วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

เสียงสุดท้ายของวัน


เสียงสุดท้ายของวัน
โลกที่วุ่นวายเพราะใจคนเรามันว้าวุ่น ขุ่นเคืองจนเกิดเรื่องบาดหมาง ขัดแย้ง แก่งแย่งแข่งขัน ทำไมหนอ!!!... มนุษย์เราไยถูกสร้างมาให้ประเสริฐกว่าสรรพสิ่งสรรพสัตว์ กลับมีวิวัฒน์ทางอารมณ์ไปสู่ความโลภ โกรธ เกลียด แค้น กันได้ปานฉะนี้ เหตุไฉน!!!... เมื่อหมดรักต้องกลายเป็นชิงชัง เมื่อโกรธแล้วจึงเกลียดชัง บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ไม่เห็นมันมีอารมณ์แบบนี้เลย ใช่หรือไม่ อารมณ์เหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้คนก็เพื่อให้เรารู้จักพัฒนาขัดเกลาทางด้านจิตใจเพื่อนำไปสู่การมีจิตวิญญาณที่มั่นคง เมื่อโกรธเกลียดก็ต้องฝึกฝนจิตใจให้รู้จักให้อภัย เมื่อหมดรักก็ต้องรู้จักปล่อยวาง คิดถึงสิ่งดีๆความทรงจำที่งดงามที่เคยมีให้กัน ให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันกลายเป็นคนที่หวังดีต่อกันตลอดไป เรารู้ใช่ไหมล่ะว่า เราล้วนเกิดมาจากความรักอันงดงามด้วยกันทั้งนั้น เราก็ควรใช้ชีวิตอย่างงดงามยินดี หาใช่ยินดีตอนพบ ให้ร้ายตอนจบเท่านั้น และแน่นอน กว่าจะผ่านพ้นค้นพบจนเจอ จนปฏิบัติตัวได้ ย่อมจะต้องใช้เวลา ย่อมต้องใช้ความอดทน ย่อมต้องรู้จักฟังเสียงเตือนตน เสียงแห่งมโนสำนึก เสียงของมโนธรรมเป็นประจำ...
ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยการอุปโภคและบริโภคจนล้นจนเกิน นำมาซึ่งเสียงเครื่องยนต์กลไกการผลิตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกลายเป็นเสียงสามัญประจำวัน เสียงนาฬิกาปลุกดังตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงโทรทัศน์ที่ตื่นปุ๊บก็ต้องเปิดปั๊บเพื่อรับรู้ข่าว(ร้าย)วันใหม่ เสียงคนอ่านข่าวเจื้อยแจ้วผสมไปกับเสียงน้ำที่ราดอาบ เสียงน้ำจากฝักบัว เสียงเพลงจากหูฟัง เพลงที่ชื่นชอบถูกใส่ไว้ในเครื่องส่วนตัวพร้อมบรรเลงได้เพียงปลายนิ้วแตะ เสียงรถยนต์คำรามบนท้องถนนที่ไม่เคยหยุดพักเสียง แม้ตอนติดหนึบเหยียดยาว เสียงรถมอเตอร์ไซต์ วิ่งผ่านไปทั้งซ้ายทั้งขวา มีบ้างบางวันมีเสียงด่าขรมกันในทางระหว่างไปมา เสียงเปิดคอมพิวเตอร์ เสียงerrorเมื่อกดใช้งานผิดพลาด เสียงผู้คนพูดคุยผ่านหูซ้ายย้ายออกไปทางหูขวา เสียงเด็กร้องไห้ เสียงหัวเราะของผู้คน  เสียงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายสุดบรรยายได้ในแต่ละวัน จนบางครั้งบางคนหูพิกลพิการ เพราะรับเสียงภายนอกมากเกินไป เป็นไปได้ไหม คนในเมืองมักจะพูดเสียงดังกว่าคนนอกเมือง (รวมทั้งเสียงเรียกร้องเรื่องต่างๆด้วย) อันเนื่องมาจากต้องพูดแข่งกับเสียงต่างๆที่ดังกระหึ่มทั้งเมืองทั้งวัน
