วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุขนั้นสั้นนัก

สุขนั้นสั้นนัก

ในระหว่างกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับเพื่อน ด้วยความสงสัยว่าทำไมทั้งเราและเพื่อนคนนั้น มักจะเหลือลูกชิ้นเอาไว้กินตอนท้ายเสมอ ก็ยิงคำถามไปยังเพื่อนว่า “ทำไมถึงชอบที่จะเก็บลูกชิ้นไว้กินตอนหลัง” เพื่อนก็บอกว่า “สงสัยติดมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆแล้วมั้ง เก็บลูกชิ้นไว้กินหลังสุด มันคือความอร่อยสุดยอด” และยังเล่าต่อว่า บางครั้งบางหนยังเจอเพื่อนสัปดนหลอกให้หันไปทางอื่นและลูกชิ้นนั้นก็ถูกขโมยเขมือบไป สร้างความคับแค้นใจเป็นยิ่งนัก

แต่ถ้าหากเราลองมองในมุมที่เราโตเป็นผู้ใหญ่กันบ้าง ใช่หรือไม่ ในชามก๋วยเตี๋ยวนั้นสิ่งที่เราชอบที่สุดคือลูกชิ้น เราก็เลือกที่จะเก็บของอร่อยที่สุด ที่ถูกปากที่สุด เพื่อที่จะเก็บกินเคี้ยวความสุขนั้นหลังจากทุกอย่างผ่านไปแล้ว...
ในหนทางชีวิตจริง ในหนทางการทำงาน ในหนทางการเรียนรู้ เรามักที่จะทำอะไรๆที่เราชอบก่อนเสมอ ขอให้พบกับความสุขก่อน และเมื่อช่วงความสุขผ่านพ้นไป เวลาที่เหลือเราจึงจำยอมจำใจจำจองอยู่กับความระทมขมขื่นเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเวลาของความสุขของคนเรานั้นสั้นนัก เราจึงค้นคว้าแสวงหาความสุขจอมปลอมมาเสพกันจนติดหนึบ นับวันก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น
ความสุขจอมปลอมที่มากับความเจริญเติบโตของสินค้าและการบริการ ทำให้เราหลงลืม ละเลย ที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ สถาบันครอบครัวและชุมชนก็อ่อนแอลง นำมาสู่ปัญหาการแก่งแย่งแข่งขัน ความเครียด ความก้าวร้าว ความเกลียดชัง ที่เพิ่มขึ้นจนนำมาสู่ความรุนแรง หากเรากลับมาย้อนดูว่าความสุขนั้นสั้น เราก็ควรที่จะเก็บทะนุถนอมความสุขให้คงอยู่กับเราให้นานๆ เพื่อจะได้มีเวลาสัมผัสกับความสุขสันต์อันงดงามให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่หลงลืมความเป็นจริงที่ว่าปลายสุดแห่งความทุกข์คือความสุข และจุดสิ้นสูญของความสุขคือการเริ่มต้นแห่งความทุกข์ครั้งใหม่ ที่เราต้องอยู่ต้องสู้กับมัน เพื่อจะได้พบกับความสุขในครั้งต่อๆไป จนกว่าเราจะพบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ในวันสุดท้ายปลายชีวา จงดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุขแต่ไม่หลงใหลได้ปลื้มกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวบนโลกใบนี้
มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง มีความคิดในใจตลอดเวลาว่าจะเดินทางเสาะแสวงหาความสุข เพราะเชื่อว่าคงมีสักแห่งในโลก จะเป็นที่ที่มีแต่ความสุขความสมบูรณ์ จากการที่ได้อ่านหนังสือตำรับตำรามามากมาย เห็นบ้านเมืองอื่นสวยงาม น่าอยู่อาศัย อยู่มาปีหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นจึงเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ทำความฝันให้เป็นความจริง
วันหนึ่งระหว่างทางเขาได้มีโอกาสแวะพักค้างแรม ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองต่างแดน และได้พบกับนักพรตรูปหนึ่ง เขาได้ปรารภถึงความลำบากยากแค้นของตนเองและความปรารถนาที่จะค้นหาแหล่งที่มีแต่ความสุขให้นักพรตฟัง เมื่อนักพรตฟังจบ ก็ล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหมอนที่ทำจากกระเบื้องออกมายื่นให้บัณฑิตหนุ่มผู้นั้น พลางกล่าวว่า“ยามที่ท่านนอนหลับ ให้หนุนหมอนใบนี้ แล้วฝันของท่านจะกลายเป็นจริง”
เมื่อถึงยามวิกาล เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มต้มข้าวต้มเตรียมไว้สำหรับอาหารรอบดึก ส่วนบัณฑิตผู้นั้นก็ล้มตัวลงนอนหนุนหมอนที่นักพรตให้มา และหลับไปโดยเร็วข้างๆนักพรตที่กำลังพูดคุยกับเจ้าของโรงเตี้ยม แล้วเขาเริ่มฝัน....
ในความฝันนั้นเขาได้กลับไปยังบ้านเกิด หลายเดือนต่อมาก็ได้ตบแต่งภรรยาที่สวยหมดจดงดงามนางหนึ่ง อีกทั้งฐานะก็ยังมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกสุขใจยิ่งนัก ไม่นานจากนั้นเขาก็สอบเข้ารับราชการได้ และมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นเป็นลำดับ จนขึ้นเป็นถึงเสนาบดี อยู่ในตำแหน่งต่อมาอีกกว่า 10 ปี มีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน ทุกคนล้วนรับราชการและประสบความสำเร็จ จากนั้นยังมีหลานอีกหลายสิบคน กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในแผ่นดิน จากนั้นเมื่อย่างเข้าวัยชรา อายุ 80 ปี เขาก็เริ่มป่วยหนัก ทุกข์ทรมาน ดูแล้วคงต้องลาโลกนี้เป็นแน่แท้...ยามนั้นเขาจึงตกใจตื่นขึ้นมา!!!! ถึงทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนฝันไป
และเมื่อเขาลุกขึ้นมาสำรวจดู เจ้าของโรงเตี้ยมยังต้มข้าวไม่ทันสุกดี เขาจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก จึงเอ่ยว่า “นี่ก็เป็นเพียงความฝันใช่หรือไม่?” นักพรตจึงตอบว่า “ชีวิตมนุษย์แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ความสุขนั้นสั้นแม้ความฝันจะยาวไกล”
บัณฑิตหนุ่มจึงเกิดความรู้แจ้งว่าชีวิตมนุษย์เป็นเช่นความฝัน ไม่มีสิ่งใดจริงแท้ยั่งยืน เขาจึงตัดสินใจไม่เดินทางต่อเพื่อเสาะหาความสุข ทว่าเดินทางกลับบ้านเกิด
หากว่าเราฝากความสุขไว้กับวัตถุมากเกินไปใจเราก็ไม่สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ คนที่สมบูรณ์แบบคือคนที่สามารถที่จะยืนอยู่บนความทุกข์ได้อย่างเบิกบาน และไม่หลุดลอยไปกับช่วงเวลาแห่งความสุข ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล ความสุขนั้นอยู่ในตัวเรา แบ่งปันความสุขสั้นๆของเราให้กับผู้อื่น และความสุขสันต์อันเปรมปรีดิ์ก็จะขยายวงกว้างออกไป และยาวนานยิ่งขึ้น จนเราสามารถที่จะเก็บเกี่ยวความสุขนั้นให้อยู่ในจิตใจเราอีกสิบสองกระบุงเต็มๆ....

ไม่มีความคิดเห็น: