วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

พ่อใหญ่ใจดี


พ่อใหญ่ใจดี
ในทุกๆปีที่มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงคุณพ่อในวัดของเรา ก็มักรู้สึกเศร้าๆเหงาๆอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งต้องเขียนอำลาคุณพ่อที่คุ้นเคยด้วยแล้ว รู้สึกใจหายในทุกๆครั้ง ก็เข้าใจดีถึงระบบการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนหน้าที่รับผิดชอบในงานอภิบาลของพระสงฆ์ ส่วนหนึ่งคือการยืนยันถึงความนบนอบที่มีต่อผู้ใหญ่ เป็นคำสัญญาข้อสำคัญข้อหนึ่งของศักดิ์สงฆ์ ประการต่อมาเป็นการสอนให้เราต้องไม่ยึดติดถือครองกับตัวบุคคลในนามของผู้รับใช้ที่พร้อมรับใช้ทุกคนในทุกสถานที่และสถานการณ์ ท้ายสุดนั่นคือ การสอนให้เรารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ แต่คำสอนของพระคริสต์มิมีวันเปลี่ยนไป หากเราเชื่อมั่นในพระคริสตเจ้า ใย...เลยเราจะกลัวและไม่กล้าเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง..
แน่ล่ะ ตามประสามนุษย์ผู้อ่อนแอ ย่อมรู้สึกใจหายเมื่อต้องกล่าวคำอำลา ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ชีวิตของคนเราก็คงจะเป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปอยู่ที่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะต้องมีเลิกรายุติและจบลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง  หากเปรียบชีวิตเป็นดั่งละคร มีหรือที่จะไม่มีวันเดินทางถึงตอนอวสาน ความจริงข้อนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรือความต้องการของใคร  ถึงจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่ดี  แต่ใช่หรือไม่... การจากลากันอย่างมิตรภาพและยังยึดโยงในสายสัมพันธ์ มันคือสิ่งที่ทำให้เราได้หวนรำลึกถึงคุณงามความดีที่ได้ร่วมก่อร่างสร้างสรรค์กันไว้ เหมือนได้ร่วมสร้างสวรรค์บนแผ่นดินมาด้วยกัน ...
ครั้งนี้เป็นวาระของ คุณพ่อศักดิ์ชัย ทรัพย์อัประไมย พ่อใหญ่เจ้าอาวาสผู้ใจดีของเรา ต้องเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระคริสตประจักษ์ ที่เกาะใหญ่ เมืองอยุธยา คุณพ่อก็ไม่ได้ถูกปล่อยเกาะ แต่คุณพ่อกำลังจะกลายเป็นเกาะใหญ่ให้ผู้เดือดร้อนได้อาศัยด้วยความใจดีและใจกว้างของคุณพ่อ ถึงแม้หน้าที่จะเปลี่ยนไป แต่หัวใจแห่งสงฆ์ของคุณพ่อจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ความศรัทธา การสวดภาวนาของคุณพ่อไม่ว่าจะอยู่ที่ใดคุณพ่อกระทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ภาพหนึ่งที่เห็นอยู่บ่อยๆคือ ภาพที่คุณพ่อจะเดินเข้าไปสวดภาวนาเฝ้าศีลในวัดเป็นประจำ ในการเทศน์สอนของคุณพ่อก็มีเสน่ห์ด้วยความรู้ด้านประวัติศาสตร์และเรื่องราวของโลกยุคใหม่อย่างแตกฉาน ผสมผสานกับพระวรสาร เกี่ยวร้อยเรื่องราว ให้สามารถนำไปปฏิบัติบนหนทางชีวิตคริสตชนได้อย่างมีคุณภาพ ถือได้ว่าคุณพ่อมีชีวิตจิตที่แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ อย่างแท้จริง
และอีกสิ่งหนึ่งที่เรามิอาจจะลบเลือนจากความทรงจำได้เลย ในเรื่องความใจดีของคนเป็นพ่อ ที่ลูกๆขออะไรพ่อก็มักให้สิ่งนั้น หลายคนจึงเรียกคุณพ่อว่า พ่อใหญ่ใจดี ถึงแม้จะมีบ้างบางคนอาศัยความใจดีของคุณพ่อมาฉกฉวยผลประโยชน์แห่งตนไปครอบครอง เมื่อรู้ความจริงคุณพ่อก็มิเคยโกรธเคือง อภัยให้ได้เสมอ หรือแม้เวลาที่เกิดปัญหาความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ คุณพ่อก็พร้อมน้อมตนถ่อมตัวไปช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา การอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ไม่ว่าจะต่างพื้นฐานกันมากน้อยเพียงใด ย่อมจะต้องมีความขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา  การคลี่คลายปัญหาที่ว่านี้ต้องอาศัยการเปิดใจให้กว้าง  ไม่เอาแต่ความเห็นของตนเองเป็นเครื่องตัดสินแต่ฝ่ายเดียว และพยายามทำความเข้าใจรากฐานที่มาของคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  
มีกวีคนหนึ่งเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างคนเราเอาไว้ว่า เหมือนท่อนไม้สองท่อนที่ล่องลอยมาพบเจอกันกลางทะเล  ครั้นพอเจอคลื่นลมทำให้แต่ละท่อนหักเหทิศทางไป ไม้ทั้งสองท่อนก็แยกห่างจากกัน และไม่มีใครรู้ว่ามันจะหวนกลับมาพบกันอีกหรือไม่....  ฟังๆดูแล้วน่าเศร้าใจ  แต่หากหันมามองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่าเป็นความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
และในช่วงเวลาแห่งการพบเจอกันนั้นหากเราตอบกับตัวเองได้ว่า เราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว และแม้มันจะมีข้อบกพร่องผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นธรรมดาของปุถุชน  ยิ่งถ้าเราไม่ได้มีเจตนาที่จะมุ่งร้ายหรือเบียดเบียนใคร  ก็ถือได้ว่าดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้แล้ว สำหรับพ่อใหญ่ของเราผู้มิเคยคิดมุ่งร้ายต่อใคร แต่คุณพ่อยังเปี่ยมด้วยการเป็นผู้ให้อยู่ตลอดเวลา ใครเดือดร้อน ใครมาขอความช่วยเหลือ เพียงแค่เอ่ยปาก คุณพ่อก็พร้อมมอบสิ่งที่ดีมีค่าให้ได้เสมอ
การเดินทางจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และการพลัดพรากจากคนกลุ่มหนึ่งเพื่อไปพบปะกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยที่อาจมีหรือไม่มีวันหวนคืนมาพบกันอีก จึงไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าโศก  หากแต่ว่าเป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจ เพราะเมื่อคิดย้อนหลังไปในคราใด เราย่อมพบแต่ความสุข ความชื่นใจ ความสบายใจที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอบพระคุณคุณพ่อใหญ่ใจดี ที่ช่วยให้ได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตมากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตามแนวทางแห่งพระวรสาร
การพบเจอกันแห่งสายสัมพันธ์ในพระคริสต์ผู้เป็นศูนย์กลาง ทำให้เรามีทิศทางเดียวกัน แม้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะร่วมทางกันนานสักหน่อย แต่ในทุกครั้งของการสวดภาวนา เราก็ได้ร่วมทางกันแล้ว เป็นการร่วมทางของมิตรภาพและภราดรภาพในพระเจ้าองค์เดียวกัน นั่นเป็นการพบเจอกันทางจิตวิญญาณ และเราจะหมั่นสวดภาวนาให้คุณพ่อเสมอ ดั่งที่คุณพ่อมักสวดภาวนาเพื่อพวกเรา การลาจากกันครั้งนี้ จึงเป็นการจากลาด้วยรอยยิ้ม และความทรงจำที่งดงาม เราจะขอ เกาะ คุณพ่อ ใหญ่ ของเราไว้ในคำภาวนาตลอดไป เราสัญญา...

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

เตือนภัยในเงาบุญ

เตือนภัยในเงาบุญ
ดูเหมือนว่าอากาศในช่วงฤดูร้อนจะเพิ่มความร้อนมากขึ้นในทุกๆปี ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ได้ยินแต่เสียงผู้คนต่างก็บ่นว่า “ทำไมอากาศถึงร้อนมากมายเพียงนี้” ร้อนเหมือนว่าพระอาทิตย์มาจ่ออยู่เหนือหัวไม่เกินเมตร อากาศยิ่งร้อนยิ่งทำให้หายใจไม่ค่อยจะสะดวก ออกซิเจนไปเลี้ยงในสมองไม่ค่อยพอ พลอยทำให้ปวดหัว เกิดความเครียด ผิวกายก็คันยิบๆ เวลาอาบน้ำถึงกับแสบ บรรดาสาวๆก็ยิ่งเปลืองครีมกันแดด ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ค่า Ph ขนาดไหนจึงจะเหมาะกับผิวยามต้องแดดขนาดนี้ ...

ตามข้อมูลบ้างก็ว่าวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาเป็นวันที่ร้อนที่สุดในปีนี้ บ้างก็ว่าอาจจะมีวันที่ร้อนกว่านี้อีก คือในวันที่ 22 และ 26 นี้ สรุป คือ เดือนนี้เป็นเดือนที่ร้อนมากที่สุดและปีนี้ยังติดอันดับหนึ่งในสิบของปีที่ร้อนที่สุดอีกด้วย อากาศร้อน ใจก็อย่าร้อนตาม หาที่ร่มๆ พักกาย พักใจ ผ่อนคลายร้อนกันบ้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนกินแดด คนแก่แดด...

ความร้อนยังไม่ทันเคลื่อนหายไป ข่าวร้ายแผ่นดินไหวก็เกิดขึ้นเป็นรายวัน เดี๋ยวไหวตรงนั้นเดี๋ยวไหวตรงนี้ เกิดขึ้นไปทั่วโลกโชคดีที่แผ่นดินไหวทั้งหลายทั้งปวงยังไม่เป็นเหตุให้เกิดสึนามิ ทางจังหวัดภูเก็ตก็ไหวทำเอาผู้คนแตกตื่นกันพอสมควร ระบบเตือนภัยก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ก็เพียงแค่เตือนภัยในระยะสั้นๆ แต่อย่างไรเสีย คนก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติกันต่อไป รู้จักเคารพธรรมชาติก็เท่ากับรู้จักเคารพองค์พระผู้สร้าง ในสมัยใหม่ก็มีการคิดค้นระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่ามิอาจจะรู้เท่าทันธรรมชาติได้ แต่อย่างน้อยการเตือนภัยก็เป็นการรักษาชีวิตผู้คนให้ปลอดภัยและไม่หวั่นไหวไปกับแผ่นดินไหวจนเกินไป

นั่นเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ที่ผู้คนเคยทำร้ายทำลายธรรมชาติ บัดนี้เมื่อถึงเวลาธรรมชาติปรับสมดุล ก็ย่อมมีผลข้างเคียงตามมา ... แต่มีภัยอีกชนิดหนึ่งที่ต้องบอกต้องเตือน ต้องฝากส่งข่าวให้ทั่วถึงกัน เป็นภัยที่เกิดขึ้นบนความศรัทธาใจบุญจิตกุศลของผู้คน ที่มีคนมักง่าย มักได้ เห็นแก่ตัว เที่ยวหลอกลวงผู้มีจิตศรัทธาให้ร่วมทำบุญ ด้วยการโทรศัพท์ไปขอบริจาคเพื่อสร้างวัดในชนบทบ้าง หรือเพื่อช่วยในกิจการของคุณพ่อพระสงฆ์มิชชันนารีที่ทำงานในถิ่นห่างไกล โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีที่ตั้งขึ้นมา เบอร์บัญชีที่บอกให้โอนเข้าไปก็ไม่ใช่ของคนเหล่านั้น เพราะไปจ้างคนอื่นให้ไปเปิดบัญชีแทน ชื่อในสมุดเงินฝากก็เป็นชื่อคนๆนั้นไป แต่ก็ทำบัตรเอทีเอ็มแล้วเก็บเอาไว้ แค่จ้างเด็กหรือพวกคนที่เค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วให้เงินค่าเปิดบัญชี 2-3 ร้อย เวลามีคนโอนเงินเข้ามาตามที่กุเรื่องหลอก คนพวกนั้นก็เอาบัตรไปกดเงินออก พอมีการแจ้งความจับ ก็จับไม่ถูกตัว โจรตัวจริงกลับลอยนวลตามจับยาก ถึงแจ้งความตำรวจก็จับไม่ได้ ถือว่ายังไม่เป็นคดีความเพราะความผิดฐานหลอกลวงฉ้อโกงต้มตุ๋นยังไม่สำเร็จ สัตบุรุษหลายคนเชื่ออย่างสนิทใจก็โอนเงินไปทำบุญแล้วก็หลายราย

บางครั้งก็ส่งเป็น e-mail ในชื่อของคุณพ่อมิชชันนารี ขอรับบริจาคสมทบทุนช่วยเหลืองานอภิบาล โดยอ้างชื่อของผู้หลักผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำกันเป็นกระบวนการเป็นล่ำเป็นสันได้เงินไปก็มาก หากพี่น้องท่านใดได้รับโทรศัพท์หรือเมลล์ลักษณะนี้ก็ควรตรวจสอบรายละเอียด ถามข้อมูลจากผู้ที่ติดต่อมาให้มากที่สุด เพราะยิ่งถามมากคนเหล่านี้ก็จะรีบจบการสนทนาไปเอง หรือสอบถามข้อมูลไปยังหน่วยงานของพระศาสนจักรก่อนก็ได้ ว่าจริงหรือไม่จริง สอบถามได้ที่สภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทย ใช่..สิ่งที่เราทำบุญหากว่าเราสบายใจเราก็ได้บุญ แม้ว่าใครจะเอาไปทำอะไรโดยที่เราไม่รู้ก็ตาม แต่เราก็ควรรู้และรอบคอบเพื่อไม่ให้บุญของเราไปก่อบาปให้กับคนที่อาศัยเงาบุญของเรา ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นต่อไป บุญของเราก็จะสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น

ใช่หรือไม่ ในสังคมโดยรอบตัวเรา ก็ถูกภัยลักษณะนี้คุกคามเป็นเงาตามทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมื่อหลายปีก่อน...คนไทยเคยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนทำให้เงินในบัญชีธนาคารที่สะสมมาทั้งชีวิตของหลายคน หายเกลี้ยงไปในพริบตา เป็นฝีมือของอาชญากรข้ามชาติ ได้อาศัยช่องว่างของความล้ำสมัยของเทคโนโลยี นั่นคือ การใช้โทรศัพท์ผ่านระบบวีโอไอพี (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาดัดแปลงด้วยการป้อนข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานราชการและธนาคาร เพื่อลวงเหยื่อให้ไปทำธุรกรรมหน้าตู้เอทีเอ็ม หากปลายสายเชื่อหรือหลงกล ก็โอนสายไปสายที่สอง จะอ้างว่าเป็นตำรวจ หากเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะโอนไปยังสายที่สามซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทำหน้าที่กล่อมพูดโน้มน้าวให้เอาเงินไปฝากที่ธนาคาร หรือทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม...

จากขบวนการดังกล่าว วันนี้ได้ก้าวล่วงมาถึงการอาศัยความศรัทธา จิตเมตตาจากสาธุชน จากสัตบุรุษใจกุศล ก่อให้เกิดสงสัยในการทำบุญ เกิดความระแวงระวังในการสร้างกุศล จะทำบุญทำทานทั้งที ก็ต้องคิดว่าจะถูกหลอกหรือเปล่า ทำบุญทั้งทีก็เกิดการไม่สบายใจอีก เมื่ออ่านจบก็อย่าคิดว่า ต่อไปนี้คงไม่ทำบุญแล้ว เพราะกลัวจะถูกหลอก พี่น้องท่านไหนยังศรัทธา มีจิตกุศลใจเมตตา ก็ทำต่อไปเถอะ เพียงแต่ว่า ต้องคอยดูวิธีการทำบุญของเรานั้น ต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมักง่าย ที่ชอบหากินบนกองบุญ ถือเสียว่านี่เป็นการเตือนภัยแบบใหม่ในเงาบุญของเราที่ทำไป ใจเมตตาเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องมีและเป็นยอดปรารถนาของทุกคน และยิ่งดำเนินไปบนหนทางของความยุติธรรมด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งประเสริฐ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีอะไรให้เราทานบ้าง” ในขณะที่ซาตานจะบอกว่า “เราต้องการทานด่วน!!!! รีบเอามาให้เรา” มันต่างกันตรงเจตนา การทำบุญก็เช่นเดียวกัน ....

