วันที่ก้าวผ่าน
วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เทศกาลต่างๆเวียนวนหมุนมาผ่านไป และแล้วก็กลับมาใหม่เป็นประจำทุกปีเหมือนเดิม ตราบเท่าที่ลมหายใจยังอยู่คู่ร่างกาย แต่ระหว่างทางที่ผ่านพ้น ได้เกิดร่องรอยความงดงามอันใดบ้างไหม ที่ทับโถมสร้างหนทางใหม่ หรือเป็นแนวทางใหม่ที่แข็งแรงให้ผู้คนได้ก้าวข้ามผ่าน หรือที่ผ่านมาเพียงสร้างทางให้ตัวเองก้าวเดินไปเพื่อสู่ความเป็นที่หนึ่งเป็นเลิศ ด้วยการเหยียบข้ามผู้คนมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน หนทางที่จะก้าวผ่านในวันนี้เพื่อพรุ่งนี้...มีเพื่อสิ่งใดเล่า... เพื่อใครบ้าง…
เราก้าวข้ามผ่านวันเวลานั่นก็หมายถึงเราได้ก้าวย่างผ่านผู้คนมาด้วยเช่นกัน มากน้อยตามสภาพแวดล้อม ตามบุคลิกลักษณะ ในท่ามกลางผู้คนที่ผ่านพ้นโดยส่วนมากมักไม่ได้รู้จักมักจี่ ที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนพ้องก็เพียงไม่กี่คน ในจำนวนนั้นก็มีบ้างบางคนที่เมื่อถึงเวลาก็ร้างลาห่างไกลกันไป มีน้อยคนที่จบจากกันแบบเจ็บช้ำ แต่ตรงน้อยนี่แหละที่สร้างความทุกข์ยากลำบากในช่วงหนึ่งของชีวิต มิตรภาพเพียงเศษเสี้ยวของความเข้าใจผิดมักหยิบยื่นความขุ่นข้องหมองใจมาให้ และจดจำอยู่ในความเจ็บจำจนวันตาย ทั้งๆที่มากต่อมากที่มิตรภาพที่ผ่านมาก่อให้เกิดความสวยงาม แต่ก็มิได้รับการเก็บเกี่ยวสะสมให้พลังหนุนนำชีวิต เพราะเหตุใดเล่าคนเราจึงชอบที่จะถมทับทุกข์ใส่กันไว้จนล้น นั่นก็เพราะชีวิตเราหลายคนเกิดมาคิดเพียงเพื่อตัวเอง หาได้คิดว่าสิ่งที่สำคัญของการก่อเกิดเป็นคนของเรานั้น ต่างเกิดมาเพื่อผู้อื่น..
ด้วยกับดักแห่งยุคสมัยโลกกว้างแต่พื้นที่หัวใจของคนนั้นแคบแสนแคบ เราจึงมักหลงยึดติดกับการทำทุกอย่างนั้นเพื่อตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่การที่จะทำความดีก็ต้องคิดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ใส่ตัวเป็นที่ตั้ง ดังนั้นแล้ว สังคมโลกจึงเต็มไปด้วยผลประโยชน์เพียงเพื่อค้ำจุนช่วงชีวิตอันแสนสั้น คิดทำเพื่อผู้อื่นก็จะถูกมองว่าเป็นคนไร้สติ คิดต่างไม่เดินตามกระแสที่ต่างเบียดเบียนกัน ก็ถูกกระแนะกระแหนว่าชอบสร้างภาพ จริงใจแต่กลับถูกหลอกลวง พูดจริงทำจริงก็ถูกโกหกใส่ มุ่งมั่นในความดีเพื่อผู้อื่นก็ถูกหัวเราะ ให้กำลังใจให้แรงบันดาลใจผู้อื่นก็ถูกนินทาลับหลังว่าอยากดัง.... คนจึงคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำดีมักได้สิ่งเลวร้ายตอบแทนก็อย่าทำมันเลย ทำเพื่อตัวเองดีกว่า จนกลายเป็นค่านิยมชมชอบถูกจริตกับสังคมยุคใหม่...
สังคมๆหนึ่งก็มักมีผู้คนหลากหลาย หากว่าแต่ละคนในแต่ละวันที่ก้าวผ่าน คิดที่จะทำความดีเพื่อผู้อื่นกันสักวันละครั้ง ไม่ช้าไม่นานสังคมก็จะน่าอยู่ พบกับสันติสุข…
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต้องเดินข้ามสะพานไม้เล็กๆ ที่ทอดผ่านรอยแยกของแผ่นดินหน้าหมู่บ้านเพื่อออกไปทำงานนอกหมู่บ้านทุกๆวัน เขามักคิดเสมอว่าใครกัน...คือคนที่คิดทำสะพานไม้นี้เพื่อให้ชาวบ้านได้เดินทางสัญจร เขาแอบชื่นชมคนผู้นั้นตลอดมา วันหนึ่งเขาก็คิดว่าและถ้าวันนี้สะพานพังลง ใครเล่าจะเป็นผู้ซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นมาใหม่ แน่นอนวันนี้มันยังดูแข็งแรงอยู่ แต่ทุกคนที่ผ่านทางหาได้ตระหนักในการมีส่วนร่วมดูแลรักษา ต่างคนต่างใช้เพื่อให้ตัวเองไปสู่ยังจุดหมายปลายทาง
ดังนั้น ในทุกๆเช้าเขาจะถือก้อนหินมาหนึ่งก้อน เมื่อเดินข้ามสะพานไม้เขาก็จะโยนก้อนหินลงไปในรอยแยก และทุกๆเย็นที่เขาเดินทางกลับจากที่ทำงาน เขาก็จะถือก้อนหินมาหนึ่งก้อนเหมือนเดิม เมื่อเดินข้ามสะพานเขาก็จะโยนก้อนหินลงไป…
เพื่อนๆและผู้คนที่ผ่านทางเห็นเขาทำอย่างนี้ทุกวัน บ้างก็หัวเราะเยาะ บ้างก็ต่อว่าต่อขาน บ้างก็นินทาซุบซิบกัน บ้างก็เกิดความสงสัยจึงเข้าไปถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่า เขาเอาก้อนหินโยนไปในรอยแยกแบบนั้นทำไม?????
เด็กหนุ่มน้อยบอกกับคนที่สงสัยๆว่า เขาต้องการสร้างสะพานหินใหม่และแข็งแรง เพื่อทดแทนสะพานไม้นี้ที่อีกไม่นานก็จะเก่าและผุพังไป …ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะเขา
วันเวลาผ่านไป หนุ่มน้อยยังคงทำเช่นเดิมตลอดมา หนุ่มน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ และได้พบรักกับหญิงสาวที่เข้าใจในเจตนารมณ์ที่แสนบริสุทธิ์ของเขา ได้ร่วมกันโยนก้อนหินกันคนละก้อนทุกครั้งที่ผ่านทางนี้ เขาทั้งสองแต่งงานกันจนมีลูกชายและลูกสาว ทั้งสองก็สอนลูกๆให้กระทำเช่นเดียวกันกับพวกเขา แม้ว่าบางครั้งเด็กน้อยทั้งสองจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่ของเขาได้ทำ แต่ก็ยินดีเชื่อฟัง เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่เป็นคนที่มีจิตใจแสนดีที่มักชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
และแล้ว สะพานหินที่ได้จากการโยนก้อนหินไปทีละก้อนทุกวันนั้น ก็ได้กลายเป็นสะพานหินเทียบเคียงไปกับสะพานไม้ที่เริ่มผุพัง จนใช้การไม่ได้ ชาวบ้านก็สามารถใช้สะพานหิน แทนสะพานไม้นั้นได้ทันที โดยมิรู้และลืมไปด้วยซ้ำว่าสะพานนี้เกิดมาจากเด็กหนุ่มคนที่พวกเขาเคยหัวเราะเยาะ ....
วันหนึ่งขณะที่ครอบครัวเด็กหนุ่มคนนั้นที่บัดนี้กลายเป็นพ่อคนแล้ว กำลังจะผ่านสะพานหินไป ลูกสาวคนเล็กพูดขึ้นว่า “คุณพ่อคุณแม่ขา นี่มันสะพานที่พวกเราสร้างกันมากับมือ เราจะเก็บค่าผ่านทางดีไหม” เด็กหนุ่มผู้ที่กลายเป็นพ่อตอบว่า “ลูกจ๋า ลูกรู้ไหมว่าความสุขที่พ่อแม่ได้รับจากการโยนก้อนหินวันละก้อนนั้น มันเหมือนพ่อกับแม่ได้ทำความดีวันละครั้ง ในวันที่ก้าวผ่านรอยแยกลึกนั้น มันทำให้พ่อพบกับความสุขทุกๆวัน และลูกๆก็คือผลตอบแทนที่สวรรค์ส่งมาให้แล้ว พ่อพบว่าทุกวันมีคุณค่าเสมอถ้าเรารู้จักที่จะกระทำเพื่อผู้อื่น....
ใช่หรือไม่...ปัสกาคือการข้ามผ่าน เราสามารถพบปัสกาได้ทุกๆวันถ้าเรารู้จักการก้าวผ่านวันเวลาอย่างมีคุณค่า ด้วยการทำดีอย่างน้อยวันละครั้ง.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น