วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

บนความชื่นชมยินดี ป้ายหน้าคืออะไร


บนความชื่นชมยินดี ป้ายหน้าคืออะไร
ไม่มากก็น้อยในชีวิตของคนเราต้องมีวาระที่ถูกคนอื่นมายกย่อง สรรเสริญและชื่นชมยินดี บางคนอาจจะได้รับโล่ ได้รับถ้วย ได้ใบประกาศว่าเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อส่วนรวม หรืออื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการมอบสิ่งเหล่านี้ให้เห็นกันแทบจะในทุกเทศกาล เป็นเหมือนดังพิธีกรรมที่ต้องถูกจัดขึ้นควบคู่กับงานประจำปีอะไรประมาณนั้น แต่เนื้อหาและการเฟ้นหาจริงๆมักถูกมองข้ามผ่านไปอย่างน่าเสียดาย แน่นอน...สำหรับคนที่ได้รับ หากรู้สำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปนั้นมีค่า นั่นก็เป็นตราประทับให้ดำรงคงอยู่ในความดีงามสืบต่อไปได้อย่างมิเขินอาย แต่กับคนที่ก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างสรรค์ปั้นแต่งมาเพียงเพื่อให้ดูดี ชีวิตก็คงมีแค่เปลือกและการหลอกลวง เป็นความดีที่ไม่งาม เป็นความทรามแห่งสังคมต่อไปเลยก็ว่าได้
เคยสังเกตไหมเวลาที่มีคนมาปลื้มเรา มาชื่นชมเรา มายกย่องเรา เราจะรู้สึกว่ามีความสุขมาก เป็นคนมีค่า หน้าตาจะอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ มีราศีจับ ไปไหนมาไหนดูมีสง่า และเมื่อถูกยกย่องจนเกินจริง เราก็อาจจะหลงไปคิดเป็นจริงอย่างคำเหล่านั้น ตรงนี้แหละที่เผลอไป หลงไป โดยหารู้ตัวไม่ว่า พฤติกรรมเหล่านั้นไปสร้างความหมั่นไส้ ไปสร้างความไม่พอใจไปขวางหูขวางตาให้กับคนคุ้นเคยกัน จนกระทั่งในเวลาต่อมาคนกลุ่มนี้ก็ใส่ความ นินทา ด่าว่าลับหลัง แอบทรยศเล่าความเท็จให้ผู้อื่นฟัง เมื่อเรารู้เข้าก็ย่อมรู้สึกเจ็บปวดและรวดร้าวมากกว่าการที่ถูกใครก็ไม่รู้ ที่ไม่เคยรู้จักมาต่อว่าใส่หน้าเสียอีก เป็นอาการที่เสียความรู้สึก เสียดายความสัมพันธ์ เสียดายความหวังดีที่เคยมีให้กัน 
ความเจ็บปวดจากการที่ถูกคนคุ้นชิน คนที่ไว้วางใจ ปฏิเสธ ทรยศ หักหลัง ก็เป็นความเจ็บปวดและเป็นมหาทรมานในชีวิตเช่นกัน... ใช่หรือไม่ ในความสัมพันธ์ระหว่างทาง เราก็คุ้นเคยเจอะเจอกับสิ่งเหล่านี้กันมาบ้าง บางความสัมพันธ์ที่เราคิดว่าเต็มล้นไปด้วยความจริงใจ แม้ว่าจะมีบ้างบางเวลาที่มีความระแวงสงสัย มีบ้างบางอย่างเป็นสิ่งบอกเหตุว่าความจริงใจที่มอบให้ไปนั้นอาจจะถูกหักหลังในอีกไม่ช้าไม่นาน แต่ด้วยคิดในแง่ดีที่ว่า เอาความดีเข้าข่มเอาความจริงใจเข้าสู้ เพื่อกอบกู้ความมั่นคงแห่งศรัทธาคืนมา แต่ไม่นานความจริงเริ่มปรากฏ แม้จะหนักแน่นและมั่นคงเพียงใดใจก็สั่นคลอนก็ไหว ต้องมีอันจากลากันไป จากไว้วางใจกลายเป็นแสลงใจ จากเคยห่วงใยก็กลายเป็นห่างไกล ความเจ็บปวดชนิดนี้มีให้เห็น แต่ไหนเลยจะสู้กับความเจ็บปวดของคนที่รู้ทั้งรู้ว่าบนหนทางที่มีผู้คนชื่นชมยินดีสองข้างทางที่ผ่านมานั้น บนหนทางที่ผู้ใกล้ชิดที่เลือกสรรมากับมือนี้แหละ กำลังจะทรยศและทอดทิ้งไป จำต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ภารกิจหลักภารกิจแห่งรักและการอภัยที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จลงได้ ก็โดยอาศัยหนทางนี้ จะเจ็บปวดสักเพียงใด เมื่อต้องกินและดื่ม ต้องสบตากันอยู่ทุกวี่วัน กับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่นานจะต้องเป็นผู้ไปแจ้งความเท็จให้มาจับ จนกระทั่งนำไปสู่การได้รับทนทุกข์ทรมาน บนหนทางที่ปวงชนกำลังโห่ร้องตะโกนยกย่อง ไม่ช้าไม่นานจะกลายเป็นเสียงแห่งความเกียจชังและสาปแช่ง นี่แหละ...มหาของมหาทรมาน ที่แสนจะระทมใจ และเป็นการฆาตกรรมทางด้านจิตใจ...

