วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อุทิศตนข่มท่าน

อุทิศตนข่มท่าน

ในถนนสายชีวิตสายนี้ เดินทางมาก็หลายป้าย มีบ้างที่ลงแวะเวียนเยี่ยมเยียน มีบ้างที่มองเห็นแล้วก็เลยผ่านไป แต่มีอยู่ป้ายหนึ่งซึ่งเห็นแล้วสะดุดใจ จนทำให้ต้องแวะพัก เพื่อที่จะทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป้ายนี้ ป้ายที่เราเรียกว่าการอุทิศตน ซึ่งออกมาในนามของการเสียสละ ในนามของการรับใช้ โดยจุดมุ่งหมายในตัวมันเอง โดยแก่นสารแล้วนี่คือสิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลผู้ครองคุณธรรมควรที่จะต้องแวะเวียนเป็นประจำ แต่....อดที่จะแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นสภาพป้ายแห่งนี้เปลี่ยนไปจากจุดเดิมอย่างน่าใจหาย มีผู้คนมากหน้าหลายตา ดูแล้วทรงภูมิด้วยคุณธรรมกันทั้งนั้น ต่างก็กำลังอุทิศตน เสียสละ รับใช้ส่วนรวม เมื่อสัมผัสนานวันเข้า เป้าหมายที่คนเหล่านั้นยึดโยงหาได้อยู่ที่ส่วนรวมไม่ แต่ทำไปเพื่อสร้างหน้าตา สร้างภาพ สร้างบารมีให้กับตัวเอง ทำไมความงดงามอีกอย่างหนึ่งของโลกถูกแปรรูปไปเสียสิ้น!!!

หลายคนในสังคม วันนี้กำลังหลงใหลไปกับรูปเงาของความมีชื่อเสียงและทำงานเอาหน้าได้ตา อยากได้ผลต่างตอบแทนกันเป็นส่วนใหญ่ พยายามที่จะเสียสละ แต่เบื้องหลังกลับแฝงเร้นเพื่อยกระดับให้ผู้อื่นได้ยกย่องชมเชย ทำให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นคนในสายตาของทุกคน ประมาณว่าหากที่นี่ขาดฉันเป็นอันถึงจุดสิ้นสลาย คนที่ปิดทองหลังพระ เสียสละอย่างเงียบๆ อุทิศตนเพื่อผู้อื่นโดยหลุดพ้นจากตัวตนไม่ใคร่มีให้เห็น ทั้งนี้ก็คงเกิดมาจากวัฒนธรรมของโลกยุคพลวัตร ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนกระทั่งภูมิต้านทานที่เรียกว่ามโนสำนึกก็ต้านไม่อยู่ ไม่สนใจใส่ใจตรองใจในสิ่งที่ทำลงไป เพราะได้หลอกลวงตัวเองเอาไว้แล้วว่านี่ คือ การอุทิศตน
มองเห็นหลายคนที่เป็นเช่นนั้นแล้ว ใจหนึ่งก็เคยคิดว่าเขาหรือเธอคิดกันได้อย่างไร ช่างกล้าหาญที่จะกระทำ ไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่ามีอีกหลายคนที่เฝ้ามองแล้วละอาย เอียนในน้ำใจที่ข้นคลัก ยังกล้าลอยหน้าลอยตากระทำย่ำยีความรู้สึกของผู้อื่นด้วยความรู้สึกแสนดีส่วนตัว วัฒนธรรมแบบนี้เริ่มมาจากไหนหนอ อยากจะย้อนกลับไปสู่ต้นปม ใช่หรือไม่ บางอย่างก็คนเรานี่แหละสร้างวัฒนธรรมอุทิศตนข่มท่านกันขึ้นมา โดยมีนัยยะแห่งผลประโยชน์ส่วนตนเคลือบแฝง
ข้อแอบอ้างที่เนียนที่สุดคือทุกสิ่งที่ทำไปก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้น เริ่มต้นจากการพยายามให้ตัวเองเป็นที่สนใจของสาธารณะ สร้างภาพให้ผู้คนคุ้นชิน สร้างภาวะว่ารู้จักคนใหญ่คนโต สร้างบารมีด้วยเสียงที่ดังเข้าข่ม สร้างความเกรงขามด้วยภูมิความรู้และหลักวิชาการ หยิบยกทฤษฎีโน่นโยงทฤษฎีนี้จนผู้ฟังผู้พบเห็นคล้อยตาม และต้องทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงเทียบเท่าเขาหิมาลัย นำเปลือกนอกมาห่มหุ้มด้วยเครื่องแต่งกายที่ล้ำสมัย (ยังไม่เห็นศีรษะของผู้อื่นเลย) และที่สุดไม่ว่าจะงานอะไรต้องฉันเท่านั้นที่เป็นผู้ริเริ่ม ฉันเท่านั้นต้องเป็นประธานหัวโต๊ะ ถ้าเรื่องไหนที่ไม่มีฉันเกี่ยวข้องฉันจะนิ่งไม่เสนอและไม่รับสนอง เพราะฉันเท่านั้นที่ได้อุทิศตนมาแล้วเพื่อสิ่งนี้ นอกเหนือจากนี้ชิ่งได้เป็นชิ่ง นิ่งไม่ได้ก็ขัดแข้งขัดขารอวันที่เห็นผู้อื่นล้ม ฉันจะได้สวมใส่ชุดซุปเปอร์แมนทันที
การอุทิศตนข่มท่านนั่นก็คือ การมีความอยากเด่น อยากดัง อยากเป็นคนสำคัญ ทำความดีทั้งทีโลกต้องจารึก แท้จริงแล้วการทำความดีไม่ว่าที่ไหน จะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ คุณค่าของมันอยู่ที่ความดีที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่อาศัย มนุษย์เราตั้งมาตรวัดจนเคยชิน เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องอุทิศตน เรื่องการเสียสละก็ยังพยายามหาเกณฑ์มาวัด ก็เลยเป็นช่องทางที่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยแอบอ้างสร้างทางให้ตัวเอง เดินไปให้ผู้อื่นได้สรรเสริญ
การอุทิศตน การเสียสละที่แท้จริงนั้น คือ เราต้องไม่คิดว่าการกระทำนั้นจะมารับรอง มาสนอง มารับใช้ตัวเราเอง ถ้าหากว่าผู้คนจะชื่นชม จะยกย่อง จะสรรเสริญ ก็ให้ชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญในคุณความดีที่ปรากฏ หาใช่ชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญผู้กระทำไม่ และอีกประการเราต้องไม่ใช้ความดีที่เรากระทำไปชำเราผู้อื่นด้วยการยกตนข่มท่าน ทำความดีแล้วดูถูกดูแคลนผู้อื่น สร้างความดีในความระทมของผู้อื่น สิ่งนั้นคงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความดีโดยสิ้นเชิง
การมีจิตใจที่อ่อนน้อม อ่อนโยน เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำความดีที่ไร้สิ่งเคลือบแคลง ในโลกยุคที่แข่งขันกันในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการทำความดียังถูกตีค่าให้มีการแข่งขัน จิตใจ จิตวิญญาณของผู้คนจึงออกมาแข็งกระด้าง ถ้าสังคม จะมีความสุข ทำไมเราไม่สร้างสันติสุขในจิตใจเรากันก่อน สร้างความสุขให้เกิดขึ้นด้วยความอ่อนโยน อ่อนหวาน มีรอยยิ้มประดับใบหน้า อย่าได้ใส่หน้ากากที่แยกเขี้ยวเข้าหากัน จากนั้นก็อุทิศความสุขของตน ให้ความรักความงดงามในชีวิตเราให้ผู้อื่นที่อยู่รอบกาย ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง ยึดโยง เป็นใยแมงมุม ด้วยสายใยแห่งรักและอารี ให้ความสำคัญของสายใยทุกเส้นเท่าเทียมกัน โดยมีพระคริสตเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางและยกสายใยแห่งความดีนี้ เพื่อเยียวยาสังคมให้กลับมามีชีวิตชีวาที่งดงามอีกครั้ง ใยเราต้องตะโกนขอความสุขคืนมาด้วยเล่า... ป้ายนี้เราควรข้ามผ่านไปได้แล้วมิใช่หรือ หรือว่ายังจะมีใครอยากอยู่ป้ายนี้ต่อไป ระวังจะเป็นคนสุดท้ายที่ตกขบวนแห่งความสุขสันตินะครับ เพราะมัวแต่หลงประเด็นเห็นการอุทิศตนข่มท่านเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าแสวงหา ....

ไม่มีความคิดเห็น: