วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ในวันที่เสียสมดุล


ในวันที่เสียสมดุล
ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งเป็นสัจธรรมที่คงอยู่คู่โลก แม้ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ผู้คนจะล้มหายตายจากไปแล้วไม้รู้กี่รุ่นต่อกี่ล้านรุ่น... ทุกชีวิตย่อมต้องผ่านพบกับความไม่เที่ยง ใครจะไปคิดล่ะ อยู่ดีๆร่างกายที่คิดว่าแข็งแรงสมบูรณ์กลับต้องมานอนซมอยู่บนเตียงเป็นคนป่วยในโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกของชีวิตในรอบสี่สิบกว่าปีที่ต้องมานอนอยู่ในโรงหมอ ร่างกายที่คิดว่าสามารถจะควบคุมมันได้ อยู่ๆก็เกิดผิดเพี้ยนเสียสมดุล ลุกขึ้นโลกรอบตัวก็หมุนรอบเป็นวงกลมจนเวียนหัว ผนังห้อง เพดาน ยิ่งทียิ่งหมุนเร็วและแรง หลับตาก็แล้ว พอพยายามลุกขึ้นเพื่อหมายจะเอาชนะต่ออาการมึนแต่กลับหัวทิ่มลงอย่างไม่เป็นท่า ประคองลองใหม่ร่างกายก็เอียงไปข้างหนึ่งอย่างเสียศูนย์ ยิ่งต่อสู้ไม่ยอมแพ้พ่ายแต่ก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง ที่สุด...ก็ยอมจำนนจำยอมน้อมรับกับความไม่เที่ยง เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างคนหมดสภาพ นั่งรถเข็น นอนบนเตียงที่มีคนพาไปโดยไม่สามารถจะลืมตามองสิ่งรอบข้างได้เลย หมดท่าหมดเก่ง ใครเลยจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง โลกมีไว้ให้เราพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บป่วยก็ต้องพึ่งหมอ เมื่อมาถึงมือหมอจากจุดที่วิกฤตก็เริ่มมีอาการดีขึ้น ทั้งจากน้ำเกลือ วิตามินและยาที่ได้รับ แรกๆเวลาลุกเดิน ร่างกายก็ยังไม่ค่อยได้สมดุล

การพักผ่อนนอนให้หลับคือการรักษา คุณหมอบอกให้นอนนิ่งๆจะลุกจะเดินต้องค่อยๆทำอย่ารีบร้อน ใช่หรือไม่... การปรับสมดุลก็คือการค่อยๆทำ เพื่อที่จะสังเกตว่าด้านไหนหนักกว่ากัน แล้วพยายามทำอีกให้ด้านหนึ่งเท่ากัน ทำให้อดคิดถึงการดำเนินชีวิตนี้ไม่ได้ เราล้วนมีทั้งด้านดีและด้านเลวคงอยู่คู่กับเราทุกคน การขาดสมดุลไปเพราะมีด้านชั่วมากกว่า (บางคนอาจจะคิดขึ้นมาได้ว่า งั้น ...ถ้ามีด้านดีเกินก็เสียสมดุลล่ะซิ หามิได้ เมื่อเรามีด้านดีมาก สิ่งดีของเราจะไหลไปต่อเติมให้กับผู้อื่น เพื่อให้โลกได้ปรับสมดุลกันและกัน) และที่แปลก...อยู่ตรงที่การทำชั่วทำไมมันทำง่ายกว่าทำความดี น่าคิดไหมว่าในชีวิตที่ผ่านมาเราทำความดีเท่าครึ่งหนึ่งของความชั่วหรือไม่ ทำไมความชั่วเราทำได้เร็วแต่ความดีจะทำได้ทั้งทีต้องคิดแล้วคิดอีก นี่ใช่หรือไม่...เป็นการเสียสมดุลทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งของผู้คน
ยิ่งเมื่อกลับมาดูสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน เป็นสังคมที่กำลังเสียสมดุลจนกำลังจะเสียศูนย์อยู่มะรอมมะร่อ ไม่ว่าผลสำรวจจะออกมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะโพลล์ไหนๆโผล่ออกมาทีไร มีผลลัพธ์ที่น่าตกใจมิใช่น้อย มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าการคดโกงสามารถทำได้ หากว่าสิ่งนั้นมันยังประโยชน์ให้กับผม กับฉัน กับหนูบ้าง คนโกงนิดๆหน่อยๆได้ ถ้าหากทำให้มีการกินดีอยู่ดี (แต่คนคดโกงเท่านั้นที่กินดีอยู่ดี) ทำให้รู้สึกว่าสังคมเราเอียงข้างไปและที่น่าหวาดหวั่น ไม่วันใดวันหนึ่งมันจะล้มลงไม่เป็นท่า และอาจถึงขั้นหมดหนทางรักษา...
วันนี้เราใช้มาตรฐานทางเศรษฐกิจมาประเมินความถูกความผิด ชั่ว ดี ถี่ - ห่างกัน ผู้คนกำลังสับสนจนแยกแยะไม่ออก ระหว่างคนดีกับคนมีอันจะกิน ใครมีเงินเยอะก็ยกย่อง โดยมิได้รู้ว่าเงินเหล่านั้นได้มาจากไหน แน่นอนเราควรยกย่องคนที่ทำมาหากินสุจริตจนมีเงินงอกเงยออกมา เรามิอาจจะปฏิเสธได้ กับคนที่ขยันขันแข็ง แต่วันนี้เราแข่งขันเนื่องเพราะถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมการใช้เงินทองนำหน้าหาความสุขความสำเร็จ ไม่ค่อยมีใครใช้ความสุขเพื่อไปหาเงินทอง เห็นแต่หามาเพื่อบริโภคทางร่างกายแต่ไม่เคยบริภาษทางจิตวิญญาณ และถามจริงๆโดยมิได้มีจริตในการตอบว่า ในวันนี้เราคิดถึงเงิน การได้มาซึ่งทรัพย์สินก่อนสิ่งใดๆใช่หรือไม่ ...เราทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น
บทเรียนจากการที่คนส่วนใหญ่ใช้เงินเป็นค่ามาตรฐานในทุกเรื่องของชีวิต จากสังคมอเมริกาและยุโรป วันนี้เป็นอย่างไร เมื่อต่างคนต่างมุ่งหวังที่จะมีมากมาย สะสมกันจนมีเงินทองกันก่ายกอง แต่ไม่ยอมแม้กระทั่งเสียภาษี หรือบริจาคเพื่อช่วยให้ประเทศเกิดสมดุล บรรดาเศรษฐีอเมริกันเสียภาษีน้อยกว่าพนักงานขายของ ไม่นำเงินออกมาเพื่อให้สร้างสันติสุข ทำทุกสิ่งทุกอย่างต้องเอาเงินนำหน้า ไม่มีก็ไปกู้สะสมยอดไว้จนวันหนึ่งฐานเล็กลง แต่ข้างบนบานปลาย ย่อมต้องทรุดต้องล้มเป็นธรรมดา โลกเชื่อมกันทุกระบบ ที่หนึ่งเสียสมดุลในทุกๆที่ย่อมเสียศูนย์ สูญเสียตามกันไปด้วย..
ถึงแม้ว่ามีคนกล้าคิดแก้ปัญหาด้วยระบบยืมเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ใช้กันไปใช้กันมาเพื่อเสพสุขแบบจอมปลอม วันหนึ่งความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้น อเมริกาซบเซายุโรปทรุด มีผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก วันนี้โลกกำลังเป็นโรคร้ายที่กำลังระบาดกัดกินให้โลกนี้ทรุดลงไปอย่างน่าหวาดหวั่น การใช้เงินนำหน้ามิได้หมายความว่าจะได้มาในทุกสิ่งที่ต้องการ โลกกำลังเอียงไร้ซึ่งสมดุล
เงินเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิต หาใช่เป้าหมายหลัก เราต้องรู้จักใช้เงินเพื่อไปสู่ยังเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เปลี่ยนเงินให้เป็นความรักและความเมตตา เปลี่ยนกองทุนให้เป็นกองบุญ อย่าใช้ร่างกายเพื่อหาเงิน หาสิ่งภายนอกเพื่อสะสมมากเกินความจำเป็น เงินทองเป็นเพียงสิ่งประกอบให้เราได้รู้จักอาณาจักรสวรรค์ พระเจ้าทรงสร้างสมดุลไว้ในโลกเสมอ เพียงแต่เป็นเราเองที่จะต้องรู้จักปรับสมดุลอย่างไรต่างหาก ร่างกายอ่อนแอมาจากจิตใจที่อ่อนล้า มาจากจิตวิญญาณที่อ่อนไหว หน้าที่หลักของเราในการดูแลอาณาจักรสวรรค์ที่ดีที่สุด คือ รักษาสุขภาพ ดูแลสภาพจิตใจ และสร้างภูมิต้านทานให้กับจิตวิญญาณ.... (บันทึกบนเตียงคนป่วย ห้อง..1625)

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ฤดูกาลน้ำ (ใจ) หลาก


ฤดูกาลน้ำ (ใจ) หลาก
สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้มาเร็วกว่าทุกปี โดยปกติน้ำจะมาก ฝนจะหลากอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนมรสุม แต่ปีนี้ฝนเทลงมา พายุ มรสุม โถมเข้าใส่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ทำให้มีปริมาณน้ำมาก จนกระทั่งเขื่อนต่างๆก็มิอาจจะเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ ต้องปล่อยออกมา ชนิดที่ว่ามาเท่าไหร่ก็ปล่อยไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขื่อนก็จะพัง ปัญหาคนกับน้ำนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะทิศทางน้ำทิศทางฝนเกิดการเปลี่ยนแปลง สำหรับคนริมน้ำย่อมมีวิธีรับรู้ และรู้จักที่จะรับมือกับน้ำ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ สังเกตจากการอพยพของพวกมดดำ ที่จะขึ้นจากใต้ดินและไต่ไปตามเสาบ้านไปหาที่ทำรังสูงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้คนริมน้ำก็ต้องเริ่มขนย้ายทรัพย์สินขึ้นไปไว้ที่สูง อพยพสัตว์เลี้ยงไปที่ที่ปลอดภัย เตรียมเรือ เตรียมอุปกรณ์จับปลาหาปลา ..
แต่วันนี้ผู้คนทิ้งขว้างและถอยห่างจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ไปนำเอาวิทยาการที่ก้าวล้ำและใช้กันแบบไม่มีการประยุกต์ เราจึงตกหลุมพรางแห่งการอวดรู้ อวดฉลาด คิดแต่จะเอาชนะธรรมชาติโดยมิได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ เราจึงเห็นคนสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ริมน้ำเป็นจำนวนมาก ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่รู้จักรับมือกับน้ำอย่างไร!!! เพราะเพียงคิดว่าปลูกบ้านริมน้ำไว้เป็นสถานที่พักผ่อนยามวันว่าง มีบ้านสวยตามภูเขาเพื่อเป็นสถานที่ตากอากาศ แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาก็ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป...
ยามยืนอยู่ริมเจ้าพระยา ภาพร่องน้ำลึกยามเมื่อฤดูแล้ง ที่ต้องเดินจากตลิ่งลงไปเพื่อได้สัมผัสกับผิวน้ำใส แต่วันนี้น้ำได้มาเยือนถึงขอบฝั่ง เอ่อล้นปริ่มเปี่ยม พร้อมที่จะทะลักทะลุทะลวง จากน้ำที่ใสๆไหลเอื่อยๆ บัดนี้มีแต่ความแรง ไหลเชี่ยวดูเกรี้ยวกราด ไหลแรงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากลำน้ำที่สามารถเดินข้ามฝากฝั่ง วันนี้ฝั่งตรงข้ามช่างดูห่างไกลกันเหลือเกิน และถูกกั้นกลางด้วยความบ้าคลั่งแห่งสายน้ำกว้างใหญ่
แม้ว่าฝากฝั่งขอบถนนกั้นน้ำที่ยืนอยู่ น้ำยังไม่ได้ล้นไหลเข้าท่วม แต่บ้านก็จมอยู่ในน้ำที่สูงระดับเข่าคน เพราะฝนที่ตกหนักลงมาท่วมขัง และน้ำที่ซึมผ่านเข้ามาจากท่อน้ำทิ้งตามถนนริมน้ำนั่นเอง เพียงเท่านี้ผู้คนริมน้ำก็มิอาจจะสัญจรไปไหนมาไหนได้สะดวกเหมือนอย่างเคย คนส่วนหนึ่งจึงออกมาปลูกเพิงพัก ตั้งเต้นท์ตามริมถนน ใช้เป็นที่พักที่อาศัยชั่วคราว จากที่เคยอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน เมื่อต้องมารวมกันอยู่อย่างนี้ วันว่างที่มีมากขึ้น ทำให้ได้คุยกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น มีการร่วมแรงแบ่งปันกันกินกันใช้มากขึ้น สนุกสนานในการร่วมกันจับปลามาทำอาหารแบ่งกันกิน เด็กๆดูจะร่าเริงที่ได้หยุดเรียน พายเรือเล่นน้ำได้ทั้งวัน บางทีธรรมชาติก็ต้องการสอนให้คนเสียสละน้ำใจในฤดูกาลน้ำหลากน้ำท่วมอย่างนี้นี่เอง..
เช่นกันในวันที่ประเทศไทยจมอยู่ใต้น้ำครึ่งค่อนประเทศเช่นนี้ คนไทยก็มิเคยทิ้งกัน ยามเมื่อภัยมาเราก็หันมาร่วมแรงร่วมใจแบ่งปันน้ำใจให้กันและกันโดยมิได้เกี่ยงงอน อีกทั้งสวดภาวนาเพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ที่ต้องทุกข์ทนกับภาวะน้ำท่วมขัง ได้บรรเทาใจลง ใช่หรือไม่... คนไทยยังมีน้ำใจล้นหลั่งเสมอ แม้ว่า...เมื่อทุกอย่างคืนสู่สภาพปกติ เราก็จะกลับไปสู่ภาวะตัวใครตัวมัน ลงสู่สนามแข่งขัน ขับเคี่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญแห่งความสำเร็จ การที่น้ำท่วมทุกปี และมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นฤดูกาลที่จะให้เรามีสำนึกจากการขาดหายซึ่งความมีน้ำใจ ความเอื้ออารีต่อกัน หรือว่าเราไร้แล้งน้ำใจกันมาก จึงต้องชดเชยให้กันและกันด้วยภัยธรรมชาติที่มีมากขึ้น ...
โลกเราอยู่ด้วยกันได้ด้วยอำนาจแห่งการเสียสละ การให้ความช่วยเหลือกัน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการให้เผื่อแผ่กันชีวิตจะมีความหมายอะไร มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน จะอยู่ใกล้อยู่ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่น้ำใจที่มีต่อกัน ถ้ามีน้ำใจแล้ว ต่างคนต่างเสียสละกันอย่างในฤดูกาลน้ำหลากเช่นนี้ เราจะได้มีคุณค่า ได้เห็นคุณค่าของกันและกัน ความร่มเย็นเป็นสุขก็บังเกิดขึ้นมนุษย์นั้นมีน้ำใจต่อกันได้มากยิ่งกว่าสัตว์ใดๆในโลกหล้า หรือว่าวันนี้เราจะทำให้ความประเสริฐนี้ด้อยกว่ามดดำเล็กๆที่ช่วยกันขนของหนีน้ำล่ะ...
http://www.facebook.com/photo.php?v=249384448439283
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

บางครั้งบางคำบางคน

บางครั้งบางคำบางคน
ปีนี้น้ำมากจริงๆ สงสัยที่บ้านเกิดริมเจ้าพระยาคงจะไม่รอด ท่วมแน่ๆ แม้ว่าจะมีความพยายามต่อสู้ด้วยการนำทรายมาใส่กระสอบเอาไปวางไว้บนถนนเพื่อกั้นน้ำไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ก็มิอาจจะรับมือกับระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆได้ ณ เวลานี้น้ำได้ท่วมไปแล้วค่อนประเทศ แม้ว่าหลายคนพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะป้องกัน แต่อย่างไรเสียเราก็มิอาจจะคาดคะเนความมาก-น้อย ของน้ำในแต่ละปีได้เลย นอกเสียจากว่าจะเตรียมรับมือและอยู่กับมันอย่างไรในภาวะน้ำท่วม คนริมน้ำย่อมเข้าใจถึงความเป็นจริงในข้อนี้ได้ดี แน่ล่ะความเดือดร้อนย่อมมี ความทุกข์ย่อมมากับสายน้ำ แต่ชีวิตมนุษย์มิอาจที่จะหลีกหนีน้ำได้ เฉกเช่นเดียวกัน...คนก็ย่อมมิอาจจะหลีกเลี่ยงการพบปะ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนด้วยกันได้ ทั้งๆที่หลายครั้งในความสัมพันธ์นั้นนำมาซึ่งความปวดร้าวและทุกข์ทรมานใจ แต่เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้...
ก็มีสักครั้งในชีวิตนี้ที่อยู่ๆความรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำลงไป วนเวียนเข้ามาในห้วงสำนึก หากย้อนเวลากลับไปได้ เราคงจะไม่ทำสิ่งนั้นลงไป หากชีวิตมีแป้นเพื่อUndo(ยกเลิก) เราคงกดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เรื่องที่พบเจอกันอยู่บ่อยๆ นั่นคือคำพูดที่หลุดออกจากปาก บางครั้งมันกลายเป็นดาบ เป็นหนามแหลมที่ทิ่มแทงใส่ผู้อื่น ในขณะที่เราคิดว่าคำที่พูดไปนั้นเต็มด้วยเจตนาที่ดี หรือพูดไปเพื่อชี้แจงแถลงเหตุผล แต่เป็นด้วยลีลาของคำพูดนั้นอาจจะไม่ตรงกับจริตของคนฟังคนรับสาร จึงเกิดการตีความหมายที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และแน่นอนสิ่งที่ใคร.. ลองได้คิดก่อนไปแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะรับสิ่งใหม่ที่ได้รับการชี้แจงในภายหลัง ลองได้เข้าใจผิด ย่อมมิอาจจะรับฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เหตุผลนั้นจะกลายเป็นข้อแก้ตัว ข้ออ้างไปในทันที หลายครั้งหลายหนเราก็มักเจอกับสิ่งเหล่านี้ในระหว่างทางแห่งการอยู่ร่วมกัน..
แน่นอน..ก็ในเมื่อคนเรามีพื้นฐานในชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีอะไรก็ต้องพูดกันตรงๆ ย่อมเป็นคนแบบขวานผ่าซาก บางคนเกิดมาในสภาพที่หลีกเลี่ยงการปะทะทุกรูปแบบ ย่อมเป็นคนอ่อนโยน บางคนเกิดมาภายใต้คำพูดที่อ่อนหวานรื่นหู แต่บางคนเกิดมาอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยคำพูดที่หยาบกร้าน ปลูกฝังจนกลายเป็นจริตติดตัว และแล้ววันหนึ่ง เวลาหนึ่ง เมื่อต้องออกไปอยู่ในที่ที่มีสภาพต่างไปจากเดิม บางครั้งบางคนทนรับไม่ได้กับสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดที่กระทบกระแทกใส่กัน จนรู้สึกสะเทือนใจ มีบ้างบางคนรู้สึกคันหู เมื่อต้องไปอยู่กับคนที่พูดจาประชดประชันประจบสอพลอตลอดเวลา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ กาลเทศะ และการน้อมรับในความแตกต่าง นี่เป็นเรื่องยากยิ่งในสังคมที่เหมือนถูกผีความเห็นแก่ตัวสิงอยู่ เรามักไม่ยอมกัน อะไรขัดหูอะไรขัดใจเป็นได้เรื่อง ก็เกิดการทะเลาะขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นโกรธเคืองกัน ไม่มองหน้าจ้องตากันเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นบาดแผลที่แฝงฝังไว้ในใจตลอดกาล
ในฐานะคนต้นสารคนต้นเรื่อง ก็ต้องคิดก่อนพูดอยู่เสมอ และต้องใส่ใจเขาคนที่ฟังว่าจะคิดเป็นอื่นไปหรือไม่ ฟังแล้วจะเหมือนถูกต่อว่า ถึงขั้นเป็นการด่าทอ อย่าได้นำมาตรฐานส่วนตัวไปใช้กับผู้อื่น สิ่งที่เราพูดเราย่อมคิดว่าถูกต้องเสมอ แต่สิ่งนี้อาจจะไม่ถูกใจ อาจจะกลายเป็นเจตนาร้ายไปในที่สุด และนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน ใช่หรือไม่รอยร้าวแห่งมิตรภาพก็เกิดจากสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อนเตือนเพื่อนกลายเป็นเพื่อนต่อว่าเพื่อนไปเสีย ความสัมพันธ์ขาดลงเพราะสิ่งที่ต้องการถ่ายทอด ต้องการสื่อความหมายมันคล้ายๆการต่อว่าหรือการประชดประชันเสียดสี เป็นการตัดหน้า ความรักร้าวระหว่างกันก็เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังหมดรัก หมดห่วงใย เพราะในคำพูดนั้นมันแสดงออกมาให้เห็น โบราณท่านจึงบอกไว้ว่า คำพูดเพียงคำเดียวถึงกับฆ่าคนได้ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พูดออกไปมิอาจจะเรียกกลับมาได้ หากพูดแล้วจะก่อให้เกิดเรื่องก็ควรนิ่งเสียจะดีกว่า และต้องพยายามที่จะเข้าใจ รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นด้วย
ใช่หรือไม่ บางคนมิอาจจะรับฟังอะไรที่ตรงๆได้ บางคนที่มีอคติในทางที่ไม่ดีต่อเราอยู่แล้ว ต่อให้พูดดีอย่างไรก็กลายเป็นเรื่องแย่ได้เสมอ ฉะนั้นแล้ว ในชีวิตหนึ่งไม่จำเป็นต้องพูดทุกความรู้สึกก็ได้ และถ้าจะพูดเพื่อตักเตือนต้องยืนอยู่บนความเหมาะสม จังหวะ เวลา และต้องพร้อมยอมรับว่า คนเราสมัยนี้เข้าใจอะไรกันยากยิ่งขึ้น คนเราสื่อสารกันผิดพลาดมากขึ้นทั้งๆที่โลกเต็มไปด้วยเครื่องมือสื่อสาร คนเราบ่นกันมากขึ้นแสดงคำพูดเพื่อแสดงจริตตนมากขึ้น แต่ไม่ค่อยยอมรับฟังผู้อื่นและตรงนี้แหละที่จะไปกระทบกระทั่งกัน
การที่คนอื่นไม่เข้าใจเหตุผลเราก็มิใช่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายผิด ความถูก-ผิด ความยุติธรรมที่แท้จริงหาได้อยู่ที่ต้องมีคนถูกคนผิด สิ่งถูกสิ่งผิดมันเป็นจริตที่เราคิดกันขึ้นมาเอง สำหรับพระเจ้าแล้ว ความยุติธรรมอยู่ที่ทุกคนเป็นลูกของพระองค์เหมือนกัน บางครั้งพลาด บางคำพลั้งเผลอ ทำให้บางคนบาดเจ็บ พระองค์ก็ต้องการให้มีการขอโทษ รู้จักให้อภัยกัน สิ่งนี้คือความยุติธรรมที่พระองค์ฝังไว้ในเราทุกคน สุดแล้วแต่ใครจะค้นพบก่อนกัน ใครเจอก่อนก็พบหนทางสวรรค์ ใครยังไม่เจอย่อมมีนรกที่ผุดขึ้นในใจหลังจากคำบางคำที่หลุดออกไปทำร้ายผู้อื่น ...หลังจากคำขอโทษ หลังจากการอภัย ความงดงาม ความสุขใจก็บังเกิดขึ้น มันก็เหมือนกับตอนที่เมื่อน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติความสมบูรณ์ของธรรมชาติก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นแล....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลูกไว้ในใจคน...


ปลูกไว้ในใจคน...
การจากลากันหลายครั้งเราคิดเพียงแค่จะนำมาซึ่งความเศร้าและเหงาหงอย ทั้งๆที่การจากลาคือสิ่งที่คู่อยู่บนหนทางชีวิต แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึงก็รู้สึกหดหู่ ยิ่งถ้าเป็นคนที่เราใกล้ชิด ยิ่งมีพลังแห่งความเศร้าเข้าครอบครอง หากว่าลองพลิกมุมมองเพื่อให้การจากลามีแง่งามและงดงาม ใช่หรือไม่... อย่างน้อยสุดการจากลากัน ก็นำมาซึ่งมิตรภาพที่คุ้นชิน ให้เป็นมิตรภาพที่ระลึกถึงกันอยู่บ่อยๆ การจากลานำมาซึ่งการหวนรำลึกในมุมบวก ด้านที่เคยมีสิ่งดีๆร่วมกันทำ ณ ห้วงเวลาหนึ่งเวลาใด การจากลานำมาซึ่งความห่วงใยที่เคยหล่นหายระหว่างทาง นำมาซึ่งการระลึกถึงกันผ่านทางการสวดภาวนา และทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้ว พวกเราทั้งหมดอยู่ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่นของพระผู้สร้างพระผู้สูงส่ง...
หากสังเกตดูรอบๆวัด บ้านพักพระสงฆ์ ต้นไม้หลายต้นหลายพันธุ์ถูกเสริมเติมแต่งให้งดงาม ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นของผู้ที่เข้ามาพึ่งเย็น มาอาศัยร่มเงา ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการปลูกต้นไม้ให้เป็นกลุ่ม เป็นระเบียบ โดยผู้ที่ดูแลอย่างเอาใจใส่นั่นคือพ่อแมน คุณพ่อเกรียงชัย ตรีมรรคา ที่พยายามจัดสรร เสาะหาพรรณไม้นานาพันธุ์มาเพาะปลูก ทำให้รอบรั้ววัดเซนต์หลุยส์ของเรากลายเป็นพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองใหญ่มหานคร ที่เต็มไปด้วยมลพิษ ต้นไม้ก็เหมือนกับคน หากขาดการดูแลเอาใจใส่ ย่อมเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา หากเฝ้าถนอมรดน้ำพรวนดิน ตบแต่งให้งดงามย่อมนำมาซึ่งคุณค่า คุณพ่อได้ดูแล ปลูกฝังคุณธรรมความดี และตบแต่งตักเตือน เพื่อให้เราสัตบุรุษชาวเซนต์หลุยส์เป็นต้นไม้ที่สวยงามและมีคุณค่า เป็นที่พึ่งที่พักให้แก่ผู้คนรอบข้าง การเอาใจใส่ต่อพิธีกรรม สร้างบรรยากาศการร่วมพิธีกรรมให้น่าติดตามอยู่เสมอๆของคุณพ่อเป็นดั่งน้ำที่ราดรดลงในหัวใจอันแห้งเฉาของเราชาวเมืองได้เป็นอย่างดี คำเทศน์สอนและข้อคิดข้อเขียนทั้งหลายทั้งปวงของคุณพ่อก็คือปุ๋ยชนิดดีที่ทำให้ใจหลายคนผลิบาน ใบหน้าที่ยิ้มรับและความอ่อนน้อมของคุณพ่อก็เป็นดั่งความเขียวขจีให้เรามีอากาศบริสุทธิ์ได้หายใจ 
ในทุกชุมชนในทุกสังคมย่อมมีความหลากหลาย ในทุกกลุ่มกิจกรรมยิ่งมีคนมากยิ่งมีความต่างมาก การทำให้สิ่งเหล่านี้ประสานกันได้อย่างลงตัวเป็นงานไม่ง่าย และหาคนที่จะหล่อประสานนั้นยากยิ่ง แน่ล่ะ การบริหารความต่างโดยไม่ให้แตก จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายผู้นำอยู่เสมอ บทพิสูจน์นี้คุณพ่อเกรียงชัยก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้พยายามบริหารความต่างให้ประสานกันอย่างลงตัว แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างสูง แม้จะต้องเสียเวลา แต่คุณพ่อได้ทุ่มเทในการสร้างกลุ่มกิจกรรมนักขับร้องในวัดของเรา ให้เข้มแข็งและเข้มข้นมาอย่างต่อเนื่อง ความไพเราะของบทเพลงที่บรรเลงผ่านเสียงที่หลากหลาย มีการพัฒนาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง การนำซ้อมร้องเพลงก่อนเริ่มพิธีกรรมเป็นสิ่งดึงดูดให้ทุกผู้คนมีส่วนร่วมในพิธีกรรมอย่างแท้จริง มิใช่เพียงแค่การมานั่งฟังเท่านั้น
ส่วนหนึ่งของความเข้มแข็งของชุมชนมาจากการประสานงาน การสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาในการมาวัดประจำสัปดาห์ คุณพ่อจึงเป็นแรงขับเคลื่อนชิ้นเยี่ยมที่ทำให้ชีวิตทั้งภายนอกและภายใน ได้รับการพัฒนาพร้อมๆกันไปอย่างสมดุล แน่นอนการเป็นพระสงฆ์ต้องคู่ไปกับการโยกย้ายอยู่เสมอ นั่นเป็นหนทางแห่งการนบนอบ พร้อมที่จะไปอยู่ได้ทุกแห่ง แต่การได้ไปอยู่ที่ไหนไม่สำคัญเท่ากับการได้เข้าไปอยู่ในใจของทุกผู้คน  สิ่งทุกสิ่งที่กระทำหากไร้ใจรัก ย่อมมิมีวันเห็นผลได้
ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามนายพลว่า ท่านขอรับ คนเรามีหัวใจดวงเดียว เหตุใดบางครั้งจึงใจกว้าง บางครั้งจึงใจแคบ?” นายพลมิได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่กลับบอกกับทหารผู้นั้นว่า เจ้าจงหลับตาลง แล้วสร้างภาพกำแพงเมืองแห่งหนึ่งขึ้นมาในใจของเจ้า ทหารผู้นั้นหลับตาลงและปฏิบัติตามคำของนายพล จากนั้นสักครู่จึงกล่าวว่า กำแพงเมืองสร้างเสร็จแล้วนายพลจึงบอกว่า เช่นนั้น เจ้าจงหลับตาต่อไป คราวนี้สร้างภาพเส้นขนเส้นหนึ่งขึ้นในใจ ทหารทำตาม เวลาผ่านไปไม่นาน จึงกล่าวว่า เส้นขนสำเร็จแล้ว
              จากนั้นนายพลจึงให้ทหารผู้นั้นลืมตา เอ่ยถามว่า ยามที่เจ้าสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาในใจ เจ้าใช้ใจของเจ้าสร้างมันเพียงคนเดียว  หรือใช้ใจของผู้อื่นมาร่วมสร้างด้วย?” “ใช้ใจของข้าเพียงคนเดียว ทหารตอบ แล้วตอนที่เจ้าสร้างเส้นขนขึ้นมาในใจเล่า เจ้าใช้เพียงเสี้ยวหนึ่งของใจ หรือว่าใช้ทั้งหมดของใจในการสร้างมันขึ้นมา?” ทหารตอบว่า ใช้ทั้งหมดของใจนายพลจึงกล่าวว่า เจ้าสร้างกำแพงเมืองทั้งหลังก็ใช้ใจเพียงดวงเดียว หรือจะสร้างขนแค่เส้นเดียวก็ต้องใช้ใจดวงนี้ดวงเดียวเช่นกัน แสดงว่าใจเพียงหนึ่งใจนั้นสามารถใหญ่ได้ เล็กได้ แคบได้ กว้างได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะเลือกให้มันเป็นเช่นไร
