วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

เตือนภัยในเงาบุญ

เตือนภัยในเงาบุญ
ดูเหมือนว่าอากาศในช่วงฤดูร้อนจะเพิ่มความร้อนมากขึ้นในทุกๆปี ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ได้ยินแต่เสียงผู้คนต่างก็บ่นว่า “ทำไมอากาศถึงร้อนมากมายเพียงนี้” ร้อนเหมือนว่าพระอาทิตย์มาจ่ออยู่เหนือหัวไม่เกินเมตร อากาศยิ่งร้อนยิ่งทำให้หายใจไม่ค่อยจะสะดวก ออกซิเจนไปเลี้ยงในสมองไม่ค่อยพอ พลอยทำให้ปวดหัว เกิดความเครียด ผิวกายก็คันยิบๆ เวลาอาบน้ำถึงกับแสบ บรรดาสาวๆก็ยิ่งเปลืองครีมกันแดด ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ค่า Ph ขนาดไหนจึงจะเหมาะกับผิวยามต้องแดดขนาดนี้ ...

ตามข้อมูลบ้างก็ว่าวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาเป็นวันที่ร้อนที่สุดในปีนี้ บ้างก็ว่าอาจจะมีวันที่ร้อนกว่านี้อีก คือในวันที่ 22 และ 26 นี้ สรุป คือ เดือนนี้เป็นเดือนที่ร้อนมากที่สุดและปีนี้ยังติดอันดับหนึ่งในสิบของปีที่ร้อนที่สุดอีกด้วย อากาศร้อน ใจก็อย่าร้อนตาม หาที่ร่มๆ พักกาย พักใจ ผ่อนคลายร้อนกันบ้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนกินแดด คนแก่แดด...

ความร้อนยังไม่ทันเคลื่อนหายไป ข่าวร้ายแผ่นดินไหวก็เกิดขึ้นเป็นรายวัน เดี๋ยวไหวตรงนั้นเดี๋ยวไหวตรงนี้ เกิดขึ้นไปทั่วโลกโชคดีที่แผ่นดินไหวทั้งหลายทั้งปวงยังไม่เป็นเหตุให้เกิดสึนามิ ทางจังหวัดภูเก็ตก็ไหวทำเอาผู้คนแตกตื่นกันพอสมควร ระบบเตือนภัยก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ก็เพียงแค่เตือนภัยในระยะสั้นๆ แต่อย่างไรเสีย คนก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติกันต่อไป รู้จักเคารพธรรมชาติก็เท่ากับรู้จักเคารพองค์พระผู้สร้าง ในสมัยใหม่ก็มีการคิดค้นระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่ามิอาจจะรู้เท่าทันธรรมชาติได้ แต่อย่างน้อยการเตือนภัยก็เป็นการรักษาชีวิตผู้คนให้ปลอดภัยและไม่หวั่นไหวไปกับแผ่นดินไหวจนเกินไป

นั่นเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ที่ผู้คนเคยทำร้ายทำลายธรรมชาติ บัดนี้เมื่อถึงเวลาธรรมชาติปรับสมดุล ก็ย่อมมีผลข้างเคียงตามมา ... แต่มีภัยอีกชนิดหนึ่งที่ต้องบอกต้องเตือน ต้องฝากส่งข่าวให้ทั่วถึงกัน เป็นภัยที่เกิดขึ้นบนความศรัทธาใจบุญจิตกุศลของผู้คน ที่มีคนมักง่าย มักได้ เห็นแก่ตัว เที่ยวหลอกลวงผู้มีจิตศรัทธาให้ร่วมทำบุญ ด้วยการโทรศัพท์ไปขอบริจาคเพื่อสร้างวัดในชนบทบ้าง หรือเพื่อช่วยในกิจการของคุณพ่อพระสงฆ์มิชชันนารีที่ทำงานในถิ่นห่างไกล โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีที่ตั้งขึ้นมา เบอร์บัญชีที่บอกให้โอนเข้าไปก็ไม่ใช่ของคนเหล่านั้น เพราะไปจ้างคนอื่นให้ไปเปิดบัญชีแทน ชื่อในสมุดเงินฝากก็เป็นชื่อคนๆนั้นไป แต่ก็ทำบัตรเอทีเอ็มแล้วเก็บเอาไว้ แค่จ้างเด็กหรือพวกคนที่เค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วให้เงินค่าเปิดบัญชี 2-3 ร้อย เวลามีคนโอนเงินเข้ามาตามที่กุเรื่องหลอก คนพวกนั้นก็เอาบัตรไปกดเงินออก พอมีการแจ้งความจับ ก็จับไม่ถูกตัว โจรตัวจริงกลับลอยนวลตามจับยาก ถึงแจ้งความตำรวจก็จับไม่ได้ ถือว่ายังไม่เป็นคดีความเพราะความผิดฐานหลอกลวงฉ้อโกงต้มตุ๋นยังไม่สำเร็จ สัตบุรุษหลายคนเชื่ออย่างสนิทใจก็โอนเงินไปทำบุญแล้วก็หลายราย

บางครั้งก็ส่งเป็น e-mail ในชื่อของคุณพ่อมิชชันนารี ขอรับบริจาคสมทบทุนช่วยเหลืองานอภิบาล โดยอ้างชื่อของผู้หลักผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำกันเป็นกระบวนการเป็นล่ำเป็นสันได้เงินไปก็มาก หากพี่น้องท่านใดได้รับโทรศัพท์หรือเมลล์ลักษณะนี้ก็ควรตรวจสอบรายละเอียด ถามข้อมูลจากผู้ที่ติดต่อมาให้มากที่สุด เพราะยิ่งถามมากคนเหล่านี้ก็จะรีบจบการสนทนาไปเอง หรือสอบถามข้อมูลไปยังหน่วยงานของพระศาสนจักรก่อนก็ได้ ว่าจริงหรือไม่จริง สอบถามได้ที่สภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทย ใช่..สิ่งที่เราทำบุญหากว่าเราสบายใจเราก็ได้บุญ แม้ว่าใครจะเอาไปทำอะไรโดยที่เราไม่รู้ก็ตาม แต่เราก็ควรรู้และรอบคอบเพื่อไม่ให้บุญของเราไปก่อบาปให้กับคนที่อาศัยเงาบุญของเรา ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นต่อไป บุญของเราก็จะสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น

ใช่หรือไม่ ในสังคมโดยรอบตัวเรา ก็ถูกภัยลักษณะนี้คุกคามเป็นเงาตามทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมื่อหลายปีก่อน...คนไทยเคยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนทำให้เงินในบัญชีธนาคารที่สะสมมาทั้งชีวิตของหลายคน หายเกลี้ยงไปในพริบตา เป็นฝีมือของอาชญากรข้ามชาติ ได้อาศัยช่องว่างของความล้ำสมัยของเทคโนโลยี นั่นคือ การใช้โทรศัพท์ผ่านระบบวีโอไอพี (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาดัดแปลงด้วยการป้อนข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานราชการและธนาคาร เพื่อลวงเหยื่อให้ไปทำธุรกรรมหน้าตู้เอทีเอ็ม หากปลายสายเชื่อหรือหลงกล ก็โอนสายไปสายที่สอง จะอ้างว่าเป็นตำรวจ หากเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะโอนไปยังสายที่สามซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทำหน้าที่กล่อมพูดโน้มน้าวให้เอาเงินไปฝากที่ธนาคาร หรือทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม...

จากขบวนการดังกล่าว วันนี้ได้ก้าวล่วงมาถึงการอาศัยความศรัทธา จิตเมตตาจากสาธุชน จากสัตบุรุษใจกุศล ก่อให้เกิดสงสัยในการทำบุญ เกิดความระแวงระวังในการสร้างกุศล จะทำบุญทำทานทั้งที ก็ต้องคิดว่าจะถูกหลอกหรือเปล่า ทำบุญทั้งทีก็เกิดการไม่สบายใจอีก เมื่ออ่านจบก็อย่าคิดว่า ต่อไปนี้คงไม่ทำบุญแล้ว เพราะกลัวจะถูกหลอก พี่น้องท่านไหนยังศรัทธา มีจิตกุศลใจเมตตา ก็ทำต่อไปเถอะ เพียงแต่ว่า ต้องคอยดูวิธีการทำบุญของเรานั้น ต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมักง่าย ที่ชอบหากินบนกองบุญ ถือเสียว่านี่เป็นการเตือนภัยแบบใหม่ในเงาบุญของเราที่ทำไป ใจเมตตาเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องมีและเป็นยอดปรารถนาของทุกคน และยิ่งดำเนินไปบนหนทางของความยุติธรรมด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งประเสริฐ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีอะไรให้เราทานบ้าง” ในขณะที่ซาตานจะบอกว่า “เราต้องการทานด่วน!!!! รีบเอามาให้เรา” มันต่างกันตรงเจตนา การทำบุญก็เช่นเดียวกัน ....

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอเสนอความคิดเห็นว่า เมื่อคนเรามีจิตศรัทธาในการทำบุญ มีใจิตใจที่มุ่งมั่นที่จะสร้างกุศลแล้ว หลีกเลี่ยงการถูกหลอก หรือการมาขอเรียไรไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนควรที่จะทำบุญในวัดดีกว่าและการทำบุญไม่จำเป็นจะต้องทำมากมายเราก็ได้บุญแล้วเพราะด้วยความตั้งใจที่จะทำและถ้ามาในรูปของการส่งเมลเราไม่ควรยิ่งที่จะทำและหลงเชื่อง่ายๆแม้อ้างชื่อมาจากที่ไหน เป็นใคร ก็ควรที่จะตัดไปไม่ต้องสนใจหรือจะด้วยโทรศัทพ์ก็ตาม เพราะสมัยนี้เขาหากินด้วยวิธีการบุญมาบังหน้า ก็ต้องใช้วิจารณญาณของตัวเองไม่หลงเชื่อง่ายๆ หรือเสียรู้ในการถูกหลอกได้