ในวันที่เสียสมดุล
ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งเป็นสัจธรรมที่คงอยู่คู่โลก แม้ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ผู้คนจะล้มหายตายจากไปแล้วไม้รู้กี่รุ่นต่อกี่ล้านรุ่น... ทุกชีวิตย่อมต้องผ่านพบกับความไม่เที่ยง ใครจะไปคิดล่ะ อยู่ดีๆร่างกายที่คิดว่าแข็งแรงสมบูรณ์กลับต้องมานอนซมอยู่บนเตียงเป็นคนป่วยในโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกของชีวิตในรอบสี่สิบกว่าปีที่ต้องมานอนอยู่ในโรงหมอ ร่างกายที่คิดว่าสามารถจะควบคุมมันได้ อยู่ๆก็เกิดผิดเพี้ยนเสียสมดุล ลุกขึ้นโลกรอบตัวก็หมุนรอบเป็นวงกลมจนเวียนหัว ผนังห้อง เพดาน ยิ่งทียิ่งหมุนเร็วและแรง หลับตาก็แล้ว พอพยายามลุกขึ้นเพื่อหมายจะเอาชนะต่ออาการมึนแต่กลับหัวทิ่มลงอย่างไม่เป็นท่า ประคองลองใหม่ร่างกายก็เอียงไปข้างหนึ่งอย่างเสียศูนย์ ยิ่งต่อสู้ไม่ยอมแพ้พ่ายแต่ก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง ที่สุด...ก็ยอมจำนนจำยอมน้อมรับกับความไม่เที่ยง เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างคนหมดสภาพ นั่งรถเข็น นอนบนเตียงที่มีคนพาไปโดยไม่สามารถจะลืมตามองสิ่งรอบข้างได้เลย หมดท่าหมดเก่ง ใครเลยจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง โลกมีไว้ให้เราพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บป่วยก็ต้องพึ่งหมอ เมื่อมาถึงมือหมอจากจุดที่วิกฤตก็เริ่มมีอาการดีขึ้น ทั้งจากน้ำเกลือ วิตามินและยาที่ได้รับ แรกๆเวลาลุกเดิน ร่างกายก็ยังไม่ค่อยได้สมดุล
การพักผ่อนนอนให้หลับคือการรักษา คุณหมอบอกให้นอนนิ่งๆจะลุกจะเดินต้องค่อยๆทำอย่ารีบร้อน ใช่หรือไม่... การปรับสมดุลก็คือการค่อยๆทำ เพื่อที่จะสังเกตว่าด้านไหนหนักกว่ากัน แล้วพยายามทำอีกให้ด้านหนึ่งเท่ากัน ทำให้อดคิดถึงการดำเนินชีวิตนี้ไม่ได้ เราล้วนมีทั้งด้านดีและด้านเลวคงอยู่คู่กับเราทุกคน การขาดสมดุลไปเพราะมีด้านชั่วมากกว่า (บางคนอาจจะคิดขึ้นมาได้ว่า งั้น ...ถ้ามีด้านดีเกินก็เสียสมดุลล่ะซิ หามิได้ เมื่อเรามีด้านดีมาก สิ่งดีของเราจะไหลไปต่อเติมให้กับผู้อื่น เพื่อให้โลกได้ปรับสมดุลกันและกัน) และที่แปลก...อยู่ตรงที่การทำชั่วทำไมมันทำง่ายกว่าทำความดี น่าคิดไหมว่าในชีวิตที่ผ่านมาเราทำความดีเท่าครึ่งหนึ่งของความชั่วหรือไม่ ทำไมความชั่วเราทำได้เร็วแต่ความดีจะทำได้ทั้งทีต้องคิดแล้วคิดอีก นี่ใช่หรือไม่...เป็นการเสียสมดุลทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งของผู้คน
ยิ่งเมื่อกลับมาดูสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน เป็นสังคมที่กำลังเสียสมดุลจนกำลังจะเสียศูนย์อยู่มะรอมมะร่อ ไม่ว่าผลสำรวจจะออกมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะโพลล์ไหนๆโผล่ออกมาทีไร มีผลลัพธ์ที่น่าตกใจมิใช่น้อย มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าการคดโกงสามารถทำได้ หากว่าสิ่งนั้นมันยังประโยชน์ให้กับผม กับฉัน กับหนูบ้าง คนโกงนิดๆหน่อยๆได้ ถ้าหากทำให้มีการกินดีอยู่ดี (แต่คนคดโกงเท่านั้นที่กินดีอยู่ดี) ทำให้รู้สึกว่าสังคมเราเอียงข้างไปและที่น่าหวาดหวั่น ไม่วันใดวันหนึ่งมันจะล้มลงไม่เป็นท่า และอาจถึงขั้นหมดหนทางรักษา...
วันนี้เราใช้มาตรฐานทางเศรษฐกิจมาประเมินความถูกความผิด ชั่ว – ดี – ถี่ - ห่างกัน ผู้คนกำลังสับสนจนแยกแยะไม่ออก ระหว่างคนดีกับคนมีอันจะกิน ใครมีเงินเยอะก็ยกย่อง โดยมิได้รู้ว่าเงินเหล่านั้นได้มาจากไหน แน่นอนเราควรยกย่องคนที่ทำมาหากินสุจริตจนมีเงินงอกเงยออกมา เรามิอาจจะปฏิเสธได้ กับคนที่ขยันขันแข็ง แต่วันนี้เราแข่งขันเนื่องเพราะถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมการใช้เงินทองนำหน้าหาความสุขความสำเร็จ ไม่ค่อยมีใครใช้ความสุขเพื่อไปหาเงินทอง เห็นแต่หามาเพื่อบริโภคทางร่างกายแต่ไม่เคยบริภาษทางจิตวิญญาณ และถามจริงๆโดยมิได้มีจริตในการตอบว่า “ในวันนี้เราคิดถึงเงิน การได้มาซึ่งทรัพย์สินก่อนสิ่งใดๆใช่หรือไม่ ...เราทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น”
บทเรียนจากการที่คนส่วนใหญ่ใช้เงินเป็นค่ามาตรฐานในทุกเรื่องของชีวิต จากสังคมอเมริกาและยุโรป วันนี้เป็นอย่างไร เมื่อต่างคนต่างมุ่งหวังที่จะมีมากมาย สะสมกันจนมีเงินทองกันก่ายกอง แต่ไม่ยอมแม้กระทั่งเสียภาษี หรือบริจาคเพื่อช่วยให้ประเทศเกิดสมดุล บรรดาเศรษฐีอเมริกันเสียภาษีน้อยกว่าพนักงานขายของ ไม่นำเงินออกมาเพื่อให้สร้างสันติสุข ทำทุกสิ่งทุกอย่างต้องเอาเงินนำหน้า ไม่มีก็ไปกู้สะสมยอดไว้จนวันหนึ่งฐานเล็กลง แต่ข้างบนบานปลาย ย่อมต้องทรุดต้องล้มเป็นธรรมดา โลกเชื่อมกันทุกระบบ ที่หนึ่งเสียสมดุลในทุกๆที่ย่อมเสียศูนย์ สูญเสียตามกันไปด้วย..
ถึงแม้ว่ามีคนกล้าคิดแก้ปัญหาด้วยระบบยืมเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ใช้กันไปใช้กันมาเพื่อเสพสุขแบบจอมปลอม วันหนึ่งความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้น อเมริกาซบเซายุโรปทรุด มีผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก วันนี้โลกกำลังเป็นโรคร้ายที่กำลังระบาดกัดกินให้โลกนี้ทรุดลงไปอย่างน่าหวาดหวั่น การใช้เงินนำหน้ามิได้หมายความว่าจะได้มาในทุกสิ่งที่ต้องการ โลกกำลังเอียงไร้ซึ่งสมดุล
เงินเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิต หาใช่เป้าหมายหลัก เราต้องรู้จักใช้เงินเพื่อไปสู่ยังเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เปลี่ยนเงินให้เป็นความรักและความเมตตา เปลี่ยนกองทุนให้เป็นกองบุญ อย่าใช้ร่างกายเพื่อหาเงิน หาสิ่งภายนอกเพื่อสะสมมากเกินความจำเป็น เงินทองเป็นเพียงสิ่งประกอบให้เราได้รู้จักอาณาจักรสวรรค์ พระเจ้าทรงสร้างสมดุลไว้ในโลกเสมอ เพียงแต่เป็นเราเองที่จะต้องรู้จักปรับสมดุลอย่างไรต่างหาก ร่างกายอ่อนแอมาจากจิตใจที่อ่อนล้า มาจากจิตวิญญาณที่อ่อนไหว หน้าที่หลักของเราในการดูแลอาณาจักรสวรรค์ที่ดีที่สุด คือ รักษาสุขภาพ ดูแลสภาพจิตใจ และสร้างภูมิต้านทานให้กับจิตวิญญาณ.... (บันทึกบนเตียงคนป่วย ห้อง..1625)