              หลังจากนี้คุณพ่อต้องเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อศึกษาต่อตามที่ผู้ใหญ่ได้มอบหมาย แม้ว่าเราจะรู้สึกเสียดาย รู้สึกเศร้าเมื่อวันเวลาแห่งการจากลานั้นมาถึง การลาจากกันจึงทำให้เราเปิดใจของเราออกและได้เห็นว่า คุณพ่อได้เข้ามานั่งอยู่ในใจของพวกเราแล้วและมันจะอยู่ในความทรงจำ คุณพ่อได้ปลูกต้นไม้ที่งดงามด้วยหัวใจและมันจะเจริญเติบโตต่อไปในใจเราทุกคน  พร้อมที่จะเอื้อเกื้อกูลต่อกันต่อไปในภายภาคหน้าอย่างมิมีวันเปลี่ยนแปลง ขอบคุณพระเจ้าผู้สร้างและผู้ส่งเสริมให้คุณพ่อเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยมขอบคุณผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรที่ได้มอบหมายภารกิจแห่งการรักและรับใช้ผ่านทางคุณพ่อให้เห็นเป็นประจักษ์แห่งสายสัมพันธ์อันมั่นคง ขอบคุณคุณพ่อเจ้าอาวาส คุณพ่อที่อยู่ที่วัดเซนต์หลุยส์ทุกท่านที่ทำให้เห็นถึงความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อนำพาพวกเราสู่หนทางธรรม การจากลาหาได้เป็นการสิ้นสุด แต่มันป็นการเริ่มต้นของมิตรภาพและความรักที่ยั่งยืน...  Bon Voyage Le Pere Kriengchai …. Merci

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ขนาดนั้นเลยเหรอ


ขนาดนั้นเลยเหรอ
การถูกปฏิเสธจากคนใดคนหนึ่งนั้นย่อมนำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ ย่อมทำลายความฝัน ทำร้ายความหวัง แม้ว่าการปฏิเสธนั้นจะมีเหตุผลมารองรับ มีข้ออ้างเพื่อลดทอนความเจ็บปวดของอีกฝ่ายหนึ่ง นี่ก็เป็นบททดสอบเป็นแบบฝึกหัดให้ชีวิตเติบแกร่ง ไม่เปราะบางและร่วงหล่นไปตามอารมณ์ ยิ่งผู้ที่ฝึกฝนอดทนต่อการถูกปฏิเสธมากเท่าใด ย่อมมีความเข้มแข็งต่อความพ่ายแพ้และน้อมรับความเจ็บปวดอย่างชื่นมื่น
ในการแข่งขันกีฬาทุกประเภทย่อมมีผู้หนึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นผู้คว้าชัย อีกฝ่ายต้องเป็นผู้พ่าย ซึ่งเป็นกติกาสากลที่ยอมรับกันได้ แต่การที่ถูกปฏิเสธชัยชนะด้วยกลโกง ด้วยเทคนิค เทคติก ถึงขั้นตุกติกนี่ซิ มันเจ็บปวด ยิ่งถ้าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน กรรมการปล่อยเลยตามเลย คนที่ถูกปล้นชัยชนะย่อมมีแต่ความเจ็บปวด และอาจจะสะสมพลังเป็นความเคียดแค้น
สังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในวันนี้ ไม่นำพาซึ่งกติกา และไร้ความมีน้ำใจ ไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น ทำทุกอย่างเพื่อก้าวไปให้ได้ชัย ปฏิเสธความถูกผิด ปฏิเสธความยุติธรรมต่อผู้เข้าร่วมแข่งขัน วันนี้เราอยู่บนลู่ทางเยี่ยงนี้ จนบางครั้งต้องอุทานออกมาว่า ทำกันขนาดนี้เชียวหรือ...
ความคิดที่ถ่ายทอดออกมานี้ได้มาจาก ข่าวกีฬาข่าวหนึ่ง การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลก IAAF World Championships ที่เมืองแทกู เกาหลีใต้ ในการแข่งขันวิ่งข้ามรั้ว 110 เมตร ชิงแชมป์โลก เดย์รอน โรเบิลส์ นักวิ่งชาวคิวบา เจ้าของสถิติโลก ซึ่งวิ่งอยู่ในลู่ที่ 5 ใช้มือไปตบไปเกี่ยวแขน หลิวเสียง ขณะเร่งแซงได้ในระยะ 20 เมตรสุดท้าย  เดย์รอน โรเบิลส์ ออกสตาร์ทนำหน้า หลิวเสียง นักวิ่งจีน ตลอด 7 รั้วแรก แต่ หลิวเสียง เริ่มสปีดความเร็วขึ้นมา จนกระทั่งประกบคู่กันในรั้วที่ 8 และเริ่มแซงนำนักวิ่งคิวบา  เห็นชัดในการกระโดดรั้วที่ 9 เดย์รอน โรเบิลส์ แทบจะคว้ามือซ้ายของ หลิวเสียง ที่กำลังจะเหวี่ยงขึ้นจนทำให้เขาวิ่งแกว่งไป แต่ความเร็วของหลิวเสียงยังไม่ลดลง จนรั้วสุดท้าย โรเบิลส์ก็ยังทำเช่นเดิมโดยกวาดท่อนแขนขวาใส่แขนซ้ายของหลิวเสียงที่กำลังพุ่งความเร็วกระโดดข้ามรั้วสุดท้าย จนหลิวเสียงเสียการทรงตัวในที่สุด หลิวเสียงถึงกับหันไปมองหน้านักวิ่งคิวบา ซึ่งอาศัยจังหวะได้เปรียบแซงเข้าเส้นชัยไปพร้อมกับริชาร์ดสัน นักวิ่งสหรัฐฯ อีกคน ส่วน หลิวเสียง ตกไปอยู่อันดับสามได้เหรียญทองแดง
เมื่อมีการรีเพลย์ภาพซึ่งผู้คนทั้งสนามได้เห็นการกระทำดังกล่าว กรรมการจึงสั่งให้มีการแข่งขันใหม่โดยตัดสิทธิ์นักวิ่งคิวบาผู้นั้น ผู้ถูกปรับแพ้ไม่ให้เข้าร่วมอีก เดย์รอน โรเบิลส์ ให้สัมภาษณ์ว่า ผมไม่พอใจเทคนิคการวิ่งในคราวนี้ ที่มือไปแตะถูก หลิวเสียง ในรั้วสุดท้าย (อ้างเรื่องเทคนิค แหม..กำลังเป็นที่นิยมกับคำว่ามันเป็นเรื่องทางเทคนิค) แต่ข้อแก้ตัวของเขามันฟังไม่ขึ้น เพื่อให้ได้ชัยชนะต้องลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอ..
หลิวเสียง นักวิ่งชาวจีนกล่าวไว้อย่างน่าประทับใจว่า ผมรู้สึกว่า ผมเหวี่ยงแขนซ้ายไม่ขึ้น มันทำให้เสียสมดุลไป แต่ก็พยายามฝืนวิ่ง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ในการแข่งขัน แต่คราวนี้ มันแปลกๆ แต่...สำหรับผมก็ไม่รู้สึกอะไรมากมายกับเรื่องนี้ โรเบิลส์ ก็เตรียมตัวมาดี ผมเองก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะผมไม่สนใจสีของเหรียญรางวัลฯ (ต้องขอใช้คำฮิตทางโลกไซเบอร์หน่อยว่า สวดยอดดดดดดด....)
สำหรับคนบางคนยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ไม่สามารถรับได้กับการไม่ได้ชัยชนะ คนเช่นนี้ย่อมทำทุกวิถีทาง ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แม้จะต้องเหนี่ยวรั้ง ฉุดกระชากให้ผู้อื่นล้มลงหรือหยุดชะงัก เพราะคนเหล่านั้นหาได้คำนึงถึงผู้อื่น ทุกการกระทำนั้นทำเพื่อตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัวขั้นที่รุนแรงอย่างมาก ในกระแสโลก ในสภาพแวดล้อมของสังคมกำลังทำให้ผู้คนเป็นเยี่ยงนี้ กระทำกันจนกลายเป็นความเคยชิน เป็นค่านิยมที่ผิดๆ คนสมัยนี้จึงแยกความดี-เลว ผิด-ถูก ไม่ออก การสอนการปลูกฝังให้ผู้คนแยกแยะมุมมืดกับมุมสว่างก็หาได้น้อยเต็มที....แต่อย่างไรเสีย ความดีมิมีวันสูญสลายไปจากโลกใบนี้ มีให้เห็นเสมอเพียงแต่ใครที่เห็นและได้นำมาเป็นบทเรียน บทสอน ก็นับว่าเป็นการเพิ่มพูนความเข้มแข็งและความอดทนให้กับชีวิต
ในโลกย่อมมีสองด้าน ความดีไม่มีวันตาย มีคนอีกจำนวนไม่น้อยมิได้ใส่ใจต่อชัยชนะและความสำเร็จฝ่ายโลก ขอเพียงมุ่งหวังให้เข้าสู่เส้นชัยตามที่ได้ฝึกฝน ไม่ว่าจะได้ที่เท่าไหร่ไม่สำคัญ รางวัลเป็นเพียงเครื่องส่งเสริมให้มีพลังมุ่งมั่น ไม่ว่าจะได้รับรางวัลแบบไหนมันก็แค่รางวัล.. แล้วเราล่ะเป็นแบบ หลิวเสียง คนบินแห่งเมืองจีนหรือเปล่า ถึงแม้จะพ่ายแพ้ต่อกลโกงและเทคนิคชั่วร้าย แต่ไม่เคยหมดศรัทธาต่อการวิ่งในครั้งต่อไป เราไปใส่ใจต่อคนเหนี่ยวรั้ง ต่อการถูกปฏิเสธจนเกินไปหรือเปล่า..เราเป็นคนคอยเหนี่ยวรั้ง เป็นคนที่ชอบปฏิเสธผู้อื่นด้วยข้ออ้างเหตุผลแห่งตนฝ่ายเดียวหรือเปล่า เราเป็นผู้สร้างบาดแผลความเจ็บปวดไว้ให้กับใครบ้างไหมในระหว่างทางที่ผ่านมา..
แต่หากว่าการเหนี่ยวรั้งผู้อื่นของเราทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพียงเพื่อให้คนอื่นได้หยุดชะลอความเร็วแรงและการเดินให้ถูกที่ถูกทาง ด้วยการกล่าวตักเตือนแบบมิตรสหายโดยไม่มีข้ออ้าง การเหนี่ยวรั้งนั้นย่อมมีคุณค่าและสมควรกระทำยิ่งนัก ฉุดเพื่อหยุดดีกว่ารั้งให้พังกันไปข้าง....