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ใบไม้แห้งบนพื้นหญ้าเขียว


ใบไม้แห้งบนพื้นหญ้าเขียว
อากาศช่วงยามเดือนเมษายนเช่นนี้ มักจะร้อนแรงมากๆ ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่ในรถที่มีแอร์เย็นฉ่ำก็เถอะ ครั้นพอลงจากรถ ไอร้อนจะพากันปะทะผิวหน้าผิวกายอย่างไม่บันยะบันยัง มีบ้างบางช่วงบางเวลาต้องอาศัยรถเมล์ รถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง    ความร้อนที่แรงเหลือแผ่ซ่านผิวแขนผิวหน้าถึงกับแสบๆคันๆปะปนกับเหงื่อที่ไหลย้อย บางเวลาก็ต้องหาความเย็นจากรถแท็กซี่ ครั้งหนึ่งได้เจอคุณคนขับที่ทำให้ความร้อนภายนอกกลายเป็นความเย็น จากการได้พูดคุยแบบมองโลกในแง่ดีสุดๆ คุณพี่ท่านนั้นบอกว่า เขานั้นสบายหน่อยที่ได้ทำงานในห้องแอร์ ผิวพรรณเลยขาวเนียน แล้วก็หัวเราะชอบใจ “ขาวปี๋ซิไม่ว่า 5555” คนอารมณ์ดีแบบนี้ต่อให้อากาศจะร้อนจะหนาวอย่างไร ก็มีมุมมองต่อโลกแบบสวยงามได้เสมอ
มีโอกาสได้ไปออกกำลังยามเย็นบ้างในสวนสาธารณะใต้สะพานแขวน แต่กว่าแดดจะร่มจริงๆก็ต้องเลยหกโมงเย็นไปแล้ว ในขณะที่กำลังเดินยืดเส้นยืดสายก่อนออกวิ่ง ใบไม้แห้งใบหนึ่งร่วงหล่นลงมาบนพื้นหญ้าที่เขียวขจี สีของใบไม้ที่ไหม้แดดตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวที่มีผู้ดูแลให้น้ำเช้าเย็น ทำให้นึกภาพของชีวิตคนเราได้เป็นอย่างดี ใช่หรือไม่... บางช่วงชีวิตเราก็เป็นเช่นหญ้าเขียวมีผู้ดูแล ทะนุถนอม เอาใจใส่เลี้ยงดู คอยตัดเล็มตบแต่งให้สวยสดงดงามเสมอ นั่นคงเป็นชีวิตของวัยเด็ก ช่วงวัยรุ่น วัยที่มีผู้ดูแลเพื่อให้วัยนี้เป็นวัยที่งดงามควรคู่กับสังคม แต่เด็กๆวัยรุ่นก็มักจะมองข้ามผ่านความหวังดี ความใส่ใจของผู้สูงวัยกว่า อยากจะครอบครองอิสระ อยากจะมีพื้นที่ถือครองของตัวเอง ไม่เข้าใจถึงความห่วงหาอาทร แต่คิดว่าเป็นการลิดลอนสิทธิ์ไปเสียอีก มีบ้างที่ผู้ดูแลบางคนปรนเปรอเลี้ยงดูจนเกินงาม ให้น้ำให้ปุ๋ยจนเกินควร หญ้าแทนที่จะเขียวสดใสก็ต้องเหี่ยวเฉาก่อนวัย
ส่วนใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นสูง ก็คงไม่ต่างกับชีวิตคนเรา เมื่อถึงวัยถึงเวลาก็ลาลับจากโลก แต่สิ่งที่จะคงอยู่นั้นคงเป็นความดีงาม แสงสว่างที่เปล่งประกายฝากทอแสงไว้ให้กับโลก มากน้อยแตกต่างกันตามแต่วิถีชีวิตของแต่ละบุคคลที่ได้เดินไปตามทางที่ตัวตนเป็นผู้กำหนด จะเดินไปในแนวทางแห่งพลังรัก พลังศรัทธาในความเชื่อ หรือจะเลือกเดินไปตามแนวที่คิดเองเออเองอวยเอง แต่สุดท้ายก็ต้องมีวันที่แห้งเหี่ยวล่วงหล่นตามกาลเวลา หรือมีบ้างบางคนเป็นใบไม้ไหม้แดด แก่แดด เลยต้องลาลับร่วงหล่นก่อนกาลเวลา 
และถ้าคนสองวัยได้อยู่ร่วมกัน ในที่เดียวกันได้อย่างกลมกลืน มีความเมตตาต่อกัน มีสายใยรักให้กัน รู้จักอภัยและเห็นค่ากัน นี่จึงเป็นจุดยึดโยงของความเป็นครอบครัวที่ควรคู่กับสังคม หากครอบครัวใดไร้รัก ครอบครัวนั้นย่อมไม่พบกับสันติสุข จิตใจของคนในครอบครัวก็จะมีแต่ความคับแคบ แค้นเคือง ใครจะเป็นจะตายไม่สน แยกบ้านกันอยู่ แยกที่กันกิน ยามทุกข์จะหันหน้าปรึกษากันก็ไม่สนิทใจ คนสองวัยใจสองทางหมางเมินเหินห่างกันไกล ไม่นานต้นไม้ใหญ่ใบก็หล่นร่วงหมดต้นและยืนต้นตาย ร่มเงาให้หญ้าก็ไม่มี แดดร้อนแรงมีพลังเร่งเผาไหม้ คนดูแลไม่สนใจไม่นานก็ตายตามกันไป สายสัมพันธ์แห่งความห่วงใยเป็นดังห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมส่งผลถึงอีกสิ่งหนึ่งตามมา
มีบทความบทหนึ่งเป็นจดหมายของพ่อแม่ได้เขียนถึงลูกไว้ว่า
ลูกรัก, เมื่อพ่อกับแม่เริ่มแก่ตัว เราหวังว่าลูกจะอดทนเราทั้งสองได้บ้าง บางคราวที่เราทำจานทำแก้วแตก หรือทำแกงหกบนโต๊ะ เพราะสายตาไม่ดี ลูกคงไม่ตวาดใส่เรานะลูก คนแก่มักจะอ่อนไหว ถูกตวาดเมื่อใดก็จะน้อยใจมากๆ เลย ลูกรู้ไหม….
เมื่อใดที่หูเราดับ เราจะไม่ได้ยินลูกเลย...ขอลูกอย่าตะคอกถามเราว่า หูหนวกหรือไงโปรดพูดช้าๆ อีกครั้ง หรือจะเขียนให้เราอ่านก็ได้นะ
ลูกรัก,  พ่อกับแม่เสียใจที่แก่ตัวแล้วอย่างนี้  เมื่อแม่เขาลุกไม่ขึ้นเพราะเข่าไม่ดี เราก็หวังว่าลูกจะช่วยพยุงให้แม่ลุกขึ้นได้ เหมือนกับที่เราเคยช่วยพยุงลูกเมื่อเริ่มหัดเดินนั่นแหละลูกเอ๋ย  
เราหวังว่าลูกจะทนฟังเราได้ เมื่อเราเริ่มพูดซ้ำซาก ขอลูกอย่าทำให้เราเป็นตัวตลก หรือกลัดกลุ้มที่จะฟังเราเลย ลูกจำได้ไหม เมื่อยังเล็ก ลูกเฝ้าพร่ำวอนกับพ่อว่าอยากได้ลูกโป่งใบนั้น ลูกพูดแล้วพูดอีกจนแม่ต้องซื้อให้ในที่สุด….
ลูกเอ๋ย...ถ้าลูกเริ่มแก่ตัว ลูกจะมีเวลาว่างเหลือเฟือเลย เราหวังว่าลูกจะคุยกับเราบ้างแค่ไม่กี่นาทีก็พอแล้ว เพราะพ่อกับแม่ต้องเหงาอยู่กับตัวเองตลอดเวลาและไม่รู้จะคุยกับใครเลย เรารู้ดีว่าลูกต้องยุ่งกับธุรกิจการงาน แต่ก็ขอเวลาคุยกับเราสักนิดเถอะ ลูกเอ๋ย แม้เรื่องของเราจะไม่น่าสนใจเลยก็ตาม ลูกจำตอนเด็กๆ ได้ไหมว่า ลูกมีเรื่องเล่าให้พ่อแม่ฟังมากมายเหลือเกิน แล้วเราก็เออๆ ออๆ รับฟังลูก ทำท่าเป็นสนใจและรู้เรื่องดีทุกครั้งไป
ลูกเอ๋ย...เมื่อวาระสุดท้ายคืบคลานมาหาพ่อกับแม่  พ่อกับแม่หวังว่าลูกจะจับมือเราไว้ ให้เราเข้มแข็งและไม่หวั่นวิตกต่ออนาคตที่ไม่รู้ว่ามีอยู่หรือไม่ ในที่สุดแล้ว...เมื่อเราได้ไปเฝ้าพระผู้สร้าง พ่อกับแม่จะพร่ำกระซิบท่านที่ข้างหู ถึงความดีงามของลูกที่รู้จักรักและกตัญญูต่อพ่อแม่
ลูกรัก...พ่อกับแม่ขอขอบใจทุกอย่าง ในความรักและเอาใจใส่ที่ให้กับเรา    
รักลูกมาก
(จากเรื่องที่ส่งต่อกันมาทางอินเทอร์เน็ต)
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

