วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คิดไปเอง เชื่อไปเอง


คิดไปเอง เชื่อไปเอง


ในยุคที่โลกไร้พรมแดน แต่มีบางแดนดินเป็นถิ่นของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนที่ยึดเกาะคุมบังคับบัญชาให้ทุกผู้คนต้องทำตาม กำหนดเขตแดนเพื่อข้าฯแต่เพียงผู้เดียว ทรัพย์สินทรัพยากร ในดินแดนนี้ต้องเป็นของข้าฯและบริวารเท่านั้น โดยที่คิดไปเองว่าทุกผู้คนคงสามิภักดิ์รักและเชื่อฟังข้าฯอย่างงมงาย คิดไปเองและเชื่อไปเองว่าไม่มีใครที่จะกล้ามาต่อกร เพราะข้าฯมีทั้งเงินตรา ศาสตราวุธ กองทหาร อยู่ในกำมือ ปกครองคนตามใจตัวเอง ผู้นำที่อยู่ในอำนาจที่ยาวนานเกินไปโดยไม่ให้ใจ ไร้เมตตาต่อประชาชน ก็จะถูกประชาชนโค่นล้ม การเป็นผู้นำที่ใช้แต่อำนาจ ไร้ความเมตตา วันหนึ่งก็ต้องจากลา ลงจากอำนาจอย่างเจ็บปวด คนที่เสพย์ติดอำนาจ อำนาจย่อมทำร้ายตนเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เสพย์ติดยาเสพติด ยาเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาให้โทษฉันใดก็ฉันนั้น


และสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้เกิดการจัดระเบียบบริหารและปกครองใหม่ในประเทศแถบแอฟริกาและอาหรับตะวันออกกลางกำลังเป็นโดมิโนลามไปอย่างรวดเร็ว ก็คงถึงยุคปิดฉากของผู้ที่ผูกขาดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าในบางเขตบางประเทศจะมีการสูญเสียชีวิตของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก เพราะคนที่มีอำนาจมิอาจจะยอมรับการสูญเสียอำนาจอย่างง่ายดายได้ จำต้องใช้ทุกสรรพสิ่งที่คุมอยู่ไปต่อกรต่อประชาชน โดยผู้มีอำนาจเหล่านั้นคิดไปเอง เชื่อไปเองทั้งสิ้น ก็คงจะอยู่ในโลกหลงอำนาจของตัวเอง โดยอาจจะมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าบ้าคลั่งเป็นเพื่อนร่วมทางที่มุ่งสู่ความโดดเดียวในวาระสุดท้ายปลายลมหายใจสุดท้าย..


กลับมาดูที่บ้านเมืองของเรา ในยุคสังคมบริโภคล้นเมืองแต่คนกลับต้องมาต่อแถวเรียงคิวซื้อเครื่องบริโภคอุปโภค เพราะเราก็ถูกทำให้คิดไปเอง เชื่อไปเองในหลายๆเรื่องจนกลายเป็นความชินชาและสามัญประจำสังคมไปเสีย ก็อย่างเช่นเรื่องน้ำมันปาล์มไง ใครจะไปเชื่อว่าวันหนึ่งในยุคของการบริโภคล้นหลาก ต้องบากหน้ามาต่อแถวซื้อน้ำมันพืชคนละ 2 ขวด นี่มันปัญหาระดับชาติเลยนะครับ


ในสมัยหนึ่งใครก็ไม่รู้ที่เป็นตัวการที่สร้างความเข้าใจว่าน้ำมันพืชกินแล้วปลอดภัย เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าน้ำมันหมู ปลูกฝังความคิดนี้จนทำให้ผู้คนทั่วไปคิดไปเอง เชื่อไปเอง ซื้อไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เราลายเป็นทาสน้ำมันปาล์มมานานปี จนทำให้มีอุตสาหกรรมน้ำมันพืชเกิดขึ้นอย่างมากมาย (ซึ่งล้วนแล้วเป็นเครือญาติกับผู้มีอำนาจสืบทอด(ใช้น้ำมันปาล์มทอดด้วย)มาในทุกสมัย) และพวกนี้ก็กรอกหลอกให้เราเชื่อไปเองว่ากินแล้วดี ทั้งๆที่มีวารสารทางสุขภาพ มีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐออกมาพิสูจน์แล้วว่า น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีที่ทานกันอยู่ทุกวันนี้มี อันตราย ทำให้อาหารกลายเป็น ยาพิษ ในหลายๆ เมืองของสหรัฐเขาเตือนให้ประชาชนทราบ และธุรกิจอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดใหญ่ๆ ของสหรัฐ ก็เลิกใช้น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีนี้กันแล้วจะบอกให้....


อุณหภูมิในร่างกายคนเราอยู่ที่ประมาณ 37 องศาฯ ด้วยอุณหภูมิระดับนี้ เมื่อน้ำมันพืช-น้ำมันปาล์มเข้าไปในร่างกาย จะกลายเป็น กาวเหนียวๆ เกาะติดตั้งแต่ผนังลำคอ ลำไส้เล็ก ลงไปถึงลำไส้ใหญ่ และเขายังค้นพบอีกว่าน้ำมันจากสัตว์ และน้ำมันมะพร้าว เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายคนเรา จะไม่เป็นไข และละลายกับน้ำได้ ทำให้ผนังลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้คนในประเทศยุโรปก็กำลังหันมารับประทานมะพร้าว คิดค้นเครื่องสำอางที่ทำจากมะพร้าวกันอย่างเอิกเกริก เค้าว่าดีกว่าปาล์ม อันนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อเดี๋ยวจะตกบ่วงเหมือนปาล์มอีก...


ทุนนิยมเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากเกินงาม ต่างคนต่างคิดระบบกลไกการตลาด จ้างนักวิชาการวิชาเกินออกงานวิจัยมาต้มผู้คน หลอมชุดข้อมูลให้เข้าไปในเส้นเลือด กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว มารู้อีกทีก็ไม่สามารถย้อนกลับคืนสู่วิถีชีวิตแบบเก่าๆได้อีกแล้ว ได้แต่คิดถึงกากหมูที่เหลือจากการเคี่ยวข้นเพื่อเอาน้ำมันออกไปใช้ กากหมูร้อนๆปนน้ำปลาสักหน่อยกับข้าวสวยร้อนๆสักจาน เป็นเพียงความทรงจำเมื่อครั้งกาลก่อน แล้วเราทำไมต้องใช้น้ำมันปาล์มด้วยล่ะ ยังงงอยู่...


เมื่อเราไปให้ความสำคัญกับคนที่มีอำนาจ(รวมทั้งในด้านการตลาด ในด้านการเศรษฐกิจด้วย) เราก็จะถูกปลูกฝังด้วยชุดความคิดของคนผู้นั้น คนกลุ่มนั้นจนทำให้เราคิดไปเอง เชื่อไปเองว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นปลอดภัย แล้วก็ทำตามๆกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเหตุให้เราเริ่ม เอ๊ะ เริ่มรับไม่ได้ เมื่อนั้นเราจึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเราก็คือเหยื่อของการตลาด เหยื่อทางอำนาจของคนบางกลุ่มไปเสียแล้ว และนับจากนี้การเปลี่ยนแปลงฐานความคิดของคนก็จะเกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่ชุดข้อมูลใหม่ที่จะถูกฝังลงในสมองเรา จะดี จะถูกหรือเปล่า วันเวลาพิสูจน์ความจริงได้ กลับไปทานอาหารต้มๆกันดูบ้างหลังจากที่ถูกต้มมาเสียนาน


ใช่หรือไม่ ที่เราคิดไปเอง เชื่อไปเอง ล้วนแล้วแต่มาจากผู้อื่นครอบงำทั้งสิ้น แต่ลึกลงไปอีกก็เพราะในชีวิตเราเต็มล้นไปด้วยความกังวล ไม่เว้นแม้กระทั่งการกิน การดื่ม กินนี่จะอ้วนไหม กินนั่นมะเร็งจะมาเยือนไหม ดื่มน้ำ B… จะได้ฉลาด (ที่ไหนได้โง่ให้เค้าหลอกตั้งแต่ไปซื้อแล้ว) เราใส่ใจแต่เรื่องภายนอกแต่เรื่องใจเรากลับละเลย ปล่อยให้ร่างกายมีอำนาจครอบครองจิตใจ ทั้งๆที่จริงแล้วจิตใจย่อมอยู่เหนือร่างกาย ชีวิตจิตย่อมสำคัญกว่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เลิกกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะแต่ละวันมีความทุกข์มากพออยู่แล้ว อย่าคิดไปเอง เชื่อไปเอง เพราะนั่นคือหนทางในการเพิ่มความทุกข์อย่างไม่รู้ตัว ในแต่ละวัน...


วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่...


สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่...


การมองเห็นถือว่าเป็นด่านแรกในการตีความหมายของสรรพสิ่ง เราจึงมักใช้ด่านแรกนี้ในการตัดสินในหลายเรื่องบนหนทางชีวิต แต่เมื่อพอเรื่องนั้นผ่านการกลั่นกรอง ผ่านด่านมโนสำนกลึกลงยังด่านสุดท้ายที่จิตวิญญาณ ใช่หรือไม่ หลายเรื่องมันไม่ใช่สิ่งที่เราตีความหายจากการมองเห็นเลย การมองด้วยใจจึงมีความสำคัญกว่าการมองด้วยลูกตา มีบ่อยครั้งที่เราเห็นคนที่แต่งตัวดีมีภูมิฐานตามมาตรฐานสากล เราก็ไว้วางใจไปแล้วเกินครึ่ง


ด้วยการใช้เปลือกที่ห่อหุ้มให้ตัวเองดูดี มีราคา จึงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยหลงใหลในสิ่งนี้ คิดสร้างความน่าเชื่อถือด้วยเปลือกที่หุ้มห่อ ทำงานไม่เก่งแต่ Present เลิศ ก็ก้าวไกล บรรยายไม่รู้เรื่อง แต่เป็นที่ชื่นชมเพราะแพรวพราวด้วยอุปกรณ์ที่นำมาประกอบ เขียนหนังสือไม่เก่งแต่ชอบสรรหาคำเลิศหรูดูเท่ ชอบทำตัวนำสมัยแต่ไม่เข้าใจกระแสที่โดดลงไปเวียนว่าย ช่างพูดช่างเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวาน แต่ลับหลังก็เป็นช่างนินทาที่รับจ้างนินทาทั่วราชอาณาจักรปากก็พูดว่า ให้รักคนทั้งโลก ที่ไหนได้เพื่อให้คนทั้งโลกได้มารักและสนับสนุนตัวเอง อวดอ้าง ประชาสัมพันธ์สารพัด งัดเอาข้อดีมาบรรยาย ที่แท้เป็นแค่เปลือกที่ปริแตก...


หลายครั้งเราจึงผิดหวังกับคนที่เราเห็นว่าน่านับถือ น่าเลื่อมใส หลายครั้งก็เกิดอาการงงเมื่อพบความจริงแสนเจ็บปวดที่หลงไปสามิภักดิ์ รักเต็มร้อยแบบถอนตัวไม่ขึ้น เรามักรักแต่คนที่เห็นว่าดูดีมิได้ฟังเสียงภายใน โลกนี้จึงเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความผิดหวัง ในขณะที่สังคมโลกมีคนที่ชอบอวดอ้างสรรพคุณเพิ่มขึ้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำตัวเล็กๆลีบๆ แต่ทำในสิ่งที่งดงามและยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนทั่วไปมักมองผ่านไป มีบ้างบางครั้งที่กลับหยามหยัน หาว่าเป็นบ้า กว่าจะรู้ว่าสิ่งนั้น คือ สุดยอด ผู้คนเหล่านั้นก็ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนหวานมาจากเบื้องบน


มีคุณปู่ชาวจีนนามว่า ไป่ ฟาง ลี่ อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในกระท่อมเล็ก ๆ ในเมืองเทียนจิน และใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มมาตลอดชีวิต แม้ว่าในวัยเด็กของคุณปู่จะไม่ได้รับการศึกษา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณปู่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด คุณปู่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบพอเพียงแต่ก็มีความสุขไปกับสิ่งรอบข้าง


ในแต่ละวัน คุณปู่จะปั่นสามล้อคู่ใจออกไปคอยรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่มทุกวัน เช้ายันค่ำ ชีวิตของคุณปู่ก็จะวนเวียนอยู่กับการรับผู้โดยสารจากที่หนึ่งพาไปส่งที่ปลายทางโดยปลอดภัย รอยยิ้มของคุณปู่ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้า ราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าคือความสุขที่สุดในชีวิตของคุณปู่ ยิ่งไปกว่านั้น คุณปู่ไม่เคยเกี่ยงเรื่องค่าโดยสาร ไม่เคยตั้งราคาค่าโดยสารเลยสักครั้ง แต่จะให้ผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสารตามแต่เห็นสมควร เงินค่าโดยสารที่เก็บได้ในแต่ละวัน คุณปู่ก็เก็บสะสมมาเรื่อย ๆ


วันหนึ่งคุณปู่ได้มองเห็นเด็กชายวัย 6 ขวบคนหนึ่ง กำลังช่วยหญิงสาวคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังที่ซื้อมาจากตลาด และหญิงสาวก็ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแก่เด็กชายคนนั้นไป ซึ่งหลังจากที่เด็กชายได้รับเงินค่าตอบแทน เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับเงินที่ได้รับมาในมือ ก่อนที่จะเก็บมันลงในกระเป๋าแล้วไปรับจ้างถือของให้คนอื่น ๆ และทุกครั้งที่ได้รับเงิน เขาก็จะมองไปบนฟ้าด้วยรอยยิ้มอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


จากนั้นไม่นาน คุณปู่เห็นเด็กชายคนดังกล่าวไปคุ้ยขยะ หยิบขนมปังสกปรกชิ้นหนึ่งขึ้นมา แสดงท่าทีดีใจก่อนที่จะกินเข้าไปอย่างมีความสุข คุณปู่รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปชวนเด็กชายคนดังกล่าวมานั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วถามเด็กชายคนดังกล่าวว่า ทำไมไม่เอาเงินที่ได้จากการรับจ้างถือของไปซื้อข้าวกินให้อิ่ม คำตอบที่ได้นั้นทำให้คุณปู่ถึงกับอึ้ง จะเอาเงินไปซื้ออาหารให้กับน้อง ๆ ของผม


หลังจากได้รับรู้เรื่องราวสุดสะเทือนใจของเด็กชายแล้ว คุณปู่ก็ได้ขอให้เด็กชายพาไปหาน้องสาวทั้งสองคน ซึ่งทันทีที่คุณปู่ไปถึง ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังร้องไห้ออกมา คุณปู่จึงได้พาเด็กทั้งสามไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียนจิน และบริจาคเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาตลอดชีวิตให้กับเด็กกำพร้าที่นี่ เพื่อเป็นค่าอหารและทุนการศึกษา และตั้งแต่นั้นมา คุณปู่ก็เริ่มทำงานหนักขึ้น เพื่อหาเงินมาบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณปู่มีความสุขมากกับการทุ่มเททั้งหมดของชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสมถะ ที่อาจจะยากจนในสายตาของใคร ๆ แต่สำหรับคุณปู่แล้ว คุณปู่กลับรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยแล้วที่มีบ้านให้อาศัย มีอาหารให้กินทุกมื้อ และมีเสื้อผ้าใส่ คุณปู่ทำงานตลอด 365 วันไม่เคยหยุด ถ้ามีใครถามคุณปู่ว่าทำไมถึงต้องทำเพื่อเด็ก ๆ ขนาดนี้ คุณปู่จะบอกเสมอว่า ไม่เป็นไรหรอกที่จะลำบาก ขอแค่ให้เด็กยากจนได้มีข้าวกิน และได้รับโอกาสทางการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เท่านี้ก็มีความสุขแล้วสำหรับการบริจาคเงินของคุณปู่ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งมียอดรวมกว่า 1.7 ล้านบาทนั้น คุณปู่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะร้องขอสิ่งตอบแทนใด ๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า วันนี้ คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ได้ล่วงลับไปนานกว่า 5 ปีแล้ว แต่ชื่อของคุณปู่ ยังคงถูกนำไปพูดถึงและบอกต่อนับครั้งไม่ถ้วน


คนปั่นสามล้อจนๆบริจาคเงินทั้งชีวิต 1.7 ล้านบาทให้กับเด็กกำพร้ากับเศรษฐีขับรถหรูดูดีมีสกุลบริจาคเงินให้การกุศลในงานที่ได้ออกโทรทัศน์ 10 ล้านบาท ใครจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่ากันในสายตาของคนทั่วไป แต่ถ้าถามว่า การให้ของใครยิ่งใหญ่กว่ากัน คำตอบนั้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจ.....


วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รักนั้นงดงามเสมอ

รักนั้นงดงามเสมอ

เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า มีเพียงไม่กี่สิ่งหรอกที่อยู่คู่กับโลกนี้มาตั้งแต่วันแรกก่อเกิด หนึ่งในนั้นก็คือ ความรัก พระเจ้าเนรมิตโลกด้วยความรัก ความงดงามของความรักจึงมีอยู่เสมอมาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ยุคสมัยใหม่นี้ใช้ความรักเพียงแค่เปลือกนอก ความรักจึงถูกเคลือบ ฉาบ ทา แปรรูปให้เป็นวัตถุ ให้เป็นสินค้า ให้เป็นสิ่งเสพสิ่งบันเทิง เป็นไปตามกระแส แต่ยังไงๆความรักก็ยังมีอยู่ในทุกอณูของโลกใบนี้ และความรักนี้เองที่ได้สร้างโลก พัฒนาโลก กล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ให้ก้าวย่างสู่เป้าหมายของการหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว แน่ล่ะ...บางคนอาจจะค้านว่า ความรักมักทำให้คนเห็นแก่ตัวมิใช่หรือ ก็คงไม่เถียงเพราะนั่นอาจจะเป็นเพียงปฐมบทที่ทำให้เรารู้จักตัวเองก่อน การเห็นแก่ตัวนั้น ใช่หรือไม่ คือส่วนย่อยของการรักตัวเอง เพื่อให้เราก้าวข้ามผ่านพ้นไปรักคนอื่น เรารักตัวเราอย่างไร หากรักของเราผ่านพ้นการเห็นแก่ตัว เราก็จะรักคนอื่นแบบไร้เงื่อนปมแห่งการเห็นแก่ได้ รักจึงสอนให้ชีวิตมีความงดงาม และรู้แจ้งความจริง ว่าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่าความรักได้....

เมื่อพูดถึงความรักแล้ว เหตุการณ์หนึ่งมักเวียนวนขึ้นมาจากความทรงจำเสมอ เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยที่เรียนอยู่มัธยมปลายได้เกิดสนทนาธรรมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านได้พูดว่า นี่เธอรู้ไหม ความรักมักทำให้คนตาบอด ด้วยความที่เป็นคนปากไวก็สวนออกไปทันทีว่า แต่คนตาบอดก็ยังต้องการความรักมิใช่หรือ ทุกคนที่อยู่ในห้องเงียบ ที่เงียบไม่ได้หมายความว่าทึ่งในคำพูด แต่ที่เงียบคงคิดว่า งานเข้าแล้ว แต่เปล่าเลยผู้ใหญ่ใจดีท่านนั้น ยิ้มแล้วบอกว่า น่าคิดนะ ไหนลองยกตัวอย่างมาสิ อย่างน้อยๆทุกคนเกิดมาย่อมต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้น คนที่สูญเสียอวัยวะย่อมต้องการรักมากกว่าคนอื่น ก็ตอบไปเท่าที่นึกได้ผสมผสานกับความกลัวเล็กน้อยในขณะนั้น แต่ถ้าเป็นวันนี้ก็คงจะเล่าเรื่องๆหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคำตอบที่ดีอย่างยิ่งสำหรับวันนั้นก็เป็นไปได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลมาจากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่งดงามในนามความรักเหลือเกิน ติดตามอ่านกันเลย แล้วจะรู้ว่า คนตาบอดก็ต้องการความรัก ทั้งๆที่รักทำให้คนตาบอด นั้นเป็นอย่างไร ....

มีผู้หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง กำลังมีความสุขอยู่กับชีวิตคู่ อยู่ๆก็มาประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็นเป็นอย่างยิ่ง คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะยอมรับสภาพเช่นนี้ จากที่เคยมองเห็นสรรพสิ่งสวยงาม บัดนี้มีเพียงแต่ความมืดและจินตนาการเท่านั้น หลายครั้งเธอคิดว่า การมีชีวิตอยู่แบบนี้สู้ตายไปมิดีกว่าหรือ นี่เป็นชีวิตที่เลือกไม่ได้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน...

แต่สามีเธอก็ได้พยายามปลอบใจ และให้กำลังใจเธอมาโดยตลอด พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ให้มากขึ้น โชคยังดีเธอยังได้ทำงานประจำไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว ที่ทำงานของเธอกับสามีเธอนั้นก็อยู่คนละทาง แต่เขาก็ยังขับรถไปรับและไปส่งเธออยู่เสมอ

เวลาผ่านไปนานปี สามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากกับการดูแล รับ-ส่ง เขาจึงให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งจะได้ไหม!!!!! (ช่างใจร้ายจริงๆๆๆๆ หลายคนอ่านถึงตรงนี้คงมีมติเหมือนๆกัน อย่าเพิ่งตัดสินอ่านกันต่อเลยครับ) นาทีนั้น.. เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธออย่างที่สุด แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาบอก เธอพยายามที่จะขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้

อยู่มาวันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงจากรถไปทำงานตามปกติ คนขับรถเมล์ก็พูดกับเธอว่า ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ เธอก็เลยถามว่า อิจฉาฉันด้วยเรื่องอะไร คนขับรถเมล์บอกว่า .. ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมจะเห็นสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง เขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้ามานั่งตรงเบาะข้างหลังที่คุณนั่งเป็นประจำเฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย และตามคุณลงรถไปและเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย ในทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถและคอยดูคุณ จนคุณลงรถ พอเธอได้ยินดังนั้น เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน เพราะตลอดเวลาสามีของเธอไม่เคยทอดทิ้งเธอไปไหน เขายังอยู่เคียงข้างดูแลเธออย่างใกล้ชิด เขาคงเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก เธอหวนนึกถึงคำพูดที่เขาพูดออกมาบ่อยๆ ว่าชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ตายได้ทุกเมื่อเลยนะ ดูอย่างคุณสิ เมื่อวานยังมองเห็น วันนี้ คุณกลับมองไม่เห็นแล้ว เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด คิดว่าเขาคงจะเบื่อ รำคาญ คนตาบอดอย่างเธอ แต่.... วันนี้เธอรู้แล้วว่า ที่เขาพยายามให้เธอช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะหากว่า วันนี้ พรุ่งนี้ เขาตายไป...เธอจะสามารถไปไหนมาไหน หรือมีชีวิตอยู่เองได้ วันนี้เธอเห็นความรักที่งดงามกว่าตอนที่ตาเธอยังมองเห็นเสียอีก....

เรามาลองทบทวนวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิตกันดูดีไหมว่า ความรักที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิต ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน มีความงดงามอะไรบ้าง ช่วยให้ชีวิตเราเจริญเติบโต ทำให้จิตวิญญาณเรามีการพัฒนาเยี่ยงไรบ้าง และที่สุด คนที่เรารักที่สุด คนที่อยู่ข้างๆเรา เรายังรักเขาเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ยังคงมีความงดงามมอบให้กันอยู่หรือไม่ มีการอภัยให้กันทุกครั้งในความพลาดพลั้งหรือเปล่า ที่ใดมีรัก...ที่นั่นย่อมมีทั้งทุกข์และสุข นี่คือความงดงาม ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นย่อมมีรัก นี่คือความงดงามของธรรมชาติ และที่ใดมีรัก ที่นั่นมีองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ เพราะพระองค์คือความงดงาม.....

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ถนอมรักด้วยใจรัก

ถนอมรักด้วยใจรัก
ผ่านไปแล้วสำหรับเดือนแรกของปี หลายคนถือว่าเป็นเดือนดีที่มี 5 เสาร์ 5 อาทิตย์ 5 จันทร์ จนมีการตีความไปถึงหวยที่ออกเลขท้ายสองตัว 55 ก็มาจากสิ่งนี้ (แต่มักจะตีความตอนหวยออกแล้ว เก่งกันจริงๆ) แต่สำหรับคนที่รอคอยเงินเดือนนี้ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน เหตุเพราะได้ใช้เงินตอนปลายปีอย่างสนุกมือ มานึกได้อีกทีเงินในกระเป๋าก็เหลือเพียงซื้อบะหมี่ได้วันละหนึ่งซอง ย่างเข้าเดือนที่สองของปีที่เรียกว่าเป็นเดือนแห่งความรัก หลายที่หลายทางเริ่มจัดงาน เริ่มโปรโมทชื่องานก็ไม่พ้นเรื่องความรัก แต่ก็เป็นรักเพื่อการค้า รักเพื่อทำกำไร รักตัวเองกันทั้งนั้น
คงจะดีไม่น้อยถ้าเราให้ความสำคัญของความรักกันอย่างจริงจัง สอนให้ผู้คนมีรักด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำอยู่คงจะดีไม่น้อย ก็เป็นเพียงเงาฝันเท่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริงเราพูดเรื่องรักด้วยปาก พูดรักง่ายดาย แต่ให้ตายแทนกันได้คงไม่มี ในสังคมรักง่ายหน่ายไว ไร้ความอดทนในการถนอมรัก ในการทนุดวงใจ มีแต่ความเห็นแก่ได้ รักของคนสมัยนี้จึงเป็นรักที่บูดเน่าได้ง่าย ไม่มีตัวช่วยในการถนอมให้รักยืนยาว อะไรคือตัวช่วย นั่นคือ ความอดทน ความเข้าใจ
คนเรารู้จักที่จะเก็บอาหารด้วยการถนอมด้วยเกลือมาอย่างยาวนาน ใช้ความเค็มของเกลือดองอาหารเพื่อให้มีอายุยืนยาว มนุษย์เราก็ควรที่จะเก็บรักษาความรักด้วยความนิ่ง เงียบ อดทน แทรกซึมด้วยการเข้าใจกัน รู้จักอภัยในความอ่อนแอ อ่อนด้อยของกันและกัน รักก็จะมีอายุยาวขึ้น เหมือนกับเรื่องเล่าที่ส่งต่อๆกันมาทางอีเมล์ เป็นเรื่องเกลือกับความรัก...
เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอดูโดดเด่นมาก และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ (สวย เริ่ด โสด ประมาณนั้น) ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย และหลังงานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสพูดคุยและได้ชวนเธอไปทานกาแฟต่อ เธอประหลาดใจมากแต่ด้วยท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง (ไม่ใช่ใจง่าย แต่ความรักมักมีจุดประกายเกิดแบบนี้ได้เสมอ)
เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก จนเธอรู้สึกอึดอัดมาก แต่ทันใดนั้น…..เขาก็พูดกับพนักงานในร้านว่า “ขอเกลือป่นได้ไหม อยากเอามาใส่ในกาแฟ” ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ เขาอายจนต้องก้มหน้าแต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มกาแฟถ้วยนั้นเสียด้วย ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า “ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้” เขาตอบว่า “เมื่อยังเด็ก บ้านเกิดของผมอยู่ริมทะเล ผมเป็นลูกน้ำเค็มเล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่ผมได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ ผมก็จะคิดถึงวัยเด็กคิดถึงบ้านเกิด ผมคิดถึงพ่อแม่ที่ยังอยู่ที่นั่น” เขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขา
ผู้ชายคนไหนที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้านแสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ดังนั้น เธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้างชีวิตในวัยเด็ก เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการเริ่มต้นที่ดีทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป จนที่สุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง ใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบแต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป
เธอตกลงใจแต่งงานกับเขา และก็มีความสุขมาโดยตลอด ทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขา เธอต้องใส่เกลือลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป นี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมาก สี่สิบปีต่อมา เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง มีใจความว่า “ที่รัก อภัยให้ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาลแต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไปซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้ ผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อยมันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณและมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้ง แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม” น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอว่ากาแฟที่ใส่เกลือรสชาติเป็นเช่นไร เธอก็จะตอบเสมอว่า “มันหอมหวาน”
และไม่ว่าจะเดือนไหน ขอให้เรามีใจที่จะถนอมความรักที่มีต่อกันและกัน ไม่ว่าระหว่างคนรัก พ่อแม่ลูก เจ้านายลูกน้อง เพื่อนพ้องน้องพี่ ใครบ้างเล่าที่ชอบให้รักบูดเน่า หากเกลือสามารถถนอมอาหารให้อยู่นานได้ คนเราก็ควรที่จะรู้จักถนอมความดี ถนอมความรัก ถนอมน้ำใจไมตรีต่อกัน ด้วยความอดทนและจริงใจต่อกัน รักก็จะเป็นรักนิรันดร์