำไปสู่การให้ ถ้ามองอย่างผิวๆแล้ว คำสองคำนี้ดูจะเหมือนๆกัน แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในรายละเอียดแล้วจะพบว่า การเสียสละ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและน่าชมเชย แต่ การให้ นอกจากจะน่ายกย่องและน่าชมเชยแล้ว ยังประเสริฐสูงสุดด้วย การเสียสละ เป็นการกระทำไปเพียงเพื่อเพราะปรารถนาดี แต่ การให้ เป็นการทำเพื่อให้เกิดคุณงามความดีอย่างแท้จริง การเสียสละ ให้ความรู้สึกขาดแคลน แต่ การให้ นำความรู้สึกเต็มตื้นและอุดมสมบูรณ์มาสู่ชีวิต 
วิเคราะห์ลงลึกไปกว่านั้น การเสียสละ คือ การแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัดให้กับบุคคลอื่นด้วยความปรารถนาดี ผู้แบ่งปัน จึงรู้สึกขาดแคลน ขาดหายไป ในระดับลึกๆของจิตใจและจิตวิญญาณจะรู้สึกสูญเสีย สร้างความรู้สึกไม่ดีอย่างร้ายกาจและบาดแผลในใจ คาดหวังสิ่งตอบแทนที่จะมาชดเชยอย่างเงียบๆ ถึงแม้จะพูดว่า ฉันไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ก็ตาม ส่วนผู้รับ นั้นถึงแม้จะชื่นชมยินดี ซาบซึ้งและมองเห็นคุณความดีของผู้แบ่งปัน แต่เขาจะรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เช่นกันทั้งผู้แบ่งปันและผู้รับจะรู้สึกขาดหายไปทั้งคู่  ส่วน การให้ นั้นเป็นการแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่อย่างอุดมล้นเหลือไม่จำกัดให้กับบุคคลอื่นด้วยความปรารถนาดีและอิ่มเอิบ ผู้แบ่งปันรู้สึกมั่งคั่ง รู้สึกถึงความล้นพ้นประมาณเปี่ยมล้น ในจิตใจได้รับและดึงดูดความมั่งคั่งล้นเหลือมาในจิตใจและจิตวิญญาณ ผู้รับ จะได้รับการแบ่งปันอย่างเต็มใจและไม่รู้สึกผิด มีแต่จะปลาบปลื้มชื่นชมยินดี
ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นคนที่เรารัก เรามักจะเสียสละได้ง่ายกว่า แต่กลับคนที่เราไม่ชอบ ไม่คุ้นเคย การเสียสละย่อมต้องมีสิ่งขัดขืน และเมื่อจะต้องให้ก็ไม่ได้ให้ด้วยหัวใจของผู้เสียสละ พ่อแม่ยอมเสียสละความสุขให้กับลูกเพราะรู้ว่าการเห็นลูกสุขย่อมสุข คนเป็นเพื่อนที่สนิทกันยอมที่จะเสียสละให้เพื่อนได้ง่ายกว่าเพื่อนทั่วๆไป แต่วันนี้เรามีเพื่อนแท้จริงกันสักกี่คน เพราะต่างฝ่ายต่างระแวงระวังว่าจะถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหรือเปล่า และแน่นอนการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ และถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์และความงดงามครบบริบูรณ์ นั่นคือ การให้ชีวิตเพื่อผู้อื่น จะมีสักกี่คนที่ทำได้บนโลกใบนี้ เห็นมีแต่ผู้คนที่เรียกร้องหาความเสียสละ แต่กลับไม่ยอมแม้กระทั่งจะสละน้ำใจตนเองกันบ้างเลย....สังคมที่จะอุดมไปด้วยการให้คงจะอยู่ไกลและริบหรี่
กว่าดาวศุกร์ที่มองเห็นในวันนี้เสียอีก....

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เริ่มต้นจากหนึ่ง


เริ่มต้นจากหนึ่ง
หากไม่มีก้าวแรกของชีวิต เราจะยืนและเดินต่อไปได้อย่างไร? หากไม่เริ่มต้นที่หนึ่งเราจะรู้ความหมายของสอง สาม สี่ และสรรพสิ่งรอบข้างได้อย่างไร? หากไม่มีเงินบาทแรก เงินเป็นร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน นั้นจะบังเกิดขึ้นได้อย่างไร? หากไม่มีวินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก ความงดงามแห่งสิ่งสร้างจะหยั่งลึกลงในจิตใจเราได้หรือ????... ทุกขั้นตอนของชีวิตก่อกำเนิดจากศูนย์ ก็จะต้องเริ่มต้นที่หนึ่งเสมอ แต่แล้ว...เมื่อเราก้าวผ่านหนึ่งไปได้ เราก็ถอยห่าง หลงลืมจุดเริ่มต้นเสมอเช่นกัน จากความเป็นหนึ่งกลายเป็นแตกแยก กลายเป็นการแข่งขัน เราทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อจะกลับมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่จุดเริ่มต้น จุดก่อเกิด แต่เป็นจุดมุ่งหมายเพื่อให้ตัวเองได้ครอบครอง ยึดครองถือไว้แต่เพียงผู้เดียว คนเราถอยห่างจากความหมายที่แท้จริงของความเป็นหนึ่ง ที่นับวันยิ่งไกลห่างถ่างออกไปทุกทีๆ
ใช่... เราเริ่มต้นจากหนึ่ง เพื่อไปสู่ความเป็นเอกภาพ แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวอันเป็นสรณะประจำตัวของแต่ละคน ทำให้ระยะห่างของผู้คนมีมากขึ้น ยิ่งในยุคที่ทุกคนคิดว่าโลกนี้ไม่มีใครเก่งเกินตัวด้วยแล้ว ยิ่งอันตราย การยอมรับกัน ความนอบน้อม เคารพในความเห็นของคนอื่นเป็นสิ่งโบราณที่มองไม่เห็นคุณค่า ในยุคที่คนเสพข้อมูลกันได้มากมาย แบบไร้ขีดจำกัด แต่ก็แปลก ผู้คนมักแยกแยะและสังเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลกันไม่เป็น เลือกรับและเลือกเสพในสิ่งที่ตัวเองเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ดูเหมือนว่าเป็นการเปิดหูเปิดตารับข้อมูล แต่กลับปิดใจในการพิจารณาข้อมูลเหล่านั้นด้วยเหตุผล และที่สำคัญหลายครั้งขาดความรักในการอ่านโลกใบนี้ มีแต่อคติต่อคน ต่อสิ่งรอบข้าง สังคมจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง อยู่ท่ามกลางสนามแข่งขัน ไร้เอกภาพ...
ใช่... เราเริ่มต้นจากหนึ่ง แต่แล้วเราก็วกกลับมาเพื่อครอบครองความเป็นหนึ่ง ด้วยว่าอยากเป็นคนสำคัญ ด้วยว่าอยากเป็นที่ยอมรับ ด้วยว่าอยากมีอำนาจและด้วยว่าอีกหลากหลายประการ... สังคมขาดคนที่รู้สึกตัว และคนที่รู้จักวางตัวให้เหมาะกับเวลา กับสถานที่มากขึ้น คนเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งไปเสียทุกเรื่อง การเป็นที่สอง ที่สาม หรือที่สี่ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หารู้ไม่... ก็เป็นเพราะพวกที่เป็นรองนี่แหละเป็นแรงส่งให้คนที่หนึ่งดูสง่างาม และคนเป็นที่หนึ่งนั้น ยิ่งต้องรู้จักเคารพด้วยว่า หากไร้คนที่รองๆลงไปก็คงไม่มีที่หนึ่งให้ขึ้นมา นี่ต่างหากเป็นความกลมกลืน หล่อหลอมรวมความเป็นหนึ่ง
 ใช่... เราเริ่มต้นด้วยหนึ่ง ซึ่งอาจจะเริ่มต้นได้หลายครั้งหลายหนบนหนทางชีวิตที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน และดูเหมือนว่า ชีวิตคือความไม่สมบูรณ์แบบ มิอาจเป็นดั่งใจได้เสมอไป มีขึ้นแล้วก็ลง มีงดงามแล้วก็มีแก่หง่อม หาความจิรังยั่งยืนไม่ได้ เป็นสัจธรรม ในความเป็นจริงแล้ว ชื่อเสียง เกียรติยศ และความมั่งคั่งนั้น เป็นเพียงมายา แต่จะมีสักกี่คนยอมรับความจริงในข้อนี้ได้ ใช่หรือไม่ แม้เราคิดว่าเราสูงส่ง เราเด่นล้ำกว่าผู้อื่นใดในโลกล้า ก็ต้องมีเวลาสักครั้งที่ต้องก้มหัว ย่อตัวเพื่อลดตัวให้ต่ำลง อย่างน้อยๆก็ก่อนนอนในทุกยามค่ำคืน โน้มตัวนอนแนบแนวกับผืนโลกเสมอเหมือนกัน แล้วเราจะเอาอะไรกันนักเล่ากับสิ่งที่เป็นเปลือกเคลือบฉาบภายนอก
ชีวิตที่เริ่มต้นจากหนึ่งนั้น ก็เพื่อนำพาเราไปสู่ ความงาม ความจริง และความดี อันเป็นเป้าหมายสูงสุด (แต่เรามักหลงลืมไป) ที่จะหล่อรวมให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง และหากนำมาเปรียบเทียบกับพระตรีเอกภาพแล้ว ใช่เลย... ความงาม คือ พระบิดา ความจริง คือ พระบุตรพระเยซูคริสตเจ้า และความดี ก็คือ องค์พระจิตเจ้า (ความเข้าใจของผู้เขียน) และนี่เป็นชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงสร้างและส่งเรามา เพื่อให้โลกศักดิ์สิทธิ์ เราได้ทำสิ่งใดบ้างเล่าให้โลกนี้สมบูรณ์ขึ้น ที่พัฒนามาจากจุดเริ่มต้นของเรา  ในแต่ละวันเราได้สร้างและพบความงาม ความจริง ความดี มากน้อยเพียงใด หรือเพียงปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปในกระแสธารแห่งความเกลียดชัง และความขัดแย้ง
และจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดความงาม ความจริงและความดีได้นั้น คือ ความรักในความรัก ความรัก ที่เป็นสิ่งสมบูรณ์ในตัวมันเองมีความเป็นนิรันดร์อยู่แล้ว  และความรักที่จะนำพาสู่ความเป็นเอกภาพได้นั้นต้องเป็นความรัก ที่ไม่มีความต้องการเหลืออยู่ เป็นความรักที่ไม่มีที่ว่างไว้ให้ตัวกิเลส และเพราะเรานั้นสามารถมีความรักรวมทั้งให้ความรักเติมเต็มหัวใจเราได้ตลอดเวลา และเมื่อใดที่เรามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักแล้ว เราก็จะพร้อมที่จะให้หัวใจที่แท้และความรักแท้แด่ทุกๆคนรวมทั้งทุกสรรพสิ่งในโลก กวีหลายคนจึงเปรียบความรักที่แท้จริงนี้ดังเช่น แม่น้ำโอบอุ้มและดูแลหมู่ปลาทั้งหลาย ดินดูแลและปกป้องต้นไม้ และต้นไม้ดูแลให้ความเอ็นดูแก่เหล่าสิงสาราสัตว์รวมทั้งมนุษย์ด้วย นี่คือความเป็นหนึ่งของสรรพสิ่ง อย่าคิดว่าโลกเป็นของเรา แต่เราเป็นหนึ่งเดียวกับโลกต่างหาก...
เริ่มจากหนึ่ง เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับยุคปัจจุบัน แต่หากว่าเราไม่เริ่มต้นเสียเลย ปล่อยให้สภาพแวดล้อมดำเนินต่อไปอย่างนี้หรือ เริ่มต้นนับหนึ่งจากตัวเรา กลับคืนดีกับพระเจ้า รักในพระองค์ เชื่อมั่นในความดูแลของพระองค์ พยายามรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเริ่มต้นที่จะทำให้ความงาม ความจริง และความดีในชีวิตประจำวันของเราบังเกิดขึ้นในทุกๆวัน จากนั้นก็ส่งผ่านสิ่งเหล่านี้ไปยังผู้คนรอบข้าง คนใกล้ตัว แล้วความเป็นหนึ่งเดียวจะบังเกิดขึ้น พร้อมกับสันติสุขจะอยู่คู่กับพวกเราตลอดไป...