ในยุคสมัยนี้ที่ทุกคนต่างล้วนมีเหตุผลของตัวเอง ล้วนมีพื้นที่ที่ยึดครองจับจอง มีความเห็นแก่ตัวที่มักชอบร้องตะโกนขอแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่น โลกที่พร้อมจะทรยศหักหลังเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ยอมแลกแม้กระทั่งเรือนร่างหากได้สิ่งที่หมายปอง โลกที่มีแต่การหลอกลวง จะคบใครได้มากน้อยแค่ไหน มันก็คงเป็นโลกในด้านร้าย โลกที่ดีที่สวยงามย่อมสร้างได้ด้วยมือเรา หากเราจริงใจกับโลกสักวันโลกก็จะจริงใจกับเรา หากเราชื่นชมความงามของโลก ความงามก็บังเกิดขึ้นในใจเรา สิ่งที่ต้องมีประจำจิตใจเราเสมอนั้นคือ มีใครชื่นชม ก็อย่าได้หลงไป แต่กลับต้องมานั่งทบทวนว่า เราได้ทำดีอย่างที่เขาชื่นชม เขายกย่องให้ได้มากกว่านี้ได้ไหม และในทางกลับกัน เราก็ต้องรู้จักชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ ตัดเรื่องผลต่างตอบแทนออกเสียบ้าง...
บนหนทางแห่งความชื่นชมยินดี ป้ายหน้าเป็นอะไรเราไม่รู้ แต่เราก็ควรจะต้องรู้ไว้ว่า มันมิใช่จะเป็นหนทางแห่งความราบเรียบและสวยงามตลอดไป ใจที่พร้อมจะยอมน้อมรับ ใจที่เปี่ยมด้วยรักเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องนำพาให้เราก้าวข้ามผ่านทุกเรื่องราวได้อย่างมีอิสระและไม่ไปหมกมุ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะชื่นชมยินดีหรือทุกข์ระทม ล้วนแล้วแต่ เมื่อมีมาย่อมพัดผ่านไปได้ หากใจมั่นคงก็ไม่ต้องหวั่นกลัวกับการถูกหลอกลวงและทรยศหักหลัง หากใจเข้มแข็งย่อมไม่หวั่นว่าป้ายหน้าคืออะไรพร้อมที่เข้าไปหา
และทำอย่างไร? ...เราจะมีใจเยี่ยงนั้น มีใจอย่างพระเยซูเจ้าที่ประทับบนหลังลา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี แต่ในใจพระองค์ล่วงรู้แล้วว่าอีกไม่นานคนเหล่านี้จะสั่งให้ตรึงกางเขนพระองค์ ใจที่พร้อมจะให้อภัยแม้เราจะเจ็บปวดเพียงใด ด้วยความเข้าใจและเห็นใจว่าทุกคนที่หักหลัง ที่ทรยศพระองค์ว่า เขาคงมีเหตุปัจจัยให้ต้องทำเช่นนั้น โดยที่เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป ... ใช่ บนหนทางที่เรากำลังเดินอยู่ เป็นช่วงจังหวะเวลาที่จะฝึกฝนและเรียนรู้แนวทางที่จะเข้าสู่ป้ายอย่างผู้เข้มแข็ง เมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะขอบคุณผู้ชื่นชม และขอบคุณผู้ที่สร้างความเจ็บปวดให้เรา และขอโทษหากว่าเราเองเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนที่ก่อให้เกิดความทุกข์สาหัสในหนทางชีวิตของใครบางคนเข้าอย่างมิได้ตั้งใจ... การข้ามผ่านความทุกข์ที่คนอื่นกระทำต่อเรานั้น ไม่ยากเท่ากับการข้ามผ่านความทุกข์ที่เราสร้างทำต่อตัวเองและผู้อื่น เราจะก้าวข้ามได้ไหมเพื่อสู่ป้ายหน้า ป้ายนั้น คือความสุขอันเป็นนิรันดร์....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

ท้าทาย...รั้งท้าย...

ท้าทาย...รั้งท้าย...

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆกำลังจะสอบเพื่อปิดภาคเรียน และเพื่อจะได้เลื่อนชั้นเรียนในช่วงเปิดเทอม หลายโรงเรียนสอบเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลายโรงที่ประสบเหตุน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา ต้องมีการเลื่อนเวลาออกมาสอบในช่วงนี้.. เวลาที่เด็กๆสอบโรงเรียนก็มักจะจัดวันสอบให้สลับระดับชั้นกัน และให้เด็กไปสอบแบบวันเว้นวัน โดยบอกให้เด็กๆได้หยุดเพื่อดูหนังสือ จึงกลายเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องบริหารเวลา หาคนที่จะมาดูแลเด็กๆลูกๆหลานๆที่ต้องหยุดเรียน และตรงนี้นี่เอง วิถีชีวิตที่เปลี่ยนมานั่งทำงานอยู่ที่บ้าน จึงต้องมีหน้าที่ที่จะดูแลเจ้าตัวน้อยในบ้าน ต้องรับหน้าที่คุณครูชั่วคราวทบทวนบทเรียนให้ พยายามหาข้อทดสอบรายวิชาที่เจ้าตัวน้อยจะสอบมาให้ทำ และเมื่อขอหนังสือรายวิชาที่เขาเรียนมาอ่านดู รู้สึกได้เลยว่า การเรียนสมัยนี้เปลี่ยนไปรวดเร็วจริงๆ เด็กต้องเรียนรู้เร็วขึ้น มากขึ้น ยกตัวอย่าง ในระดับชั้น ป.2  มีการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ เนื้อหาเริ่มต้น ว่าด้วยเรื่องคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ถึงกับอึ้ง!!! เลย เนื้อหาแบบนี้เราเคยเรียนในระดับมหาวิทยาลัย...
ในขณะที่นั่งทบทวนบทเรียนอยู่ด้วยกัน มีหลายครั้งที่เด็กน้อยออกอาการเบื่อหน่าย มองเห็นแล้วก็สงสาร พาลให้คิดไปว่า เด็กน้อย หัวเล็กๆ เพียงแค่นี้ ต้องบรรจุอะไรต่อมิอะไรลงไปเยอะเหลือเกิน ข้อมูล บทเรียน เนื้อหา ภาษา เลขคณิตที่แบ่งแยกสอบทุกวัน แล้วอะไรเล่า...ที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นถูกวิเคราะห์ ถูกประมวลประเมินผล และนำออกมาใช้ได้อย่างมีคุณธรรม คงต้องเป็น จิตใจ เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือกรองสิ่งล้นเหลือเหล่านั้นได้  เช่นนี้แล้ว การที่เราจะหมั่นอบรมสั่งสอนให้เด็กสมัยใหม่มีจิตใจที่เลือกคัดสรรสิ่งที่ดีๆสิ่งที่งดงามจาก Input นั้นมีความสำคัญยิ่ง ทุกภาคส่วนต้องไม่หลงลืมเรื่องเหล่านี้ มิใช่ทำให้เด็กเรียนรู้มากๆและไม่สามารถดำรงอยู่ในสนามชีวิตที่เขาต้องเข้าไปสู่ลู่ทางนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อมุ่งสู่ชัยชนะ ไล่ล่าหาความสำเร็จ โดยหวังเพียงเพื่อเป็นอันดับต้นๆกันเพียงอย่างเดียว...เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราในวันนี้
ในวันเดียวกันนั้นเองช่วงค่ำๆ มีเด็กชายอีกคนหนึ่งได้มาชักชวนให้ไปขับรถ Go-Kart เพื่อฉลองในวันที่ได้สอบเสร็จ ใจจริงก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปขับ เพราะดูแล้วคงไม่เหมาะสมกับวัย... :) ก็เพียงแต่เคยพูดคุยเล่นๆไว้ว่า ถ้ามีโอกาสอยากจะลองขับรถแข่งดูบ้างสักครั้งในชีวิต นี่ก็คงเป็นเหตุผลที่พอจะเข้าข้างตัวเองได้ เมื่อมีโอกาสก็เลยลองดูแม้ว่าจะเป็นเพียงรถเล็กๆ ไม่ได้เป็นรถแข่งเหมือนในฝัน แน่นอน...ความตั้งใจจริงๆนั้นก็เพียงเพื่อสะสมประสบการณ์ โดยหาได้มุ่งหวังที่จะต้องไปแข่งขันประชันความเร็วเข้าเส้นชัยเป็นอันดับต้นๆกับใคร เมื่อเข้าสู่สนามจริงเป็นครั้งแรกในชีวิตแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ คือ การเอาชนะความกลัว ความตื่นเต้นให้ได้ต่างหาก
และเมื่อรถออกตัว สมาธิต้องมุ่งมั่น ต้องแม่นเรื่องระยะทาง ใจต้องอยู่ในสนามตลอดเวลาเพราะข้างหน้าโค้งแล้วโค้งอีก เพียงหลุดลอยความคิดไปนิดเดียวรถก็หลุดโค้งทันที และแล้วเราก็ถูกแซงไปอยู่อันดับสุดท้าย เด็กชายผู้ชักชวนดูจะชำนาญและคล่องแคล้วมากกว่า แซงไปจนทบกลับมาแซงไปอีกรอบ ในขณะที่เริ่มคุ้นชินเส้นทาง ก็เริ่มไล่ล่าตามหลังเด็กอีกคนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาร่วมวงด้วย ขับจี้ๆตามไปเกือบจะแซงได้แต่ก็แซงไม่ได้ แถมหลุดโค้งอีกครั้ง ...
และเมื่อได้อยู่หลังคนอื่นเราก็แอบเรียนรู้ว่าเขาเข้าโค้ง ขับรถเข้าไลน์แบบไหน อย่างไร ทำให้เห็นวิธีของคนอื่น ทำให้เห็นแบบอย่างของคนอื่น ใช่ว่าการอยู่หลังคนอื่นจะไม่ใช่สิ่งดี แต่กลับมีคุณค่าต่างหาก แน่ล่ะ...เรารู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าด้วยวัย ด้วยสายตา ด้วยความชำนาญ ด้วยความเลื่อนไหวของร่างกาย เรามิอาจจะสู้กับใครได้ แต่การที่เราอยู่ในสนามแข่งขันเราก็ต้องพยายามก้าวไปข้างหน้า เพื่อไม่ให้ล้าหลัง แต่เรามิใช่ไล่ล่าเพียงเพื่อความเป็นที่หนึ่ง แต่เรากลับได้ทักษะเพิ่มเสริมพลังให้รถเราเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ไม่ให้หลุดโค้ง ไม่ให้เฉี่ยวชนขอบทาง ไม่ให้ชนกับคนอื่น...
เมื่อหมดรอบเด็กชายผู้ชักชวนยังอยากจะลองอีกสักรอบ เราหน่ะแค่หวังเพียงประสบการณ์ก็เพียงพอ เด็กชายจึงลงประลองความเร็วกับอีกหนึ่งท่านผู้ร่วมทีม ครั้นเสร็จสรรพ ดูท่าทางเด็กชายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก ด้วยว่าครั้งนี้ทำความเร็วไม่ได้ดังเป้าหมาย พ่อของเด็กชายเห็นซึมไปจึงได้สอนลูกชายอย่างชาญฉลาดว่า อย่าไปหมกมุ่นเรื่องนี้นักเลย ในชีวิตยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องใส่ใจมากกว่านี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูก็มีเรื่องใหม่เข้ามาแล้ว เราก็อยากจะให้กำลังใจเด็กชายคนนี้ว่า อย่างน้อยๆหนูก็แซงหน้าคุณอาคนนี้ไปตั้งหลายรอบมิใช่หรือ
แต่ก็นั่นแหละเด็กๆก็ต้องเรียนรู้บนหนทางแห่งชีวิตกันต่อไป แล้ววันหนึ่งเขาจะรู้ว่าบางที การได้เป็นที่หนึ่งก็เป็นการเสียโอกาสที่จะเห็นเบื้องหลังของคนอื่น การมุ่งหวังเพียงเพื่อไปให้ถึงซึ่งเส้นชัยด้วยความเร็ว บ่อยครั้งมันก็นำมาซึ่งความระทดท้อ เหนื่อยและอาจจะก่อให้เกิดความผิดหวังซ้ำซ้อนได้ง่ายกว่าการค่อยๆเป็นค่อยๆไปในแต่ละย่างก้าวของชีวิต ใช่หรือไม่ ชีวิตคือการเรียนรู้และยอมรับทุกเรื่องราวและอยู่กับมันให้ได้
ในวันนี้ที่เด็กๆต้องอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ท้าทาย โลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลล้นหัว จะเอาตัวรอดได้ไหม นั่นคือคำถามหนึ่ง??? และคำถามที่สำคัญกว่าคือ และวันนี้เด็กๆจะเอาวิญญาณรอดไหมในยุคไล่ล่า ในยุคที่ใครล้าหลังคนนั้นคือคนที่พ่ายแพ้ ยุคที่คนแข่งกันเพื่อตัวใครตัวมัน แล้วถ้าเราสอน อบรมลูกหลานเรา ให้รู้จักเป็นคนที่อยู่หลังคนอื่นบ้าง จะได้มีเวลาช่วยพยุงคนข้างหน้าที่กำลังจะล้มลง คนเช่นนี้ ต่างหากที่โลกนี้กำลังขาดแคลน และมีความต้องการเป็นอย่างมาก... ลูกหลานเราเป็นได้หรือเปล่า นี่ก็เป็นการท้าทายเราอีกเช่นกัน...