วันที่ก้าวผ่าน


วันที่ก้าวผ่าน
วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เทศกาลต่างๆเวียนวนหมุนมาผ่านไป และแล้วก็กลับมาใหม่เป็นประจำทุกปีเหมือนเดิม ตราบเท่าที่ลมหายใจยังอยู่คู่ร่างกาย แต่ระหว่างทางที่ผ่านพ้น ได้เกิดร่องรอยความงดงามอันใดบ้างไหม ที่ทับโถมสร้างหนทางใหม่ หรือเป็นแนวทางใหม่ที่แข็งแรงให้ผู้คนได้ก้าวข้ามผ่าน หรือที่ผ่านมาเพียงสร้างทางให้ตัวเองก้าวเดินไปเพื่อสู่ความเป็นที่หนึ่งเป็นเลิศ ด้วยการเหยียบข้ามผู้คนมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน หนทางที่จะก้าวผ่านในวันนี้เพื่อพรุ่งนี้...มีเพื่อสิ่งใดเล่า... เพื่อใครบ้าง

เราก้าวข้ามผ่านวันเวลานั่นก็หมายถึงเราได้ก้าวย่างผ่านผู้คนมาด้วยเช่นกัน มากน้อยตามสภาพแวดล้อม ตามบุคลิกลักษณะ ในท่ามกลางผู้คนที่ผ่านพ้นโดยส่วนมากมักไม่ได้รู้จักมักจี่ ที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนพ้องก็เพียงไม่กี่คน ในจำนวนนั้นก็มีบ้างบางคนที่เมื่อถึงเวลาก็ร้างลาห่างไกลกันไป มีน้อยคนที่จบจากกันแบบเจ็บช้ำ แต่ตรงน้อยนี่แหละที่สร้างความทุกข์ยากลำบากในช่วงหนึ่งของชีวิต มิตรภาพเพียงเศษเสี้ยวของความเข้าใจผิดมักหยิบยื่นความขุ่นข้องหมองใจมาให้ และจดจำอยู่ในความเจ็บจำจนวันตาย ทั้งๆที่มากต่อมากที่มิตรภาพที่ผ่านมาก่อให้เกิดความสวยงาม แต่ก็มิได้รับการเก็บเกี่ยวสะสมให้พลังหนุนนำชีวิต เพราะเหตุใดเล่าคนเราจึงชอบที่จะถมทับทุกข์ใส่กันไว้จนล้น นั่นก็เพราะชีวิตเราหลายคนเกิดมาคิดเพียงเพื่อตัวเอง หาได้คิดว่าสิ่งที่สำคัญของการก่อเกิดเป็นคนของเรานั้น ต่างเกิดมาเพื่อผู้อื่น..
ด้วยกับดักแห่งยุคสมัยโลกกว้างแต่พื้นที่หัวใจของคนนั้นแคบแสนแคบ เราจึงมักหลงยึดติดกับการทำทุกอย่างนั้นเพื่อตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่การที่จะทำความดีก็ต้องคิดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ใส่ตัวเป็นที่ตั้ง ดังนั้นแล้ว สังคมโลกจึงเต็มไปด้วยผลประโยชน์เพียงเพื่อค้ำจุนช่วงชีวิตอันแสนสั้น คิดทำเพื่อผู้อื่นก็จะถูกมองว่าเป็นคนไร้สติ คิดต่างไม่เดินตามกระแสที่ต่างเบียดเบียนกัน ก็ถูกกระแนะกระแหนว่าชอบสร้างภาพ จริงใจแต่กลับถูกหลอกลวง พูดจริงทำจริงก็ถูกโกหกใส่ มุ่งมั่นในความดีเพื่อผู้อื่นก็ถูกหัวเราะ ให้กำลังใจให้แรงบันดาลใจผู้อื่นก็ถูกนินทาลับหลังว่าอยากดัง.... คนจึงคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำดีมักได้สิ่งเลวร้ายตอบแทนก็อย่าทำมันเลย ทำเพื่อตัวเองดีกว่า จนกลายเป็นค่านิยมชมชอบถูกจริตกับสังคมยุคใหม่...
สังคมๆหนึ่งก็มักมีผู้คนหลากหลาย หากว่าแต่ละคนในแต่ละวันที่ก้าวผ่าน คิดที่จะทำความดีเพื่อผู้อื่นกันสักวันละครั้ง ไม่ช้าไม่นานสังคมก็จะน่าอยู่ พบกับสันติสุข
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต้องเดินข้ามสะพานไม้เล็กๆ ที่ทอดผ่านรอยแยกของแผ่นดินหน้าหมู่บ้านเพื่อออกไปทำงานนอกหมู่บ้านทุกๆวัน เขามักคิดเสมอว่าใครกัน...คือคนที่คิดทำสะพานไม้นี้เพื่อให้ชาวบ้านได้เดินทางสัญจร เขาแอบชื่นชมคนผู้นั้นตลอดมา วันหนึ่งเขาก็คิดว่าและถ้าวันนี้สะพานพังลง ใครเล่าจะเป็นผู้ซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นมาใหม่ แน่นอนวันนี้มันยังดูแข็งแรงอยู่ แต่ทุกคนที่ผ่านทางหาได้ตระหนักในการมีส่วนร่วมดูแลรักษา ต่างคนต่างใช้เพื่อให้ตัวเองไปสู่ยังจุดหมายปลายทาง
ดังนั้น ในทุกๆเช้าเขาจะถือก้อนหินมาหนึ่งก้อน เมื่อเดินข้ามสะพานไม้เขาก็จะโยนก้อนหินลงไปในรอยแยก และทุกๆเย็นที่เขาเดินทางกลับจากที่ทำงาน เขาก็จะถือก้อนหินมาหนึ่งก้อนเหมือนเดิม เมื่อเดินข้ามสะพานเขาก็จะโยนก้อนหินลงไป
เพื่อนๆและผู้คนที่ผ่านทางเห็นเขาทำอย่างนี้ทุกวัน บ้างก็หัวเราะเยาะ บ้างก็ต่อว่าต่อขาน บ้างก็นินทาซุบซิบกัน  บ้างก็เกิดความสงสัยจึงเข้าไปถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่า เขาเอาก้อนหินโยนไปในรอยแยกแบบนั้นทำไม?????
เด็กหนุ่มน้อยบอกกับคนที่สงสัยๆว่า เขาต้องการสร้างสะพานหินใหม่และแข็งแรง เพื่อทดแทนสะพานไม้นี้ที่อีกไม่นานก็จะเก่าและผุพังไป ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะเขา
 วันเวลาผ่านไป หนุ่มน้อยยังคงทำเช่นเดิมตลอดมา หนุ่มน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ และได้พบรักกับหญิงสาวที่เข้าใจในเจตนารมณ์ที่แสนบริสุทธิ์ของเขา ได้ร่วมกันโยนก้อนหินกันคนละก้อนทุกครั้งที่ผ่านทางนี้ เขาทั้งสองแต่งงานกันจนมีลูกชายและลูกสาว ทั้งสองก็สอนลูกๆให้กระทำเช่นเดียวกันกับพวกเขา แม้ว่าบางครั้งเด็กน้อยทั้งสองจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่ของเขาได้ทำ แต่ก็ยินดีเชื่อฟัง เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่เป็นคนที่มีจิตใจแสนดีที่มักชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
และแล้ว สะพานหินที่ได้จากการโยนก้อนหินไปทีละก้อนทุกวันนั้น ก็ได้กลายเป็นสะพานหินเทียบเคียงไปกับสะพานไม้ที่เริ่มผุพัง จนใช้การไม่ได้ ชาวบ้านก็สามารถใช้สะพานหิน แทนสะพานไม้นั้นได้ทันที โดยมิรู้และลืมไปด้วยซ้ำว่าสะพานนี้เกิดมาจากเด็กหนุ่มคนที่พวกเขาเคยหัวเราะเยาะ ....
วันหนึ่งขณะที่ครอบครัวเด็กหนุ่มคนนั้นที่บัดนี้กลายเป็นพ่อคนแล้ว กำลังจะผ่านสะพานหินไป ลูกสาวคนเล็กพูดขึ้นว่า คุณพ่อคุณแม่ขา นี่มันสะพานที่พวกเราสร้างกันมากับมือ เราจะเก็บค่าผ่านทางดีไหม เด็กหนุ่มผู้ที่กลายเป็นพ่อตอบว่า ลูกจ๋า ลูกรู้ไหมว่าความสุขที่พ่อแม่ได้รับจากการโยนก้อนหินวันละก้อนนั้น มันเหมือนพ่อกับแม่ได้ทำความดีวันละครั้ง ในวันที่ก้าวผ่านรอยแยกลึกนั้น มันทำให้พ่อพบกับความสุขทุกๆวัน และลูกๆก็คือผลตอบแทนที่สวรรค์ส่งมาให้แล้ว พ่อพบว่าทุกวันมีคุณค่าเสมอถ้าเรารู้จักที่จะกระทำเพื่อผู้อื่น....
ใช่หรือไม่...ปัสกาคือการข้ามผ่าน เราสามารถพบปัสกาได้ทุกๆวันถ้าเรารู้จักการก้าวผ่านวันเวลาอย่างมีคุณค่า ด้วยการทำดีอย่างน้อยวันละครั้ง.....