ในวันๆหนึ่งเราต้องอยู่กับเสียงภายนอกมากเหลือเกินและตอนสิ้นสุดวันก่อนหลับตาลงนอน ก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์ เสียงสุดท้ายคือเสียงอะไรเล่า?... หลายคนอาจจะหลับคาเสียงเพลงที่เสียบคาหูตลอดทั้งคืน หลายคนอาจจะหลับคาจอโทรทัศน์ที่ตั้งเวลาปิดเอาไว้ หลายคนอาจจะหลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้ากับเสียงหัวใจที่เต้นเร็ว มีบ้างบางคนหลับไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ แต่ถ้า... เสียงสุดท้ายก่อนหลับในทุกค่ำคืน เป็นเสียงที่ได้พูดคุยกับตัวเอง เสียงที่โต้เถียงว่าสิ่งที่ทำผ่านมาในวันนี้อะไรดีอะไรไม่ดี แล้วให้เสียงภายในได้เตือนได้บอกว่าอะไรควรทำต่อไป อะไรควรแก้ไขเพื่อให้จิตใจสงบสบาย นี่คงจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ส่งให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อยามตื่นและมีคุณภาพเมื่อยามหลับใหล
เรื่องไหนที่ยังไม่ดีมโนธรรมย่อมย้ำเตือนเราเอง ในการเริ่มต้นฟังเสียงภายในนี้ เราอาจจะฟังไม่ได้ยินมากนักหรือมีบ้างบางคนกลัวที่จะได้ยินเสียงเตือนภายในแบบนี้ จึงพยายามหลีกเลี่ยง พยายามไม่อยู่คนเดียว และถ้าลองฝึกฝนทุกๆวันจนกลายเป็นกิจวัตร เสียงเหล่านี้จะออกมาบอกเราได้ทุกเวลา แม้ในขณะที่เรากำลังก้าวผิดพลาด หรือถึงแม้ว่าในบางครั้งเราพยายามจะปิดเสียงนี้ ไม่ยอมรับฟังจนถลำทำผิดไป เสียงนี้ก็จะกลับมาเตือนเราอีกครั้งในภายหลังแล้วบอกเราว่า “จงกลับใจ” อย่าได้ทำสิ่งนั้นอีก สิ่งนี้จะออกมาพร้อมกับอาการไม่เป็นสุขทั้งทางสีหน้าท่าทาง และแน่นอนด้วยความอ่อนแอตามประสามนุษย์ หลายครั้งเราก็ทำผิดซ้ำๆซากๆ แต่ถ้าเราได้ฟังเสียงเตือนบ่อยๆ ความละอายต่อความผิดย่อมเกิดแก่ทุกคน เว้นเสียแต่ว่า เรามักใช้ข้ออ้างเพื่อหลอกลวงและโกหกตัวเอง พยายามเอาชนะเสียงเตือนโดยการพยายามหาเหตุผลพันแปดประการมาลบล้าง ทำไปทำมาเราก็เชื่อคำโกหกของตัวเองแล้วก็จมปลักไปกับสิ่งเหล่านั้นอย่างมิมีวันถอนตัวขึ้นได้
ใช่หรือไม่...สิ่งที่ทำให้โลกวุ่นวายเพราะใจเรามันว้าวุ่นอยู่กับข้ออ้างแบบของใครของมัน ละเมิดบรรทัดฐานทางมโนธรรม ไร้จิตสำนึก ผิดต่อคำปฏิญาณคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าพระว่า “จะละทิ้งปีศาจ” แต่เรากลับละทิ้งพระเจ้าแล้วยังเชิดชูมันที่แสดงออกมาในกิริยาแห่งความโอหังโอ้อวด ไม่ยอมรับผิด ไม่กล้ากลับใจ เพราะกลัวการสูญเสียพื้นที่ที่ยึดครอง กลัวการเสียหน้า ในชีวิตของคนเรา หากไม่เรียนรู้การกลับใจมีแต่จะก้าวไปสู่ก้นลึกแห่งกิเลสด้วยกันทั้งนั้น เสียงสุดท้ายก่อนนอนยามค่ำคืนเตือนว่า “จงกลับใจและเชื่อฟังข่าวดี” ย่อมนำพาการนอนหลับสนิทที่อิ่มเอม ตื่นมาสดชื่น จิตใจเบิกบานหน้าตาผ่องใส พร้อมน้อมรับฟัง รับใช้ผู้อื่น และพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกที่วุ่นวายด้วยหัวใจที่มั่นคง นี่เป็นหนทางสู่การพยายามที่จะเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม อย่าลืมที่จะฟังเสียงมโนธรรมเป็นเสียงสุดท้ายของวันนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีเวลาฟังเสียงอื่นๆรอบตัวเราอีกหรือเปล่า.....

ไม่มีความคิดเห็น: