
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
ผ่านมามิได้ผ่านไป
เคยไหมที่เป็นอย่างนี้??? ในขณะที่เรากำลังคิดถึงใคร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ไม่นานสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น คนนั้นๆก็ติดต่อเข้ามา บางคนอาจจะเรียกว่า “เป็นลางสังหรณ์” ในอีกมุมหนึ่ง นี่ต้องเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่พลังหนึ่งที่ใจส่งถึงใจ หรือเป็นเพราะด้วยแรงแห่งจิตที่ส่งถึงกัน เป็นพลังจิต พลังชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง... ในขณะที่กำลังคิดถึงเพื่อนเก่าๆสมัยที่เคยใช้ชีวิตร่วมกินอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 5 - 6 ปี เจอหน้ากันแทบทุกวัน แต่เมื่อต้องแยกย้ายก็หายหน้าหายตากัน ตามภาระหน้าที่การงานโดยไม่ได้เจอหรือติดต่อกันเลย กี่ปีแล้วนะที่ไม่เคยพบเจอพูดคุยกันเป็นหมู่คณะ ร่วมๆ20 ปีเห็นจะได้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะได้อ่านบทกวีบทนี้...
ฉันมีเพื่อนที่อยู่ไม่ไกล ในเมืองใหญ่ที่ไม่มีวันหลับใหล
และเวลาก็ยังคงผ่านไป ฉันไม่เคยรู้ว่านานแค่ไหน
แต่ฉันไม่เคยเจอเพื่อนเก่าคนนั้น…
เพราะชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน รู้แต่ว่าเขาคงสบายดีเช่นกัน
จนวันหนึ่ง ...อยากลองไปหาดูสักที เพื่อนที่เราเคยมีความรู้สึกดี ๆ
แต่ตอนนี้เรายุ่งและเหนื่อยล้า ต้องฟันผ่ากับเกมอันหลากหลาย
เหนื่อยหน่ายกับการสร้างชื่อ
พรุ่งนี้แล้วกันนะฉันจะโทรหา... ปลอบตัวเองว่าเรายังมีเพื่อนให้คิดถึงอยู่
แต่พรุ่งนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ระยะทาง ระหว่างเรายิ่งไกล
เพื่อนที่อยู่ใกล้กลับเหมือนอยู่ห่างร้อยไมล์ จนได้ข่าวว่าเพื่อนจากเราไป
นี่คือ สิ่งที่เราสมควรได้หรืออย่างไร….
ที่ตรงนั้นไม่ไกล แต่ว่าเพื่อนฉันไม่อยู่อีกต่อไป
จงพูดอย่างที่ใจคิด ถ้าคุณรักใครสักคนก็บอกเขาไป
อย่ากลัวที่จะเผยความรู้สึก เปิดใจ และบอกคนที่มีความหมายกับคุณ
เพราะหากคุณรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม วันนั้นอาจจะช้าไป …
หาโอกาส ในวันนี้ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง
สิ่งที่สำคัญที่สุด จงอย่าละเลยเพื่อนและครอบครัว
เพราะพวกเขาทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นทุกวันนี้
จงยิ้ม เข้าไว้ แม้วันที่มีน้ำตา…
พออ่านกวีบทนี้จบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นเบอร์ที่ไม่ได้เก็บไว้ในหน่วยความจำ เสียงปลายสายถามว่า “จำเสียงนี้ได้ไหม” สมองใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรก็คิดไม่ออก เสียงปลายสายจึงบอกชื่อเล่น .... โอ้...เพื่อนที่เคยสนิทสนมนั่นเอง เพื่อนก็เกริ่นนำเสียยืดยาวในการติดตามหาเบอร์มือถือจนเจอ สาเหตุเพราะว่าจะมีการนัดหมายรวมรุ่นกัน เพื่อที่จะพูดคุยสังสรรค์กันมันน่าแปลก ก็เมื่อสักครู่เรายังคิดถึงกันอยู่เลย จึงรีบตกลงในทันที…
เหมือนดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ วันที่นัดหมายมาถึงต้องเดินทางไปหาเพื่อนๆนั้น พาหนะคู่กายกลับทรยศ แอร์เกิดเสียกลางทาง จึงต้องแวะหาร้านเพื่อซ่อม เพราะวันนั้นอากาศร้อนจริงๆ และเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไม่ทันก็ไม่ไปแล้ว บรรดาเพื่อนเก่าๆก็ทยอยไปถึงร้านและก็โทรตาม พร้อมทั้งแนะนำให้ทิ้งรถไว้แล้วนั่งแท็กซี่ไปที่หมายก่อน... กว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องรถเพื่อนๆก็อิ่มสำราญกันไปแล้ว แต่โชคยังดีที่การสนทนาเพิ่งเริ่มต้นออกรสออกชาติ แน่นอนการพูดคุยในครั้งนั้นเหมือนเป็นการเปิดบันทึกวันเวลาเก่าและวีรกรรมแก่นๆที่ได้กระทำร่วมกัน แต่ละคนก็มีมุมแสบๆคันๆของตัวเองมาถ่ายทอดและเปิดเผย บางทีเรื่องราวในอดีตก็อาจจะตักเตือนเราในปัจจุบันได้เช่นกัน ..จวบจนถึงเวลาเลิกรา ยังได้มีการนัดหมายเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัดร่วมกันอีกสักครั้ง โดยมีข้อแม้ว่าให้แต่ละคนนำครอบครัวไปด้วย .. แต่ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ยังดูเลือนลาง
สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป หาใช่เปล่าประโยชน์ ความเป็นเพื่อน การที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน บัดนี้มันกลายเป็นความห่วงใยซึ่งกันและกัน ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ห่างหายกันไป ไปเรียนรู้ในส่วนของตน ไปแสวงหาความหมายของชีวิต วันนี้ทุกคนเติบโตขึ้น มีหน้าที่การงาน แต่ในด้านหนึ่งเรามีแง่มุมชีวิตที่คล้ายๆกัน คือ เป้าหมายชีวิต ความสุขในชีวิต ต้องยึดมั่นอยู่บนความเชื่อ ความศรัทธาในพระคริสต์ หลายคนถึงกลับเปลี่ยนไปเข้าถึงความรักของพระได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน เพราะความบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสในชีวิตจนแทบไม่เห็นทางออก แต่เมื่อกลับมาพึ่งพาพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีๆ มีบ้างบางคนหมดศรัทธาแต่เพื่อนๆก็ตักเตือนว่าอย่าหมดความเชื่อในพระก็แล้วกัน
ความรักความห่วงใยที่ส่งผ่านให้กันมันหาใช่ว่าจะผ่านเลยไปอย่างไร้ผล ความรักความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ความรักต่อคนในครอบครัว รักต่อสมาชิกในสังกัด เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังที่ได้สร้างคน สร้างสรรค์ให้โลกนี้ได้ดำเนินมาอย่างมีคุณภาพ เพราะความมีอคติ เพราะความยึดมั่นถือเก่งหรือเปล่า เพราะการพลัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า เพราะเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความดื้อร้นหรือเปล่า ที่ปิดกั้นความรักและความอาทรของเราที่ควรจะมีต่อกัน การพบเจอพูดคุยอาจจะผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มิตรภาพและความรักควรมีให้กันตลอดไป เพราะโลกนี้อยู่ได้ด้วยพลังแห่งรัก....
การสอบของเด็กๆ คงจะเสร็จสิ้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และคงได้มีเวลาปิดภาคเรียนจวบจนถึงต้นๆเดือนพฤศจิกายน เห็นเด็กๆหลายคนเหนื่อยล้าจากการไปโรงเรียน ที่เหนื่อยล้าคงมาจากการที่ต้องตื่นเช้า เดินทางมาโรงเรียน ตอนอยู่โรงเรียนนั้นไม่เท่าไหร่ เด็กบางคนกินนอนและเติบโตในระหว่างทางมาโรงเรียน ก็เป็นปัญหาที่ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆต้องปรับตัว เห็นแล้วก็น่าสงสารเสียจริงๆ
พูดถึงการสอบแล้ว ใช่หรือไม่...เราทุกคนล้วนแต่ผ่านการสอบมาด้วยกันทั้งนั้น (ยกเว้นเรื่องสอบสวนอาจจะมีบางคนที่มีประสบการณ์) การทำข้อสอบของเด็กไทย คนไทยเกือบทุกคนมักจะชอบข้อสอบที่ให้มีตัวเลือก เป็นแบบปรนัยที่ต้องกากบาทข้อใดข้อหนึ่ง และข้อไหนที่มีตัวเลือกว่า “ถูกทุกข้อ” ก็มักจะเป็นที่หมายปอง จ้องจะกากบาททั้งนั้น เพราะในบางเรื่องมันมีเหตุผลและความถูกต้องมากกว่าหนึ่งข้อ นี่เป็นข้อสันนิษฐานประการแรกของผู้ที่ทำข้อสอบ ประการต่อมา เป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดมากยิ่งตอนที่จำไม่ได้และต้องคาดเดา ข้อที่ว่า “ถูกทุกข้อ” จึงมีความน่าจะเป็นมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็ถูกหลอกให้เลือก เป็นตัวเลือกลวงๆ และด้วยข้อสอบลักษณะนี้เองที่มีหลายฝ่ายออกมาติติงว่าทำให้เด็กไทยวิเคราะห์ไม่เป็น ท่องจำอย่างเดียว เพื่อทำข้อสอบให้ได้คะแนน แต่ก็อีกเหตุผลหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะระบบการศึกษาของเราที่เน้นจำนวนเด็กในแต่ละห้องให้มากๆเข้าไว้ (ชอบเน้นที่จำนวนไม่ได้เน้นคุณภาพ) ใช่หรือไม่ เวลาตรวจข้อสอบคุณครูที่มีเวลาน้อยนิดอยู่แล้ว จะมาเสียเวลานั่งอ่านคำตอบแบบอัตนัยและให้คะแนนทีละคนทีละความคิดเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นแบบกากบาทจึงเหมาะกับบริบทการศึกษาไทยอย่างมาก จากตรงนี้เองได้ส่งผลกระทบต่อๆกันมาเป็นห่วงโซ่แห่งการศึกษาแบบไทยๆ เด็กโตขึ้นก็เลยวิเคราะห์ไม่เป็น แต่เป็นประเภทช่างจดช่างจำ ช่างนินทา และชอบโอ้อวดความจำที่เก่งกาจจนขาดจิตสำนึกในเรื่องของส่วนรวม มีผลทำให้เด็กไทยอ่อนแอลงเรื่อยๆ และไม่สามารถกำหนดเป้าหมายแสวงหาความหมายชีวิตที่แท้จริงได้...
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง กำลังสิงสถิตอยู่ในเด็กเยาวชนคนไทย ที่ได้ชื่อว่าปัญญาชน แต่จนปัญญา มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ที่เป็นวิทยากรบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆในหัวเรื่อง การค้นหาเป้าหมายในชีวิต คุณพี่วิทยากรได้บ่นว่าสมัยนี้เด็กเรียนในมหาวิทยาลัย และเลือกเรียนตามคณะที่ได้สอบเข้ามา แต่พอถามว่าแล้วเป้าหมายที่ได้เลือกเรียนคณะนี้เพราะอะไร นักศึกษาเหล่านั้นกลับไม่มีคำตอบ แถมทำหน้างงๆ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะบรรยายต่อได้ ต้องเริ่มต้นกระบวนการสอนให้วิเคราะห์ถึงสิ่งที่ตัวเอง ชอบ เป็น อยู่ คือ เพื่ออะไร และจะได้รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตที่แท้จริงคืออะไร เป็นเรื่องที่หนักและสาหัสเอาการสำหรับอนาคตของชาติเวลานี้ เพราะเมื่อพวกเขาโตไปแล้ว คงไม่มีอะไรที่ง่ายเหมือนกับการเลือกคำตอบว่า “ถูกทุกข้อ”
ยิ่งเมื่อได้อ่านจากข่าวเล็กๆข่าวหนึ่ง ที่พาดหัวข่าวว่า วิกฤตเด็กไทยจิตสำนึกป่วยหนัก “3 ต.ค. 54 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการระดับชาติเรื่อง “พลังบวกเพื่อเด็ก: จุดเปลี่ยนการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย” ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส. กล่าวว่า แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส.ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้สำรวจต้นทุนชีวิตของเด็กไทยทั่วประเทศ เมื่อปี 2553 จำนวน 12,200 คน พบปัจจัยที่ทำให้เยาวชนไทยอ่อนแอ 10 ลำดับแรกที่น่าเป็นห่วง คือ 1. รู้เท่าทันสื่อ 53% 2. จิตสำนึกของชุมชนในการอยู่ร่วมกัน 55% 3. จิตอาสา 56 % 4. ความกล้าแสดงออก 58% 5. ใฝ่เรียนรู้ 59% 6. ใฝ่รู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรมท้องถิ่น 61% 7. ควบคุมอารมณ์ตนเอง 61% 8.หลักธรรมศาสนาสู่วิถีชีวิต 62% 9. รักการอ่านหนังสือ 63% และ 10. โอกาสเข้าร่วมกิจกรรม 65% ซึ่งจากผลสำรวจ พบว่า เด็กภาคอีสานและภาคใต้มีต้นทุนชีวิตอยู่ในระดับสูงกว่าภาคอื่นๆ ในขณะที่ภาคกลางอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือได้ว่าอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กไทย เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดน และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซีย” (หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก)
เด็กไทยเราไวต่อเทคโนโลยี เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เพราะเครื่องมันสังเคราะห์ให้เรียบร้อยแล้ว ชอบอะไรที่ง่ายๆเร็วๆ ชอบอะไรที่เป็นสิ่งสำเร็จรูป สังเกตง่ายๆเวลาขึ้นรถสาธารณะ ขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน เด็กๆจะก้มหน้าก้มตากดๆๆๆๆๆ เครื่องโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ หูเสียบหูฟัง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะกำลังแชทกับเพื่อนๆโดยมิสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วในยุคที่เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกนานาชนิด เด็กไทยอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กับคน แม้แต่ในขณะไปเรียน เวลาส่วนใหญ่คืออยู่ระหว่างทาง ก็มีเครื่องเหล่านี้เป็นโลกส่วนตัวให้นั่งกดนั่งเล่น แล้วเราในฐานะผู้ปกครองเราจะปล่อยให้เด็กๆกลายเป็นเด็กสำเร็จรูปหรือเปล่า เราจะปล่อยให้พวกเขาเติบโตแบบไร้จุดหมายหรือเปล่า ให้เวลา พูดคุย ตั้งคำถาม ตอบคำถาม และร่วมเรียนเทคโนโลยีไปพร้อมกับพวกเขาด้วยความใส่ใจ ปิดเทอมนี้เราจะมีเวลาอยู่กับเด็กสักกี่วัน...คนที่เลือกตอบถูกทุกข้อนั้นมีมาก แต่คนที่ตอบถูกและรู้จริงๆนะมีน้อยลงในสังคมไทย...
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20