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

แสงสว่างที่อบอุ่น


แสงสว่างที่อบอุ่น
การตกใจสะดุ้งตื่นแล้วเกิดอาการสับสนว่าเรานอนอยู่ที่ไหน!!! วันนี้เป็นวันอะไร!!! ต้องรีบไปไหนหรือเปล่า!!! เกิดขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ต้องมานอนในต่างที่ต่างถิ่น กว่าจะรวบรวมสติได้ ก็กินเวลาไปร่วมๆนาที และเมื่อทุกอย่างคืนสู่สภาวะปกติก็ถึงบางอ้อว่า ที่ตกใจนั้นเพราะตื่นมาแล้ว พบแต่ความมืดรอบด้าน แถมยังไม่ใช่ที่ที่คุ้นชิน หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา เพิ่งจะตีสี่กว่าๆเอง จึงคิดจะเดินออกไปข้างนอกห้องพักสักหน่อย แต่...ประตูตึกก็ยังไม่เปิด รอบนอกยังคงมืดสงัด
กลับมาลงนอน ลืมตาอยู่ในความมืด ก็คิดว่าหากเป็นสมัยเมื่อยังเด็กๆ ตื่นขึ้นมาแบบนี้ คงจะเต็มไปด้วยความกลัว ร้องเรียกหาคนมานอนเป็นเพื่อน หรือไม่ก็ต้องรีบคลุมโปงนอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ไม่ว่าจะร้อนเพียงใดก็ยังดีกว่าจะเห็นอะไรแปลกๆในความมืด ใช่หรือไม่ สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ใช่การกลัวผีสางหรือวิญญาณ ...เรากลัวความมืด กลัวการอยู่คนเดียวต่างหาก เมื่อวันเวลาผ่านไป เติบโตขึ้น ทำให้เรากลัวความมืดน้อยลง อาจจะเป็นเพราะเรารู้ว่าในความมืดนั้นมันคือ ความเงียบสงบ คือ การเตรียมตัวพร้อมสู่ความสว่างของวันใหม่ คือ การพักผ่อน คือ สัจธรรมของโลกที่มีมืดแล้วย่อมมีสว่าง..
เฉกเช่นเดียวกับในหนทางชีวิตที่ย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ด้านมืดที่เรามักกลัว กลัวว่าเมื่ออยู่ในที่มืดจะมีใครเข้ามาทำลายเรา กลัวคนอื่นรู้ในมุมมืดของเรา กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ ที่สุด..เราก็พยายามปกปิดความกลัวในด้านมืดของเราเสีย ด้วยการมุ่งหาด้านมืดของผู้อื่นมาชดเชย ในทางตรงกันข้ามเราชอบให้คนอื่นมองเห็นด้านสว่างของเรา อยากจะฉายแสงแรงกร้าให้คนทั้งโลกได้เห็น ทำไปทำมาแสงมากเกินไป จนเกิดพิษเกิดภัย ทั้งต่อตัวเองและผู้พบเห็น ส่วนแสงสว่างของคนอื่น เราก็พยายามเอาถังไปครอบไว้ ถ้าทุกนาทีในชีวิตลองได้เป็นแบบนี้ ชีวิตก็คงมีแต่ทุกข์มีแต่เครียด
เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ ทำให้นึกถึง พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีไปถึง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2547  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่ มีใจความว่า
ลูกพ่อ... ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น
ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือ รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ 
พ่อขอบอกลูกดังนี้...
1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต 
2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม 
3. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน 
4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ให้ภาวนาว่า มีลาภ มียศ สุข ทุกข์ ปรากฏ สรรเสริญ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า ช่างมัน
พ่อ 6/10/2547
เราทุกคนที่มีชีวิตขึ้นมาแล้วจะอยู่แต่ลำพังคนเดียวนั้นไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นร่วมด้วย เมื่อมีหลายคนเข้ามาข้องแวะ แต่ละคนก็ย่อมมี ความโลภ ความโกรธ ความเกลียด มาด้วยกันไม่เว้นแม้แต่เราเอง แต่ละคนย่อมมีความคิดเห็นคนละอย่างสองอย่าง ซึ่งมักจะไม่เหมือนกันตามแต่นิสัยใจคอ ตามการอบรมและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก ก็ย่อมจะเกิดการขัดแย้งกันได้เสมอ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ตามธรรมชาติใครๆ ก็มีความปรารถนาที่จะให้ชีวิตของตนมีความสุข และพยายามที่จะกระทำทุกๆ ทางเพื่อให้ได้มาครอบครอง
 เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างจึงได้พยายามต่อสู้กัน เพื่อหวังว่าจะได้มีความเป็นอยู่ดีที่สุดตามที่ตนปรารถนาหรือนึกฝันภาพเอาไว้ จิตใจก็ย่อมบังเกิดความเห็นแต่ตัว ขาดความรัก ความเมตตา หัวใจของคนจึงคิดที่จะเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนกัน มันเป็นด้านมืดที่มีอยู่ แต่เรามองไม่เห็น  จึงไม่เกิดความกลัว สิ่งที่จะช่วยลดความมืดของสังคมได้บ้างคือ ต้องให้ความรักแก่กันและกัน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วสังคมเราก็จะได้พบแสงสว่างแห่งอรุณรุ่งที่อบอุ่น แสงสว่างที่เพียงพอ ที่ไม่เปล่งแสงแรงเกินเหตุ ที่สุดแล้ว ความมืดจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยในชีวิตที่จะผ่านไป ยังมีแสงสว่างและความงดงามสูงส่งที่ความมืดไม่อาจแผ้วพานได้  แล้วเมื่อแสงสว่างมาเยือนชีวิต วันใหม่ ความดีงามก็เริ่มต้นอีกครั้ง...
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20                     

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเศษฝุ่นกลายเป็นม่านหมอก


เมื่อเศษฝุ่นกลายเป็นม่านหมอก
ด้วยเหตุบังเอิญในช่วงเวลาที่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย เกิดวิกฤติเรื่องอากาศเป็นพิษ ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน เป็นเวลาเดียวกันที่ได้นัดหมายว่าจะพาแม่ไปพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายในเวลาเพียงเดือนเศษๆชีวิตก็วนกลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มิใช่การท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แต่เป็นการพาผู้สูงอายุวัยเกือบแปดสิบปีขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ออกจากถิ่นฐานพื้นเพที่อาศัยมาทั้งชีวิต และได้มาพักแรมค้างหลายๆวันหลายๆคืน ในสถานที่แสนจะห่างไกลจากถิ่นเก่า การที่จะไปยังสถานที่ต่างๆจึงมิใช่เรื่องง่าย อย่างเก่งเพียงวันละสถานที่ก็เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนที่พาไปและคนถูกพาไป แต่มันก็สุขใจที่ได้มีเวลาได้ดูแลแม่ผู้ที่เคยดูแลเรามาครั้งเก่าก่อน

และด้วยความวิตกเล็กน้อยเกี่ยวกับอากาศของเชียงใหม่ไม่ใคร่จะสู้ดีนัก เนื่องเพราะหมอกควันได้ปกคลุมไปทั่วภาคเหนือ ตามข่าว ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐสถานการณ์หมอกควันพื้นที่ภาคเหนือส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นวิกฤติ ยกเว้นบริเวณพระตำหนักภูพิงค์ฯ สภาพอากาศดี วัดค่าเฉลี่ยคุณภาพอากาศได้ 24.0 ไมโครกรัม ขณะที่ อำเภอแม่สาย ยังน่าห่วงปริมาณค่าเฉลี่ยยังสูง 356.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพมาก
และเมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงๆ อากาศก็มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด อย่างที่ติดตามจากข่าวสาร จะมีบ้างที่บางครั้งเดินๆอยู่จะมีเศษฝุ่นดำๆเล็กๆ ล่องลอยมาติดตามเสื้อผ้า ในวันที่ไปชมความงามของมวลดอกไม้ที่พระตำหนักภูพิงค์ ซึ่งครั้งนี้ได้ใช้บริการของรถกอล์ฟนำเที่ยว เพราะคิดแล้วว่าแม่คงเดินไม่ไหว ผู้ขับขี่ซึ่งทำหน้าที่พูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ไปพร้อมๆกัน ช่วงหนึ่งก็ได้พูดถึงข่าวอากาศว่า บางครั้งการเสนอข่าวก็อาจจะเกินความจริงไปสักหน่อย ช่วงที่อากาศแย่สุดก็เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน เท่านั้น ก็คงจะจริงเพราะเท่าที่เห็นภาพก็ออกจะแตกต่างจากภาพที่เป็นข่าว.... 
วันต่อมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็นำเสนอต่อว่า ที่ จ.เชียงใหม่ บริเวณจุดตรวจวัดอากาศศาลากลาง อ.เมือง อยู่ที่ 151.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนจุดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อ.เมืองอยู่ที่ 129 .0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และจุดพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อยู่ที่ 24.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าคุณภาพอากาศดีขึ้น
ทำให้ความวิตกเรื่องอากาศลดน้อยลง แต่การเที่ยวชมไปยังที่ต่างๆสำหรับแม่แล้วก็ยังลำบาก เวลาส่วนใหญ่จึงเป็นการพักผ่อนอยู่ที่ที่พัก ทำให้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้น การได้อยู่กับแม่ผู้สูงวัยทำให้เริ่มเข้าใจแม่มากขึ้น ทำให้เริ่มเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น แม่ผู้มีโลกอยู่เพียงหมู่บ้านถิ่นเกิดมาถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ภาพคุ้นชินฝังเข้าอยู่ในความทรงจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พออยู่มาวันหนึ่ง ได้มาเห็นภาพที่แปลกไป แต่ความคุ้นชินไม่ได้เปลี่ยนตาม ยังคงพูดเวียนวนอยู่ในเรื่องเดิมๆ พอมีโอกาสก็พูดกับแม่ว่า แม่...ลองลบ ลืมภาพหมู่บ้านถิ่นเดิมสักพักหนึ่งนะ เปิดรับสภาพใหม่ๆ ทำให้แม่เริ่มมีความสุขในสิ่งที่เห็นมากขึ้น แต่ด้วยวัยที่โรยราล้าเกินไป ความเหนื่อยหน่ายจากการต้องเดินไกลก็เป็นอุปสรรคต่อความสุขในสิ่งใหม่ๆของแม่
วันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพอากาศหมอกควันในตัวเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนถึงเวลา 17.00 น พบว่า อากาศเริ่มใสขึ้น สามารถมองจากตัวเมืองเชียงใหม่เห็นดอยสุเทพได้ชัด ไม่เหมือนในช่วง 10 วันที่ผ่านมา โดยสังเกตจากค่าเฉลี่ยจากจุดตรวจวัดปริมาณมลพิษฝุ่นละอองอากาศ หรือค่า PM 10 บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่ 95.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่จุดวัดปริมาณมลพิษฝุ่นละออง ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ใจกลางเมืองเชียงใหม่ อยู่ที่ 99.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่จุดตรวจวัดพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อยู่ที่ 19.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 
การได้มีเวลาดูแลแม่ มีเวลาพูดคุย ทำให้เราเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่มากขึ้น แม่บอกว่า แม่มีความสุขที่ได้มาเชียงใหม่ ที่สุขเพราะไม่ใช่ได้ท่องเที่ยวแต่สุขเพราะได้เห็นว่าลูกๆของแม่แต่ละคนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความรักและสามัคคีช่วยเหลือห่วงใยกันตลอดเวลาของพี่ๆน้องๆที่เป็นลูกของแม่ ทำให้คิดไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่แม่ยอมขึ้นมาเชียงใหม่นั้นไม่ใช่ต้องการท่องเที่ยว แม่ต้องการได้พักผ่อน ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้เห็นความเป็นอยู่และการทำงานของลูกสาวคนโต ได้เห็นสิ่งใหม่ที่งดงามในต่างถิ่นบ้างเป็นของแถม ทำให้เราที่พบว่าความงามในความห่วงใยอยู่ในใจของแม่ ความงามที่ได้เห็นลูกหลานมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า เป็นความงามที่แม่ชื่นชมเสมอมา จึงทำให้เกิดความใสสว่างกระจ่างเกิดขึ้นในใจ
ใช่หรือไม่ ในชีวิตเราบ่อยครั้งมักคิดไปเอง เอาสิ่งเล็กๆน้อยๆมาสุมรวมกัน ก่อให้เกิดเป็นมลพิษขึ้นมารบกวนจิตใจ ทำให้เกิดอคติต่อสิ่งรอบข้าง ต่อคนใกล้ชิด เป็นคล้ายดังเศษฝุ่นละอองเล็กๆที่ล่องลอยรวมตัวกันเป็นม่านหมอกปิดคลุมเมือง ที่สวยงาม ให้ตกอยู่ในความมืดมัวและคลุมเครือ จากที่ที่สวยงามตามปกติที่มองผ่าน อยู่มาวันหนึ่งถูกปกปิดให้มืดมัว มันก็ทำให้เราเรียกหาสิ่งงดงามยามปกติที่หดหายไป และเมื่อวันที่ฝุ่นควันพิษพัดผ่านเลยไป ฟ้าใสใจสว่างก็บังเกิดขึ้น แต่ว่ามันจะอยู่เป็นภาพที่สวยงามและคงอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไร ก็คงตราบเท่าที่อคติใหม่ๆที่สะสมหลอมรวมกันมาบดบังชีวิตอีกวาระหนึ่ง แต่เราก็เลือกและหาทางที่จะป้องกันมิให้มันเกิดมิใช่หรือ... ความสุขมิได้อยู่ที่การหาสิ่งอื่นมาทดแทน อยู่ที่ว่าเรารู้จักที่จะไม่ให้สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า อคติ มาเป็นมลพิษปิดบังทางจิตใจมากกว่า ...

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

รักพระเหมือนเมื่อแรกรัก


รักพระเหมือนเมื่อแรกรัก 
ทุกยามเช้าชีวิตในเมืองที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงรถ เสียงผู้คนที่เริ่มออกจากบ้านเรือน เดินทางสัญจร ดูเป็นภาพที่อลหม่านและวุ่นวายอยู่มิใช่น้อย และใช่หรือไม่.. เราก็เป็นหนึ่งในความสับสนของคนเมืองด้วยเช่นกัน ท่ามกลางการไหลรื่นของคลื่นมนุษย์เมือง เร่งรีบ เบียดเสียด แข่งขัน เพื่อไปให้ถึงยังที่ซุกซ่อนในซอกหลืบของตน... แต่ ณ เช้าวันนี้ ที่วิถีชีวิตได้ถอยล่น ถอยห่างออกมาจากความรีบเร่ง ได้มีเวลานั่งละเมียดละไมกับกาแฟกลางสายธารข่าวสารที่เสพ ที่ติดตามอยู่ทุกเช้า โลกเคลื่อนหมุนไป เทคโนโลยีเปลี่ยนไป และเกิดใหม่ทุกเวลา แต่เรื่องราวของมวลมนุษย์ก็ยังเวียนวน วนเวียนกันอยู่แต่ในเรื่องราวเพียงไม่กี่เรื่อง เพียงเวียนเปลี่ยนคนเล่น เป็นดังละครทางทีวีที่นำมาผลิตแล้วทำซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ โลกมันก็เป็นเช่นนี้...
หนึ่งในเรื่องราววุ่นๆวนๆของคนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวความรัก แล้วใครบ้างเกิดมามิเคยได้สัมผัสถึงความรัก ไม่ว่าใครๆก็อยากถูกรัก อยากเป็นที่รัก แล้วก็อยากที่จะรักใครสักคน ด้วยกันทั้งนั้น  เมื่อโลกหมุนไปด้วยความรักของผู้คนจึงมีหลายหลากนิยาม หลากหลายคำนิยม จนกลายเป็นนิยาย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จึงลองค้นหาคำว่า ความรัก ในอากู (กูเกิ้ล Google) ภาคภาษาไทยดู พบว่าผลการค้นหาประมาณ 113,000,000 รายการ (0.21 วินาที) แล้วแคบเข้าไปอีกสักหน่อย เพื่อให้เข้าใจถึงการ เริ่มรัก แรกรัก นั้นมีการพูดกันเช่นไรบ้าง ขอยกตัวอย่างมาให้ลองอ่านกันสักเล็กน้อย...
เมื่อคิดจะรัก ก็ต้องยอมรับ  ยอมรับในความต่าง ยอมรับในความคิด ยอมรับในการดำเนินชีวิต และตัวตนของแต่ละคนได้ รักใหม่ๆ  ดู ๆไป ยังไงก็สดใส หวานชื่น
เมื่อเริ่มรัก โลกจะหมุนไปข้างหน้า พาหัวใจสองดวงให้เต้นไหวไปพร้อมๆกัน
เมื่อเริ่มรัก  คนสองคนจะมองทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม การกระทำที่แสดงออกต่อกัน แม้เป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งพิเศษ ที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก หากมันเป็นการกระทำของคนที่เรารัก 
เมื่อ เริ่มรัก  ความรักจะทำให้คนสองคนรู้สึกว่า ความฝันและความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริง บัดนี้ได้เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริงแล้ว
ไม่ว่าจะ เริ่มรัก หรือ เลิกรัก ความรักต่างก็ทำให้คนสองคนรับรู้และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกัน   ความรักแรกเริ่มสวยงาม เพราะช่วงแรก ต่างคนต่างสนใจในกันและกันมาก (โลกนี้มีแต่เราสองคน เมื่อเราสนใจเขา เขาสนใจเรา ก็มีการเอาใจใส่กัน เสนอ สนอง แสดงออก(อย่างเต็มใจ) ในสิ่งที่อีกคนจะพอใจ ทุกอย่างเลยเข้ากันได้ดี มีความสุข ชีวิตรักสวยงาม... นี่เป็นเพียงบางนิยามของการเริ่มรัก หรือ รักแรก
แล้วทำไมจึงได้คิดถึงเรื่องรักแรก เรื่องเริ่มรัก ในห้วงอารมณ์ละเมียดกาแฟเช่นนี้ !!! เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาเพราะคิดว่าเราทุกคนเคยรัก เคยถูกรัก แล้วแต่ละคนก็มีวิธีวิถีแห่งรักของตนทั้งนั้น แล้วสำหรับความรักที่เรามีต่อพระเล่า เป็นเช่นไร ....
จากนิยามที่นำมาให้อ่านเวลาเราเริ่มรักใครสักคนเราก็พร้อมที่จะปรับที่จะเปลี่ยน ทั้งๆที่อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้เรียกร้องด้วยซ้ำไป เราพร้อมที่จะเชื่อทุกคำพูด พร้อมที่จะทำตามทุกสิ่ง เพียงแค่อารมณ์ผิวๆเช่นนี้ มันย้อนกลับมากระแทกใส่ในสำนึกว่า แล้วเราเคยมีแรกรักพระหรือเปล่า รักที่พร้อมจะเชื่อมทุกอย่าง ทำตามทุกสิ่ง โลกนี้มีเพียงพระเจ้าเพียงพอ เห็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าเป็นอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่พิเศษที่พระมอบให้หรือเปล่า มองเห็นความงามในสิ่งที่พบเจอ แล้วคิดถึงพระองค์ได้ในทุกครั้งหรือเปล่า ชื่นชมพระองค์ทุกครั้งในการก้าวเดินบนหนทางในชีวิตทุกๆวัน มีความมั่นใจที่จะกล้าทำความดี เพราะคิดว่ามีพระองค์อยู่เคียงข้างเราทุกเวลาหรือเปล่า..
หรือว่าวันนี้เรารักพระเจ้า ที่เป็นเหมือนคนที่เคยอยู่กันมานาน คุ้นๆชินๆชาๆกันไป หรือว่า เป็นประเภทเริ่มที่จะเลิกรักกันแล้ว เพราะไม่ได้ดั่งใจ ขอให้รวยก็ไม่เคยถูกหวย ของให้โชคดีเห็นมีแต่ความทุกข์โถมใส่... เกิดอะไรนิดอะไรหน่อยก็คอยที่จะต่อว่า พระเจ้าไม่เคยอยู่เคียงข้าง ไม่เคยเข้าข้าง ปากก็บอกว่ารักแต่ไม่เคยเลยที่จะเชื่อและทำตามคำสอนของพระองค์ ความดีงามในจิตใจหดหายเหลือแต่ความยโสโอหัง ไม่ยึดมั่นในคำสัญญา และที่สุดขาดศรัทธาในความรักของพระองค์...
ใช่ ...เรายังคงรักพระอยู่เสมอ แต่เราก็อาจจะหลงลืมความรักที่พร้อมจะเชื่อ พร้อมที่จะทำตามไปบ้าง เราพูดว่า รักพระทุกวัน แต่การกระทำกลับไม่ได้ทำตามที่พระองค์สอนสั่งเลย พระเจ้าได้ทรงส่งพระเยซูมาเพื่อพิสูจน์ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ เพื่อให้เราสัมผัสรักแบบที่มนุษย์ตัวเป็นๆ แล้วพระองค์ตรัสว่า นี่เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด  ในวิถีชีวิตที่ผ่านมา เราเคยหลอกตัวเองว่า รักพระ มาวัดสวดภาวนา วอนขออยู่บ่อยๆ แต่เราได้รักพระแบบลึกซึ้งขึ้นหรือเปล่า เพราะในความจริงของชีวิต เรายังหลงอยู่กับความโลภ ยังใฝ่หากิเลส ยังสะสมความโอหัง ที่สุดแล้ว เราก็ตีค่าความเห็นแก่ตัวของเราเป็นความรักไปซะงั้น
แล้วเรารักตัวเองจริงหรือเปล่า หรือเพียงรักเพื่อให้ชีวิตเกิดความสะดวกสบาย นั่งทบทวนความรักที่สัมผัสได้ที่ผ่านมา ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ผ่านพบ แล้วมานั่งทบทวนถึงความรักของเราต่อพระเจ้า เป็นเพียงผิวเผินมากๆ ยังไม่ได้เข้าสู่ความรักจริง ถ้าเรารักจริงแล้วเราต้องรักตัวเองให้มากกว่านี้ ดูแลร่างกาย รักษาจิตใจ และรักคนรอบข้างเหมือนกับที่เรารักตัวเองด้วย ความรักที่นิรันดร์ต้องเริ่มจากรักพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นองค์ความรัก วันนี้เรารักพระเจ้าแบบรักแรกหรือเปล่า....