วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

รู้ทันสื่อ-รู้ทันกลคน

รู้ทันสื่อ-รู้ทันกลคน

ในสังคมที่เสพสื่อเป็นอาหารยามเช้า-เย็น เห็นเป็นเรื่องสามัญประจำวัน ให้ความสำคัญกับกระแส แห่กันพูดแข่งกันวิจารณ์ เรากำลังก้าวสู่ยุค บริโภคสื่อ อย่างเต็มตัวเต็มขั้น แต่ผู้คนก็ยังไร้การกลั่นกรอง ไร้ภูมิต้านทาน รับเอาสายธารข่าวสาร ที่มีเท็จมากกว่าจริง ไร้สำนึกในสำเหนียก เสียงเรียกแห่งจรรยาถูกละเลย กำลังคุกคามสามัญสำนึกของคนในสังคมที่มองเห็นเป็นเรื่องปกติ ความวิปริตพิสดารจึงเต็มบ้านเต็มเมือง เรื่องที่พูดคุยกับมีแต่เรื่องดาราแย่งผัวเปลี่ยนเมีย เลิกลา ย้ายค่ายสับคู่ เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวัน หรือนี่สังคมเราจะเป็นเมือง โซโดมบันเทิง โกโมราเริงรมย์ ไปแล้ว ...

และทำไมข่าวประเภทนี้ ถึงออกมาให้เห็นพลุกพล่านเต็มหน้าสื่อ เพราะเหตุใดคนทั่วไปถึงสนใจเสพข่าวแบบนี้กันมากขึ้น คำตอบที่ง่ายๆก็คือ เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของสังคม ที่ชอบรู้เรื่องของคนมีชื่อเสียง เรื่องของชาวบ้าน เรื่องของคนอื่น เพราะสิ่งนี้จะสร้างคำซุบซิบ นินทา พูดคุยกันได้สนุกปาก ยิ่งในยุคที่สื่อประเภทต่างๆ เกิดการขยาย ค้าขายหากำไรจากสิ่งไร้สาระ ด้วยการเล่าข่าว เพลง ละคร หาคนที่ดูเหมือนจะทรงภูมิมาออกความคิดเห็น เป็นขาประจำ มีแต่ผู้รู้จริงแต่หาได้รู้แจ้ง และที่สำคัญการเข้าถึงสื่อของผู้คนเริ่มง่ายขึ้น หากไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็ยังไปฟังต่อที่วิทยุได้ และหากพลาดอีก ก็ยังไปตามที่โทรทัศน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ ช่องทางการสื่อสารได้เปิดกว้าง จนเดินไปทางไหน ก็ต้องไปชนไปสะดุด หยุดกับข่าวสารประเภทนี้

สื่อมวลชนก็ฉาบฉวย ช่วยเพิ่มกระแสความดัง เพราะจะได้สตางค์เข้ากระเป๋าได้ง่าย แค่เอาเรื่องส่วนตัวมาทำเป็นเรื่องสาธารณะ ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายรายการและตัวผู้ที่ตัวเป็นข่าว ที่ต้องการสร้างกระแส ก็รวมหัวกันหลอกลวง ถึงแม้เรื่องที่ออกมาจะเป็นด้านมืด แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีพื้นที่ข่าวออกมาเลย บางคนก็ใช้การสร้างกระแสด้วยการเล่นกับความรู้สึกของคนทั่วไป สร้างกระแสสังคม สร้างความแปลกใหม่ นี่แหละกลยุทธ์การโฆษณา แนวใหม่ที่เข้ามาแบบแยบยล จนคนทั่วไปตามไม่ทัน อย่างเช่น...

เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการปล่อยคลิปสั้นๆ สร้างความฮือฮา ทำให้เกิดกระแสรุนแรง เป็นภาพนักศึกษาผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี หรือ บีบี ในระหว่างชั้นเรียนที่อาจารย์หญิงกำลังสอนอยู่ มีเสียงเรียกเข้าของข้อความบีบีของนักศึกษาดังตลอดเวลา จนในที่สุดก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า และอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้อง เดินมากระชากโทรศัพท์ และขว้างลงพื้นจนแตกกระจาย

คลิปดังกล่าวสร้างความฮือฮา มีคนเข้าไปดู 1,000,000 ครั้ง ใน YouTube นี่เป็นช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้จากจำนวนครั้งที่มีคนเข้าไปชม 1,000 ครั้ง จะได้ 2 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาภายหลังกระแสเริ่มซา ก็ปรากฏว่า มีการปล่อยคลิปตัวเต็มๆเพื่อเรียกกระแสอีกครั้งในโลกอินเทอร์เน็ต โดยระบุชัดว่า คลิปเขวี้ยงบีบีดังกล่าว ที่แท้เป็นภาพยนตร์โฆษณาอาหารประเภทฟาสต์ฟูดยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกว่าถูกหลอกลวง ถูกแหกตา ถูกสวมเขา คนที่คิดนี้ถือว่าเป็นคนเก่งในแง่ของการทำโฆษณา แต่ถือว่าไร้สำนึกในความเป็นคนอย่างสิ้นเชิง การล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้คนนี่หรือคือจรรยาบรรณของผู้ผลิตสื่อ

แล้วเราจะรู้ทันสื่อได้อย่างไร จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ ขั้นแรกสุดเราต้องรู้จักกลั่นกรอง โดยนำหลักของโสเครติสมาใช้...

โสเครติส (นักปรัชญากรีก) ได้รับยกย่องให้เป็นมหาปราชญ์ วันหนึ่งมีคนรู้จักบังเอิญพบกับนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ และพูดขึ้นว่า คุณรู้อะไรมั๊ย ? ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของคุณมาเรื่องหนึ่ง” “ช้าก่อน...โสเครติสตอบ ก่อนที่ท่านจะบอกข้า ข้าอยากที่จะให้ท่านผ่านการทดสอบสักเล็กน้อย ข้าจะเรียกมันว่า บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น กลั่นกรองสามชั้น?” โสเครติสกล่าวต่อไป ก่อนที่ท่านจะเล่าเรื่องของเพื่อนของข้า มันอาจจะเป็นการดี ที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อกลั่นกรองเรื่องที่ท่านจะพูด และนั่นคือสาเหตุว่า ทำไมข้าจึงเรียกมันว่า บททดสอบตัวกลั่นกรองสามชั้น ตัวกลั่นกรองแรก คือ ความจริง ท่านแน่ใจจริงๆ หรือว่า สิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้นเป็นเรื่องจริง?” เปล่าหรอก... ชายผู้นั้นตอบ อันที่จริง ข้าก็แค่ได้ยินเรื่องนี้มาเท่านั้นเอง แล้วก็... อาเถอะ เอาเถอะ ไม่เป็นไรโสเครติสกล่าวต่อ ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ท่านรู้มาจริง หรือ เท็จ คราวนี้ มาลองทดสอบตัวกลั่นกรองตัวที่สองกันดู ตัวกลั่นกรองที่สอง คือ ความดี เรื่องที่ท่านกำลังจะบอก เป็นเรื่องดี หรือไม่ ?” ไม่ เป็นเรื่องตรงกันข้าม...ถ้าเช่นนั้นโสเครติสกล่าวต่อ ท่านต้องการบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของเขา แต่ท่านไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่อง จริงหรือไม่... ไม่เป็นไร ยังไงเสีย ท่านอาจจะผ่านการทดสอบนี้ก็ได้ เพราะยังเหลือตัวกลั่นกรองอีกหนึ่ง ตัวกลั่นกรองสุดท้ายนี้คือ ความมีประโยชน์ ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรกับข้าหรือไม่ ?”ไม่รู้สิท่าน...คงจะไม่ อื่มมม.... โสเครติสสรุป ถ้าเรื่องที่ท่านจะบอกข้านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องดี และไม่มีประโยชน์ เหตุใดท่านจึงอยากบอกข้าเล่า ?”

ลองใช้ตัวกลั่นกรองทั้งสามตัวนี้ เพื่อเราจะได้รู้ทันสื่อ รู้ทันกลคน เพื่อสร้างภูมิต้านทาน อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่เช่นนั้นเราก็คือเหยื่ออันโอชะ ของการตลาดแนวใหม่อย่างไม่ทันรู้ตัว....

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ซื่อสัตย์-ซื่อตรง

ซื่อสัตย์-ซื่อตรง

จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ในค่ำคืนหนึ่งมีโอกาสได้เปิดโทรทัศน์ดูรายการต่างๆไปเรื่อยๆ ขณะที่กำลังเปลี่ยนไปช่องนั้นช่องนี้ อยู่ๆก็เห็นหน้าเพื่อนเก่าโผล่มาทางทีวี เลยหยุดดู เป็นสารคดีสั้นเรื่องราวที่นำเสนออยู่นั้นก็เคยอ่านพบเจอในหนังสือพิมพ์มาหลายสัปดาห์แล้ว เป็นเรื่องของคุณยายชาวปกาเกอะญอ ยอดกตัญญูที่ทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้ให้โรงพยาบาลที่ตัวเองเคยมารักษาเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว เลยลองหาข้อมูลข่าวย้อนหลังและโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ...

จากข่าวที่ลงไว้มีใจความว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายสิริ เจริญธรรม (เพื่อนผู้เขียน) อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 หมู่ 9 ต.ท่าตอน อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อเข้าพบ น.พ.วัฒนา สินธุนาวา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่ โดยได้นำซองจดหมายที่บรรจุเงิน 3,000 บาท ไปมอบให้ โดยระบุว่าเป็นเงินค่ารักษาพยาบาลของ นางส่าพอ พาคลึ คุณยายชาวปกาเกอะญอ วัย 66 ปีในหมู่บ้านเมืองงาม ต.ท่าตอน อ.แม่อาย ที่เคยติดค้างหนี้กับทางโรงพยาบาลไว้เมื่อ 43 ปี ก่อน

นายสิริ เล่าว่า ในปี 2510 หลังจากนางส่าพอคลอดบุตรสาวได้ป่วยด้วยอาการมดลูกอักเสบ ด้วยความเจ็บปวดและทรมานทำให้ตัดสินใจเดินทางเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แต่เนื่องจากในขณะนั้น ครอบครัวของนางส่าพอมีฐานะยากจนมาก จึงต้องยืมเงินจากเพื่อนบ้านจำนวน 23 บาท เพื่อเป็นค่าเดินทางและค่าอาหาร

หลังจากรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จนอาการดีขึ้น แพทย์จึงอนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน พร้อมแจ้งค่ารักษาพยาบาล แต่นางส่าพอไม่มีเงินจ่าย แพทย์จึงบอกว่าให้กลับบ้านได้มีเงินเมื่อไหร่ค่อยนำมาจ่าย หลังจากเดินทางกลับบ้านนางส่าพอ มีอาการดีขึ้นตามลำดับ กระทั่งสามารถมีบุตรได้อีก 6 คน ระหว่างนั้นก็ได้ประกอบอาชีพรับจ้างและทำสวนผักขายผลผลิตเพื่อเก็บเงินมาชดใช้หนี้

อย่างไรก็ตาม น.พ.วัฒนา ระบุว่า ประวัติการรักษาต่าง ๆ ของนางส่าพอ ปัจจุบันทางเวชระเบียนคงลบไปหมดแล้ว จึงไม่ทราบว่า แพทย์ท่านใดเป็นผู้รักษา และค้างชำระเท่าไหร่ แต่จำนวนเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการช่วยเหลือผู้ป่วย เป็นเรื่องที่โรงพยาบาลทุกแห่งให้ความสำคัญมากที่สุด สำหรับเงินจำนวน 3,000 บาทนี้ จะนำเข้าสมทบกองทุนราชสมาทร เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้รายอื่น ๆ ต่อไป

จากการได้พูดคุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าคุณยายส่าพอเป็นหนี้โรงพยาบาลเท่าไรนั้นจำไม่ได้ แต่คุณยายคิดว่า เงินสามพันบาทคงจะเพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลและดอกเบี้ย เพื่อนยังบอกว่าคุณยายส่าพอ พอใจที่จะมอบเงินก้อนนี้ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง และมีคำๆหนึ่งที่คุณยายส่าพอ ฝากไว้ในรายการโทรทัศน์ที่ได้รับชมในค่ำคืนนั้น เป็นคำที่จำได้อย่างแม่นยำและขอน้อมนำมาฝากผู้อ่านทุกท่าน คุณยายส่าพอพูดไว้ว่า ถ้าจะรวยก็ขอให้รวยอย่างซื่อสัตย์ แต่ถ้าจนก็จงจนอย่างซื่อตรงสุดยอดคุณยาย และที่สำคัญคุณยายเป็นคาทอลิก ผู้ยึดมั่นในพระเจ้า ซื่อสัตย์ในทุกเรื่องตามแบบพระคริสต์ ถึงแม้คุณยายจะอยู่ไกลสุดขอบเขตของสังคม แต่น้ำใจและสิ่งที่คุณยายกระทำ เป็นการย้ำซ้ำเติมเพิ่มให้คนเมืองอย่างเราๆท่านๆ ผู้ที่ละเลย ยกเว้นเรื่องความซื่อสัตย์ ซื่อตรง มาอย่างยาวนานได้เห็นเป็นประจักษ์ แบบอย่างนี้เป็นดังหยดน้ำที่หยาดรดลงในดินทรายแห่งสังคมตัวใครตัวมันนิยม ที่มีแต่ความข่มขืน ฝืนเดินกันไปอย่างไร้ความสุขในหัวใจ แข่งกันใหญ่ สุดท้ายปลายทางก็ได้แค่คำแค่นๆสรรเสริญในงานศพ ....

ผู้ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ในสังคมแห่งการฉาบฉวย ร่ำรวยด้วยตัวเลขในบัญชี ใครดีใครได้ ไร้ความซื่อตรง คดโกง โก่งราคาค่าตัว มีหัวใจแต่ไร้สำนึก ถือว่าความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของคนด้อยค่าในสังคม สาเหตุของความไม่ซื่อสัตย์อย่างหนึ่ง ก็คือ ความหลงอำนาจ เมื่อคนเรามีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจในทางที่ผิดมากขึ้นด้วย เมื่อมีอำนาจก็หลงตน คิดว่าประสบความสำเร็จและสามารถจะทำอะไรก็ได้ มีบ้างบางคนอาจถูกล่อลวงด้วยเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง จนกระทั่งปฏิเสธความซื่อสัตย์ที่มีอยู่ในชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง

ความซื่อสัตย์เป็นบ่อเกิดแห่งความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" เราควรสร้างความประทับใจในลักษณะชีวิตความซื่อสัตย์ของเราด้วยในเส้นทางชีวิตที่เหลืออยู่

ความซื่อสัตย์ต้องเริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าเราจะกระทำอะไร ก็ควรกระทำด้วยความรับผิดชอบ ทำผิดก็ต้องรับผิด อย่าคิดพลิกลิ้น แก้ตัว กลัวอาย การแก้ตัวนั้นในอีกแง่หนึ่ง เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ถึงแม้อาจจะฟังดูดีมีเหตุผล แต่ไม่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและกลับยิ่งเป็นการลดคุณค่าของตัวเองมากยิ่งขึ้น เราจึงควรยอมรับความจริงให้ได้แม้เราผิดพลาดไป มีใครบ้างเล่าไม่เคยพลาดพลั้ง และที่สุด จดจำให้ขึ้นใจว่า การดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจว่าความซื่อสัตย์ที่เราพากเพียรทำไว้นั้นจะสามารถปกป้องเราไว้ได้อย่างแน่นอน คุณยายส่าพอ พาคลึ ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าแล้วในชีวิต เราได้เห็นเป็นตัวอย่าง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า ซื่อสัตย์....

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

มุมงดงาม

มุมงดงาม

ได้เห็นหัวข้อการประกวดถ่ายภาพ มุมงดงาม นามเซนต์หลุยส์ โดยให้นักถ่ายภาพไม่ว่ามือสมัครเล่นหรือมืออาชีพ จะเป็นเด็กหรือผู้ผ่านฟ้าผ่านฝนมาหลายฤดู ก็ สามารถหามุมงดงามของวัดเซนต์หลุยส์ หรือมุมงดงามในนามของกิจกรรมต่างๆที่สัตบุรุษได้มีส่วนร่วมกับวัด วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งก็คือปรารถนาจะให้วัดและพี่น้องมีความสนิทสัมพันธ์ตามแผนงานอภิบาลปี ค.ศ. 2010-2015 ของพระศาสนจักรคาทอลิกประเทศไทย เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศของชุมชนวัด ใครเห็นมุมสวยงามตรงไหนก็ลองกดภาพเก็บบันทึกความประทับใจ แล้วก็ส่งมาให้คณะกรรมการตามที่อยู่ที่ได้มีการประชาสัมพันธ์ได้เลยครับ

ใช่หรือไม่ หากเรามาเข้าวัดเซนต์หลุยส์เป็นประจำ เราก็มักจะมีมุมส่วนตัว ที่นั่งประจำในวัด เฉกเช่น คนข้างวัด ก็มักใช้มุมข้างๆวัดหลังมิสซาในการเฝ้าสังเกตความงดงามของคริสตชนคนเซนต์หลุยส์ที่มีการพัฒนา ทางด้านความเชื่อ ความศรัทธาตลอดมาอย่างไม่ขาดหาย...(ขอใช้เรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง...)

มุมงดงาม นามเซนต์หลุยส์ อันหนึ่งก็คือตัววัดที่มีศิลปะที่สวยงาม ก้อนอิฐแต่ละก้อนถูกยึดโยงเป็นแผ่นกำแพงที่แข็งแรง แสดงถึงความสามัคคีของผู้คนที่ร่วมกันเป็นหนึ่ง แสงที่ผ่านกระจกสีเขียวอ่อนสะท้อนความอบอุ่นเมื่อได้เข้ามารับพร เข้ามาขอบพระคุณพระเจ้า จั่วที่รองรับหลังคาวัด เป็นเส้นนำจิตใจยกขึ้นหาพระผู้สร้างเบื้องบน พระแท่นเด่นเป็นสง่า คือ ศูนย์รวมจิตใจของคนนับร้อยในแต่ละรอบมิสซา เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน ผู้ติดตรึงตายบนกางเขนเพื่อเรา ทุกครั้งทุกคนย่อมเห็นพระองค์กางพระกร มอบการอภัย ให้ความรักแก่ทุกผู้คนที่ได้เข้ามาหาพระองค์

มุมงดงามในนามของผู้เป็นศิษย์พระคริสต์ ได้เห็นความอบอุ่นของผู้คนในทุกรอบมิสซา มุมที่ฟังแก้บาป เห็นหลายคนเดินเข้าไปสารภาพบาปน้อมรับความผิด ผลิตความงามออกมาบนใบหน้าเมื่อพระสงฆ์อภัยบาปให้ เห็นหลายครอบครัวมาพร้อมเพรียง พ่อแม่ลูก บ้างก็ยังมีปู่ย่าตายายร่วมขบวนนั่งฟังมิสซา ความงดงามที่เห็นเด็กๆเข้าวัด แม้ซุกซนบ้างตามประสา แต่นี่คือการวางรากฐานให้เขาเติบใหญ่ในบรรยากาศแห่งชุมชนคาทอลิก ให้มีใจที่ยึดโยงอยู่กับวัดกับวา เห็นความงามของหลายคนมอบสันติสุขให้กันด้วยการโอบกอด หอมแก้ม ลูกหอมแก้มพ่อแม่ พ่อแม่หอมแก้มลูก หลายคนหันมาไหว้อย่างงดงามพร้อมส่งรอยยิ้มให้กัน (ในรอบสิบโมงยังมีกลุ่มที่ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารให้ผู้บกพร่องทางประสาทสัมผัสบางอย่างได้มีโอกาสรับรู้พระธรรมคำสอน) เห็นมุมงามยามหลังพิธีมิสซา ตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนถามทุกข์สุขกัน มีลานมีมุมดื่มกาแฟ เพื่อดื่มด่ำกับความสุขในการเสวนาพาที มีมุมเก็บออมในนามของกลุ่มเครดิตยูเนียน มุมกิจกรรมการเรียนคำสอนของผู้ใหญ่และกลุ่มต่างๆที่หมุมเวียนมาพบปะกันในทุกวันอาทิตย์ ภาพเหล่านี้คือมุมงดงามที่พบเห็นได้ไม่ยากในเขตวัดของเรา

พูดถึงเรื่องของการถ่ายภาพ ในอีกแง่มุมหนึ่งมันคือการบันทึกประวัติศาสตร์ เคยพูดกับหลายคนว่า ภาพที่เราถ่ายๆกันในวันนี้ หากวันเวลาผ่านไปเป็นทศวรรษ เป็นศตวรรษ บังเอิญอนุชนคนรุ่นหลังเกิดมาค้นพบภาพๆนี้ เขาก็จะเรียนรู้วิถีชีวิตของคนรุ่นเราได้ และหากว่ามุมที่เราถ่ายบันทึกไว้คือมุมที่งดงาม ย่อมบอกให้โลกได้รู้ว่าในช่วงเวลาแห่งชีวิตเราบนโลกนี้มีความงดงาม สวยงาม ไม่แพ้ยุคใดสมัยใด เป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติ เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น

และในวิถีชีวิตนอกรั้วนอกเขตชายคาวัด มีอะไรเป็นมุมงดงามบ้างไหม.... มุมงดงามเกิดขึ้นได้จากจิตใจที่งดงามเช่นกัน ใช่หรือไม่ ความงดงามตามแบบวัฒนธรรมไทย ประสมประสานกับพระธรรมคำสอนในการรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง นั่นคือความเอื้ออาทรต่อกัน ความงดงามอันนี้วันนี้ได้หดหายไปจากสังคมไทย แล้วเช่นนี้เราจะเก็บบันทึกมุมงดงามอันใดเล่าไว้ให้ลูกหลาน วันนี้เรามักทำตัวให้ยิ่งใหญ่ ทำตัวให้ดูแข็งแรง บางครั้งการใช้เพียงสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า ความเมตตาอารี ที่มีให้กันบ้าง ก็เป็นสิ่งที่จะเปิดและนำพาสังคมไทยให้พบพานกันความสงบสันติได้ หยุดอวดใหญ่ อวดเบ่ง เร่งสร้างมุมที่งดงามให้เหลือทิ้งไว้ จารึกไว้ในแผ่นดินกันบ้างก็จะดีไม่น้อย..

กุญแจที่แข็งแรงดอกหนึ่งคล้องประตูใหญ่ ก้านเหล็กซี่หนึ่งพยายามอย่างยากเย็น ยังงัดแงะเปิดไขมันไม่ได้ ....ลูกกุญแจมาแล้วครับ ร่างอันผอมเล็กของมัน มุดชอนไชไปในรูกุญแจ แค่บิดหมุนเบาๆ กุญแจดอกใหญ่ก็เปิดออกดังกริ๊ก

ก้านเหล็กถามด้วยความประหลาดใจว่า ข้าออกแรงมากมายยังเปิดไม่ออก ทำไมเจ้าไขมันได้อย่างง่ายดายเล่า!!!”

ลูกกุญแจบอกว่า เพราะข้ารู้ใจมันที่สุดน่ะซิ

หัวใจของคนเราในวันนี้ถูกคล้องโซ่ใส่กุญแจแน่นหนาเอาไว้ ต่อให้จะใช้แท่งเหล็กใหญ่ขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะทำลายความยโสของโซ่ตรวนแห่งจิตใจนี้ได้ มีแต่ความเอื้ออาทร ที่จะเป็นดั่งลูกกุญแจเรียวเล็ก ผ่านไปไขจิตใจที่ปิดล็อคดวงนั้นให้เปิดออก เพื่อพบกับแสงสว่างและสันติสุขได้ นี่คือมุมที่งดงามที่สุดของเราคนไทย ที่เรามองข้ามมันไปอย่างน่าเสียดาย แต่คงไม่เสียเวลาเกินไปที่เราจะกลับหลังหันมาสร้างมุมที่งดงามมุมนี้ เก็บบันทึกไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้.....

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

โลกสวนทาง

โลกสวนทาง

มีคำพูดหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้สึกสะอึกเล็กน้อยถึงปานกลาง คำพูดนั้นก็คือ คนไทยสมัยนี้เลี้ยงลูกไม่เป็น เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติเลยทีเดียว ถึงขั้นว่าแค่เด็กคนหนึ่งเก็บที่นอนตัวเองได้ ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่สมัยนี้แล้ว เที่ยวเอาไปคุยไปอวดสามวันเจ็ดคืน เมื่อเห็นแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ก็แค่เก็บที่นอนเป็นนี่นะ และถ้ายิ่งกวาดบ้านถูบ้านเป็น มิจัดส่งเข้าประกวดนางงามเลยหรือ ใช่..ยุคสมัยเปลี่ยนวิถีครรลองในชีวิตก็ย่อมเปลี่ยน แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือ คนรุ่นใหม่บางครั้ง ก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆส่วนตัวยังทำไม่ได้ และจะหวังให้ทำเพื่อส่วนรวมได้ไง.. ใช่อีกแหละหลายสิ่งหลายอย่างก็มาจากการสั่งสอนอบรมของคนรุ่นเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลายครั้ง หลายหน หลายวิธีการที่เราได้รับการสั่งสอนมา หรือที่เรากำลังสั่งสอนเด็กๆลูกๆหลานๆเราอยู่นั้น หากมาลองย้อนดูกันให้ดีๆ มีบางสิ่งบางอย่างขัดแย้งกับหลักหมายปลายทางของคำสั่งสอนนั้น ใช่หรือไม่ การสอนให้เด็กรู้จักจิตสาธารณะ รู้จักเสียสละ โดยมีคะแนนและรางวัลเป็นผลกำนัล นำมาซึ่งการแข่งขันกันทำเพื่อได้หน้าได้ตาในวันที่ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราจึงเห็นคนจำนวนไม่น้อยลอยหน้าลอยตาแข่งขันกันทำงานสาธารณะ ทุ่มสุดตัวทำบุญเพื่อหวังได้รับเข็มเชิดชู เพื่อได้รับขั้นได้รับการเลื่อนยศ

การให้เด็กเก็บแต้มสะสมการทำความดีเพื่อให้มีจำนวนมากครั้ง ก็เป็นการสอนให้เราเดินเข้าสู่กองกิเลสด้วยมีความดีเป็นใบเบิกทางชั้นยอด การสั่งสอนประเภทนี้เป็นอันตรายต่อสังคม ยิ่งในยุคสมัยใหม่นี้ที่ทำทุกอย่างต้องมีผลตอบแทน ย่อมต้องมีการคำนวณค่างวด ค่าใช้จ่ายในทุกเรื่องที่ทำในชีวิต อันไหนมีกำไรจึงจะทำ อันไหนไม่ได้รับการกล่าวขาน ละเลยการยกย่องก็ยกยอดให้คนอื่นดำเนินการ ความเสียสละในส่วนรวมก็ลดน้อยถอยลงไป

ซ้ำร้ายกว่านั้นวิธีการที่ทำอะไรต้องมีการเก็บสะสมคะแนนอาจจะเป็นที่มาของกลโกงที่แยบยล เป็นที่มาของการสะสมอย่างไม่พอ กอบโกยโดยมิรู้อิ่ม เป็นที่มาของการว่าใส่ร้าย นินทาด่ากราดเปิดโปง จ้องทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างโหดเหี้ยม โดยใช้ความยุติธรรมนำหน้า นี่เป็นความโหดร้ายขั้นพื้นฐานของสังคม ที่กำลังกระทำต่อกันทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว

แล้วสิ่งใดเล่าที่จะทำให้เรายืนอยู่ในโลกสวนทางเช่นนี้ได้อย่างองอาจ อย่างเต็มภาคภูมิ สิ่งแรกต้องรู้จักที่จะยึดโยงจุดหมายหลัก ประเด็นใหญ่ ต้องสร้างความเข้าใจให้กับสำนึกของแต่ละคน อธิบายถึงเนื้อหาสาระของสิ่งที่สั่งสอนให้ผู้กระทำอย่างชัดเจนถึงแก่น อย่าเพียงบอกผ่านแค่วิธีการ ไม่เช่นนั้นแล้ว...เรากำลังสอนคนให้เป็นโจรอย่างไม่รู้ตัว....

มีโจรลักเล็กขโมยน้อยผู้หนึ่ง ลักขโมยของตั้งแต่เล็ก โจรกรรมจนถึงอายุห้าสิบปี เป้าหมายของเขาคือเศรษฐีในวงสังคมชั้นสูง เข้าๆออกๆคุกคุมขังอย่างกับเข้าร้านสะดวกซื้อที่ชื่อเลขเจ็ดนำหน้า ตลอดเวลายี่สิบกว่าปี เวลานี้เขาได้ตัดสินใจล้างมือเลิกทำความผิดอย่างมุ่งมั่น และที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นคนดังได้ออกสื่อ

ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ซักถามเขาว่า

ระหว่างที่คุณเป็นหัวขโมย ลักขโมยเงินทองมากมายถึงเพียงนี้ เศรษฐีรายใดได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด?

โจรผู้กลับใจตอบด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งว่า

ผู้ที่ถูกโจรกรรมมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น คือตัวข้าเอง บางทีถ้าหากข้าขยันขันแข็ง อาจเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ แต่แล้วข้าเลือกอาชีพหัวขโมย ทิ้งชีวิตกว่าครึ่งชีวิตไว้ในเรือนจำ ฉะนั้นข้าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด

ในชีวิตประจำวัน เราก็มักเข้าใจเอาเองว่าตัวเราได้เปรียบผู้อื่นอยู่มากมายหลายขุม เราเก่ง เรามีดีกว่าคนอื่นอยู่หลายช่วงตัว ก่อให้เกิดความละโมบโลภมากต่อผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ แต่ขณะเดียวกัน ใช่หรือไม่ เราก็ได้สูญเสียหลายอย่างไปในชีวิตเช่นกัน สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีที่เกิดมาต้องกระทำเพื่อผู้อื่น เราสูญเสียจิตบริสุทธิ์ในวันแรกเกิดที่ไร้อาภรณ์ติดตัว เราสูญเสียความรักความเมตตาที่เราถูกส่งผ่านมารุ่นต่อรุ่นแต่มาหยุดตรงรุ่นเรา เราสูญเสียความสุขอันเป็นนิรันดร์เพียงเพื่อแลกกับความสะดวกเพียงชั่วข้ามวันพ้นคืน

โลกมีสองทาง ย่อมสวนทางให้เดินได้เสมอ และไม่ว่าเราจะกำลังเดินอยู่บนหนทางข้างใด หากเรามีใจที่พร้อมรู้ จิตที่สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราย่อมรู้ว่าทุกสรรพสิ่งสร้างบนโลกนี้ถูกสร้างมาเพื่อทุกผู้คน แต่มันคงไม่พอเพียงสำหรับผู้ที่ชอบสะสมเพียงคนเดียว แม้กระทั่งวันเวลาของชีวิตเรา แท้จริงมันไม่ได้เป็นของเรา เราเป็นเพียงผู้ดูแล เป็นผู้รักษา ฉะนั้นแล้วอย่าได้ยึดโยง ยึดครอง สะสม เพราะชีวิตไม่ใช่มีไว้ให้เก็บคะแนนสะสมแต้ม ชีวิตนี้มีไว้ให้กันและกัน มีไว้ให้เพื่อผู้อื่นในนามของความเสียสละ นี่คือผู้ที่เป็นศิษย์พระคริสต์ที่แท้จริงต้องปฏิบัติตาม...