เมื่อเศษฝุ่นกลายเป็นม่านหมอก
ด้วยเหตุบังเอิญในช่วงเวลาที่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย เกิดวิกฤติเรื่องอากาศเป็นพิษ ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน เป็นเวลาเดียวกันที่ได้นัดหมายว่าจะพาแม่ไปพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายในเวลาเพียงเดือนเศษๆชีวิตก็วนกลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มิใช่การท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แต่เป็นการพาผู้สูงอายุวัยเกือบแปดสิบปีขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ออกจากถิ่นฐานพื้นเพที่อาศัยมาทั้งชีวิต และได้มาพักแรมค้างหลายๆวันหลายๆคืน ในสถานที่แสนจะห่างไกลจากถิ่นเก่า การที่จะไปยังสถานที่ต่างๆจึงมิใช่เรื่องง่าย อย่างเก่งเพียงวันละสถานที่ก็เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนที่พาไปและคนถูกพาไป แต่มันก็สุขใจที่ได้มีเวลาได้ดูแลแม่ผู้ที่เคยดูแลเรามาครั้งเก่าก่อน
และด้วยความวิตกเล็กน้อยเกี่ยวกับอากาศของเชียงใหม่ไม่ใคร่จะสู้ดีนัก เนื่องเพราะหมอกควันได้ปกคลุมไปทั่วภาคเหนือ ตามข่าว ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ“สถานการณ์หมอกควันพื้นที่ภาคเหนือส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นวิกฤติ ยกเว้นบริเวณพระตำหนักภูพิงค์ฯ สภาพอากาศดี วัดค่าเฉลี่ยคุณภาพอากาศได้ 24.0 ไมโครกรัม ขณะที่ อำเภอแม่สาย ยังน่าห่วงปริมาณค่าเฉลี่ยยังสูง 356.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพมาก”
และเมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงๆ อากาศก็มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด อย่างที่ติดตามจากข่าวสาร จะมีบ้างที่บางครั้งเดินๆอยู่จะมีเศษฝุ่นดำๆเล็กๆ ล่องลอยมาติดตามเสื้อผ้า ในวันที่ไปชมความงามของมวลดอกไม้ที่พระตำหนักภูพิงค์ ซึ่งครั้งนี้ได้ใช้บริการของรถกอล์ฟนำเที่ยว เพราะคิดแล้วว่าแม่คงเดินไม่ไหว ผู้ขับขี่ซึ่งทำหน้าที่พูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ไปพร้อมๆกัน ช่วงหนึ่งก็ได้พูดถึงข่าวอากาศว่า บางครั้งการเสนอข่าวก็อาจจะเกินความจริงไปสักหน่อย ช่วงที่อากาศแย่สุดก็เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน เท่านั้น ก็คงจะจริงเพราะเท่าที่เห็นภาพก็ออกจะแตกต่างจากภาพที่เป็นข่าว....
วันต่อมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็นำเสนอต่อว่า “ที่ จ.เชียงใหม่ บริเวณจุดตรวจวัดอากาศศาลากลาง อ.เมือง อยู่ที่ 151.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนจุดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อ.เมืองอยู่ที่ 129 .0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และจุดพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อยู่ที่ 24.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าคุณภาพอากาศดีขึ้น”
ทำให้ความวิตกเรื่องอากาศลดน้อยลง แต่การเที่ยวชมไปยังที่ต่างๆสำหรับแม่แล้วก็ยังลำบาก เวลาส่วนใหญ่จึงเป็นการพักผ่อนอยู่ที่ที่พัก ทำให้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้น การได้อยู่กับแม่ผู้สูงวัยทำให้เริ่มเข้าใจแม่มากขึ้น ทำให้เริ่มเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น แม่ผู้มีโลกอยู่เพียงหมู่บ้านถิ่นเกิดมาถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ภาพคุ้นชินฝังเข้าอยู่ในความทรงจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พออยู่มาวันหนึ่ง ได้มาเห็นภาพที่แปลกไป แต่ความคุ้นชินไม่ได้เปลี่ยนตาม ยังคงพูดเวียนวนอยู่ในเรื่องเดิมๆ พอมีโอกาสก็พูดกับแม่ว่า “แม่...ลองลบ ลืมภาพหมู่บ้านถิ่นเดิมสักพักหนึ่งนะ เปิดรับสภาพใหม่ๆ” ทำให้แม่เริ่มมีความสุขในสิ่งที่เห็นมากขึ้น แต่ด้วยวัยที่โรยราล้าเกินไป ความเหนื่อยหน่ายจากการต้องเดินไกลก็เป็นอุปสรรคต่อความสุขในสิ่งใหม่ๆของแม่
วันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพอากาศหมอกควันในตัวเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนถึงเวลา 17.00 น พบว่า อากาศเริ่มใสขึ้น สามารถมองจากตัวเมืองเชียงใหม่เห็นดอยสุเทพได้ชัด ไม่เหมือนในช่วง 10 วันที่ผ่านมา โดยสังเกตจากค่าเฉลี่ยจากจุดตรวจวัดปริมาณมลพิษฝุ่นละอองอากาศ หรือค่า PM 10 บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่ 95.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่จุดวัดปริมาณมลพิษฝุ่นละออง ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ใจกลางเมืองเชียงใหม่ อยู่ที่ 99.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่จุดตรวจวัดพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อยู่ที่ 19.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
การได้มีเวลาดูแลแม่ มีเวลาพูดคุย ทำให้เราเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่มากขึ้น แม่บอกว่า แม่มีความสุขที่ได้มาเชียงใหม่ ที่สุขเพราะไม่ใช่ได้ท่องเที่ยวแต่สุขเพราะได้เห็นว่าลูกๆของแม่แต่ละคนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความรักและสามัคคีช่วยเหลือห่วงใยกันตลอดเวลาของพี่ๆน้องๆที่เป็นลูกของแม่ ทำให้คิดไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่แม่ยอมขึ้นมาเชียงใหม่นั้นไม่ใช่ต้องการท่องเที่ยว แม่ต้องการได้พักผ่อน ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้เห็นความเป็นอยู่และการทำงานของลูกสาวคนโต ได้เห็นสิ่งใหม่ที่งดงามในต่างถิ่นบ้างเป็นของแถม ทำให้เราที่พบว่าความงามในความห่วงใยอยู่ในใจของแม่ ความงามที่ได้เห็นลูกหลานมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า เป็นความงามที่แม่ชื่นชมเสมอมา จึงทำให้เกิดความใสสว่างกระจ่างเกิดขึ้นในใจ
ใช่หรือไม่ ในชีวิตเราบ่อยครั้งมักคิดไปเอง เอาสิ่งเล็กๆน้อยๆมาสุมรวมกัน ก่อให้เกิดเป็นมลพิษขึ้นมารบกวนจิตใจ ทำให้เกิดอคติต่อสิ่งรอบข้าง ต่อคนใกล้ชิด เป็นคล้ายดังเศษฝุ่นละอองเล็กๆที่ล่องลอยรวมตัวกันเป็นม่านหมอกปิดคลุมเมือง ที่สวยงาม ให้ตกอยู่ในความมืดมัวและคลุมเครือ จากที่ที่สวยงามตามปกติที่มองผ่าน อยู่มาวันหนึ่งถูกปกปิดให้มืดมัว มันก็ทำให้เราเรียกหาสิ่งงดงามยามปกติที่หดหายไป และเมื่อวันที่ฝุ่นควันพิษพัดผ่านเลยไป ฟ้าใสใจสว่างก็บังเกิดขึ้น แต่ว่ามันจะอยู่เป็นภาพที่สวยงามและคงอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไร ก็คงตราบเท่าที่อคติใหม่ๆที่สะสมหลอมรวมกันมาบดบังชีวิตอีกวาระหนึ่ง แต่เราก็เลือกและหาทางที่จะป้องกันมิให้มันเกิดมิใช่หรือ... ความสุขมิได้อยู่ที่การหาสิ่งอื่นมาทดแทน อยู่ที่ว่าเรารู้จักที่จะไม่ให้สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า “อคติ” มาเป็นมลพิษปิดบังทางจิตใจมากกว่า ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น