วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รายจ่ายของชีวิต

รายจ่ายของชีวิต

ในชีวิตของเราบางครั้งบางหนก็มักเจอเรื่องที่เกินคาดอยู่เสมอๆ หนึ่งในเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆก็คือเรื่องฟุตบอลโลก ที่คิดว่าอย่างไงๆก็คงจะได้รับชมอย่างเต็มอิ่ม เท่าที่เรี่ยวแรงจะพอไหว เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การรับชมรายการโทรทัศน์ของสังคมไทยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นแผงรับสัญญาณโทรทัศน์ตามตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด บางที่บางแห่งก็ดูรกรุงรัง แต่วันนี้บนดาดฟ้าหลังคาเรือน กลับเต็มไปด้วยจานสีต่างๆมากมาย จานที่ไม่ได้เอาไว้ใส่ข้าว แต่เป็นจานเพื่อรับสัญญาณดาวเทียม ที่สามารถรับรายการโทรทัศน์ได้จากทั่วโลก เช่นนี้แล้วการรับชมฟุตบอลโลกที่สี่ปีจะมีครั้ง คงเป็นความสุขหรรษาของคนคอกีฬา แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ากลางจานดาวเทียม เมื่อจู่ๆก็มีประกาศว่าจะมีการล็อกสัญญาณดาวเทียมในช่องที่มีการถ่ายทอดฟุตบอล เพราะติดเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอด ความสุขหรรษา ถูกปัญหาเรื่องธุรกิจเทคโอเวอร์ การรับชมต้องกลับสู่สามัญด้วยการหาหนวดกุ้งบ้าง ดัดแปลงเสารับสัญญาณจากไม้แขวนเสื้อ จากช้อนซ้อมบ้าง เพื่อให้ได้รับชม แม้บางช่องบางคู่จะดูได้ จาก 22 คนทั้งสองข้าง กลายเป็น 44 คน เพราะคลื่นแทรกซ้อน

ฟุตบอลโลก2010 ครั้งนี้เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 19 เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่หยุดมวลมนุษยโลกครึ่งค่อนโลกให้เฝ้าดูเฝ้าชมคนเตะลูกกลมๆ เป็นความสุขรวมหมู่ของเราชาวโลก นี่เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ชาติจากทวีปแอฟริกาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

กลับมาพูดถึงคนไทยที่ได้รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติต่างถิ่น ผ่านทางการสื่อสารที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ใช่หรือเปล่า เราก็ยังมีวัฒนธรรมไทยที่ฝังอยู่ในสายเลือดคือ สังคมไทยที่อาศัยอยู่ในระบบอุปถัมภ์มาอย่างช้านาน และเมื่อเราเดินทางไหลเข้าสู่ทุนนิยม บางครั้ง บางเรื่อง เราก็ปรับตัวกันไม่ได้ ในหลายประเทศการรับชมรายการโทรทัศน์ผู้ชมก็ต้องจ่ายค่าดูค่าชม เพื่อเป็นทุนรอนให้ผู้ผลิต โดยไม่ต้องไปอาศัยระบบโฆษณาเกินจริง ระบบโทรทัศน์บ้านเราเป็นฟรีทีวีที่ทำกำไรจากการขายโฆษณาสินค้า ที่เก็บราคาเกินจริงหลายเท่าตัว เพื่อเอาผลต่างไปจ่ายให้ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ ดูเหมือนผู้ชมจะดูฟรีๆ ที่ไหนได้เรากลับต้องจ่ายแพงเวลาซื้อสินค้า ฟุตบอลโลกครั้งนี้จึงกลายเป็นเกมแห่งธุรกิจที่คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะจ่ายค่าความบันเทิงกันบ้าง.....

ชีวิตเราในแต่ละชั่วโมง แต่ละวัน ก็คือ รายจ่าย เพื่อแลกกับการได้เห็นคุณค่า เพื่อแลกกับการได้มาของจิตวิญญาณที่สูงส่ง...ชีวิตมนุษย์ในแต่ละชีวิต ไม่ว่ารวยหรือจน โง่หรือฉลาด ดีหรือชั่ว ต่างเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้ด้วยกันทั้งนั้น การใช้จ่ายชีวิต เพื่อสู่ความสมบูรณ์ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้จ่ายอย่างไร!!!! บางราย บางคน ก็ทำให้คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเองสูญหาย หมดเกลี้ยงไป เนื่องจากความพยายามที่จะจ่ายออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทรัพย์สมบัติ ชนิดที่ไม่สนใจว่าอะไรคือนรก อะไรคือสวรรค์...ชีวิตทุกชีวิตล้วนแล้วแต่มีคุณค่าด้วยกันทั้งสิ้น แต่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภและตัณหา ที่มักชอบวัดความแตกต่างด้วยความรวย ความจน จึงทำให้ชีวิตบางชีวิตกลับเป็นอะไรที่ไร้คุณค่า

การจ่ายรายทางชีวิตของเรา บางครั้งก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา บางครั้งก็เพื่อซื้อเก็บไว้เป็นบทเรียน เป็นความทรงจำ ชีวิตของคนเราล้วนมีปัญหาเกิดขึ้นและต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นปัญหาที่เล็กน้อย กระทั่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเรารู้จักและเข้าใจการดำเนินชีวิต ยอมลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง ยอมที่จะนิ่งกันบ้าง ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายรายทางของชีวิต เพื่อเราจะได้ใกล้ชิดความสันติสุข แล้วปัญหาที่มีอยู่ย่อมมีทางคลี่คลายลงได้ ความสุขก็จะบังเกิด

ความสุขที่อยู่ใกล้ๆ ถือว่าเป็นความสุขที่เรียบง่ายแต่งดงามในความทรงจำของการได้มีชีวิตอยู่ แต่เราก็มักจะมองข้ามไป และเที่ยวไขว่คว้าหาความสุขจากรายจ่ายของชีวิตที่เกินตัว จ่ายกระทั่งวิญญาณหลงผิด รายจ่ายหนึ่งซึ่งเราควรที่จะลองทำดูนั่นคือ การปรับทัศนคติของชีวิต รู้จักปรับความเห็นในมุมที่เป็นบวก เรายอมรู้จักที่จะคัดเลือกสิ่งดีให้กับตัวเอง เป็นรายจ่ายที่คุ้มเกินคุ้ม

ชีวิตย่อมมีรายจ่ายเสมอ ดูฟุตบอลโลก บางครั้งบางทีมที่รัก ทีมที่เชียร์ ต้องพ่ายแพ้ ก็รู้สึกผิดหวังก็ถือว่าเป็นรายจ่ายหนึ่งของชีวิต เพื่อให้เราได้บทเรียนว่า การพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตรู้สึกแย่เสมอไป เพราะหากเคยได้รับแต่ชัยชนะเพียงอย่างเดียว เราย่อมไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งของความผิดหวัง ใช่หรือเปล่า... เมื่อความผิดหวังเข้ามาเยี่ยมเยือน ย่อมทำให้เราทุกข์ระทมจากภาวะที่พ่ายแพ้นั้น แต่หากเราเรียนรู้ที่จะแพ้บ้างในบางโอกาสที่เหมาะสม เพื่อยอมรับที่จะแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้น เมื่อชัยชนะใหม่มาครอบครอง เราย่อมรู้จักรสชาติชองความสมหวังอย่างอิ่มเอมและนี่แหละรายจ่ายของชีวิตเพื่อชีวิตที่ดีกว่า.....

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไม่มีซอยตัน

ไม่มีซอยตัน

เวลาที่ต้องนัดหมายไปในต่างที่ที่ไม่คุ้นเคย เราก็มักจะเกิดอาการวิตกเป็นกังวลว่าจะไปถูกไหม!!! จะไปถึงตามเวลานัดหมายหรือเปล่า แม้ว่าในบางครั้งบางหนคนที่นัดหมายจะส่งแผนที่ ส่งที่อยู่ ชื่อถนน ชื่อซอยมาให้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม ก็เพราะความอัจฉริยะของคนคิดเรื่องเลขที่กำกับซอยนั่นเอง ที่มักทำ ให้เราสับสนและหลงทาง เลขที่ซอยซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแยกเป็นเลขคู่และเลขคี่ แต่เลขที่ซอยมักจะไม่อยู่ตรงข้ามกัน เช่น ซอยที่ 39 ควรที่จะอยู่ตรงข้ามกับ ซอย 40 แต่ในความเป็นจริงฝั่งตรงข้ามอาจจะเป็น ซอย 44 หรือ 34 ก็ได้ ก็เพราะระยะห่างของซอยไม่เท่ากัน บางซอยก็ถี่อยู่ติดๆกัน ก็มีหลายซอยที่ใช้ /1 /2 เพิ่มเข้าไปอีก งงไปเลย... แต่ที่ต้องทึ่งไปกว่านั้นเคยเจอมาอยู่เสมือนว่าข้างหน้านั้นเป็นซอยตันแน่ๆ พอเข้าไปเรื่อยๆกลับมีทางเล็กๆช่องน้อยๆให้ลัดเลาะสู่ถนนใหญ่

บางครั้งในหนทางชีวิตก็เหมือนกับเรา กำลังเดินเข้าไปในซอยที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นชิน ไม่มีทางรู้เลยว่าซอยที่เดินอยู่จะพาเราไปไหน อาจจะหลงทางพลัดถิ่นเดินเข้าไป ยิ่งเดินก็ยิ่งลำบาก ยิ่งเหนื่อย แต่ก็ยังคงเดินต่อไป ลองเดินเข้าไปเรื่อยๆ จะย้อนกลับก็เสียดายเวลาที่เดินเข้ามาไกล เดินไปเดินมาเห็นทางตันก็เริ่มหมดหวัง หมดแรงขับเคลื่อน พาลจะทรุดพาลจะล้มลงให้ได้ การเดินเข้าซอยในลักษณะนี้เป็นการเดินที่ไม่รู้ว่าสุดซอยปลายทางคืออะไร ถ้าหากว่าเรารู้สิ่งที่เรากำลังเดินไปหา เดินไปพบนั้น คือความหวัง คือสิ่งที่เรานัดพบ คือสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุข เราก็มีแรง มีความมุ่งมั่นที่จะเดินไปอย่างมั่นคง
ชีวิตของหลายคนเหนื่อยเปล่าโดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางเราคืออะไร บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราคือใคร!!!! เกิดมาเพื่ออะไร!!! ดำเนินชีวิตแบบวันต่อวัน นาทีต่อนาที หาได้ใช้คุณค่าแห่งสรรพชีวิตให้เกิดดอกงอกงามตามวิถีผู้คนชนประเสริฐ ..
ชีวิตของอีกหลายคนก็เร่งรีบเกิน ไป เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ไม่มีความทรงจำ ไม่มีร่องรอยจารึกให้จดจำ ไปให้ถึงซึ่งจุดหมายที่พยายามเก็บสะสม ทำแต้ม เพิ่มผลผลิตผลกำไรจนเกินความจำเป็น แล้ววันหนึ่งเมื่อหมดแรง เข้า-ออกซอยเดิมแต่ขาดการเพิ่มเติม ขาดสีสัน ความขยันเกินเหตุ ก็เป็นเหตุในล้มกลางซอย หรือเจอซอยตันก็งันงงไปต่อไม่เป็น สุดท้ายก็ล้มลงตรงกลางซอยก็มากมี...
ใช่หรือไม่ การเดินในซอยแห่งชีวิตอาจจะต้องพบเจอทางแคบบ้าง ถูกสุนัขไล่งวดบ้าง ถูกคนไล่ตะเพิดส่งบ้าง ไถ่ถามคนข้างทางเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมาย มีบ้างบางครั้งเจอซอยตัน แต่สำหรับคนที่แข็งแรง และเรียนรู้สิ่งรอบกายอย่างชาญฉลาดก็จะหาทางออกพบ หรือไม่ก็กลับหลังเดินออกจากซอยตันด้วยทางที่เดินเข้ามา นี่ไงชีวิตจึงไม่มีซอยตัน ถ้าหากเดินให้เป็น
และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเวลาไปทางไหน ซอยไหน ที่ที่เราไม่ค่อยเคยไป ในความรู้สึกระหว่างเดินทางดูมันไกลแสนไกล แต่ในทางไหนซอยไหนที่เราคุ้นชิน การเดินทางดูจะใกล้และแสนสั้น หากเปรียบเทียบกับการใช้เวลาในแต่ละวัน วันไหนที่ได้กระทำในสิ่งที่ชอบ ในสิ่งที่ใช่ วันนั้นย่อมผ่านไป เวลาหมดและหดหายไปอย่างรวดเร็ว ลองวันไหนต้องกระทำในสิ่งที่เกลียด ในสิ่งที่ขัดเคืองใจแต่จำเป็นต้องทำ นาฬิกากับสายตาเราจะเป็นเพื่อนสนิทสนมกันทันที ดูแล้วดูอีก อยากให้ผ่านวันนี้ไปเร็วๆ แต่ยิ่งเร่งก็ดูเหมือนจะยิ่งช้า
อีกประการหนึ่ง การเดินทางเข้าซอยหากเรามีเพื่อนที่รู้ใจร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ต่อให้ซอยลึกและเปลี่ยวแค่ไหนก็ไม่มีหวั่น มีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขก็เดินไปไหนมาไหนก็เบิกบาน ถึงซอยตันฉันเพื่อนก็รวมหัวกันคิดหาทางออกจนเจอ และเช่นกันหากว่าวันไหนครั้งใดต้องเดินร่วมทางกับคนที่เบื่อหน้า เหม็นตา ขาแข้งมันจะหมดแรงไปตั้งแต่ปากทางเข้าซอย ยิ่งเดินไปด้วยกันยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถึงซอยตีบทางตันก็ตัวใครตัวมันหาทางออกกันเอาเอง
ใช่หรือไม่ วันนี้เราก็มักพลัดหลงเข้าไปเดินร่วมซอยกับผู้อื่น และเราก็เลือกที่จะเกลียดชังกันในขณะที่จะต้องร่วมทางเดินกัน เราจะมีความสุขไหมในวันนี้
ใช่หรือไม่ วันนี้เราอาจจะต้องมานั่งร่วมในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์กับผู้ที่เรารู้สึกไม่ชอบหน้า รู้สึกโกรธเคือง และความศักดิ์สิทธิ์อยู่แห่งไหนเล่า
ใช่หรือไม่ วันนี้เราต้องอยู่ในซอยที่ชื่อสังคมไทยด้วยกันกับคนต่างความคิด ต่างอุดมการณ์ แต่ยังไงเราก็ต้องเดิน ต้องผ่านทางนี้ ซอยนี้ เราจะทำอย่างไร ต่างคนมุ่งหน้าเดินไปโดยไม่เลียวแลดูไม่พูดคุยกันอย่างนั้นหรือ ใช่...ซอยนี้คงจะไกลแสนไกล คงจะน่าเบื่อ และที่สุดก็ต้องมาถึงสุดทางที่ตีบตัน แล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป จะแย่งกันเบียดตัวให้ตังเองรอดก่อน หรือว่า หันหน้ามาคุยกัน ปรึกษากัน และที่สุดอาจจะร่วมกันเดินกลับไปยังจุดเริ่มต้นซอย เพื่อหาซอยใหม่ที่สวยงาม กว้างขวางกว่าเพื่อก้าวเดินต่อไป ไปให้สุดซอยโดยมีความฝันร่วมกันที่ปลายซอยแห่งใหม่นี้ ที่ชื่อว่าซอยแห่งสันติ เราก็แค่ผู้ต่ำต้อยที่ได้มีโอกาสมาเดินเหยียบย่ำอยู่บนพื้นโลกที่งดงามของพระเจ้า และเราจะไม่ทิ้งความดีงามไว้บ้างหรือ เพื่อให้โลกนี้งดงามดังเดิม....

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อุทิศตนข่มท่าน

อุทิศตนข่มท่าน

ในถนนสายชีวิตสายนี้ เดินทางมาก็หลายป้าย มีบ้างที่ลงแวะเวียนเยี่ยมเยียน มีบ้างที่มองเห็นแล้วก็เลยผ่านไป แต่มีอยู่ป้ายหนึ่งซึ่งเห็นแล้วสะดุดใจ จนทำให้ต้องแวะพัก เพื่อที่จะทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป้ายนี้ ป้ายที่เราเรียกว่าการอุทิศตน ซึ่งออกมาในนามของการเสียสละ ในนามของการรับใช้ โดยจุดมุ่งหมายในตัวมันเอง โดยแก่นสารแล้วนี่คือสิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลผู้ครองคุณธรรมควรที่จะต้องแวะเวียนเป็นประจำ แต่....อดที่จะแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นสภาพป้ายแห่งนี้เปลี่ยนไปจากจุดเดิมอย่างน่าใจหาย มีผู้คนมากหน้าหลายตา ดูแล้วทรงภูมิด้วยคุณธรรมกันทั้งนั้น ต่างก็กำลังอุทิศตน เสียสละ รับใช้ส่วนรวม เมื่อสัมผัสนานวันเข้า เป้าหมายที่คนเหล่านั้นยึดโยงหาได้อยู่ที่ส่วนรวมไม่ แต่ทำไปเพื่อสร้างหน้าตา สร้างภาพ สร้างบารมีให้กับตัวเอง ทำไมความงดงามอีกอย่างหนึ่งของโลกถูกแปรรูปไปเสียสิ้น!!!

หลายคนในสังคม วันนี้กำลังหลงใหลไปกับรูปเงาของความมีชื่อเสียงและทำงานเอาหน้าได้ตา อยากได้ผลต่างตอบแทนกันเป็นส่วนใหญ่ พยายามที่จะเสียสละ แต่เบื้องหลังกลับแฝงเร้นเพื่อยกระดับให้ผู้อื่นได้ยกย่องชมเชย ทำให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นคนในสายตาของทุกคน ประมาณว่าหากที่นี่ขาดฉันเป็นอันถึงจุดสิ้นสลาย คนที่ปิดทองหลังพระ เสียสละอย่างเงียบๆ อุทิศตนเพื่อผู้อื่นโดยหลุดพ้นจากตัวตนไม่ใคร่มีให้เห็น ทั้งนี้ก็คงเกิดมาจากวัฒนธรรมของโลกยุคพลวัตร ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนกระทั่งภูมิต้านทานที่เรียกว่ามโนสำนึกก็ต้านไม่อยู่ ไม่สนใจใส่ใจตรองใจในสิ่งที่ทำลงไป เพราะได้หลอกลวงตัวเองเอาไว้แล้วว่านี่ คือ การอุทิศตน
มองเห็นหลายคนที่เป็นเช่นนั้นแล้ว ใจหนึ่งก็เคยคิดว่าเขาหรือเธอคิดกันได้อย่างไร ช่างกล้าหาญที่จะกระทำ ไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่ามีอีกหลายคนที่เฝ้ามองแล้วละอาย เอียนในน้ำใจที่ข้นคลัก ยังกล้าลอยหน้าลอยตากระทำย่ำยีความรู้สึกของผู้อื่นด้วยความรู้สึกแสนดีส่วนตัว วัฒนธรรมแบบนี้เริ่มมาจากไหนหนอ อยากจะย้อนกลับไปสู่ต้นปม ใช่หรือไม่ บางอย่างก็คนเรานี่แหละสร้างวัฒนธรรมอุทิศตนข่มท่านกันขึ้นมา โดยมีนัยยะแห่งผลประโยชน์ส่วนตนเคลือบแฝง
ข้อแอบอ้างที่เนียนที่สุดคือทุกสิ่งที่ทำไปก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้น เริ่มต้นจากการพยายามให้ตัวเองเป็นที่สนใจของสาธารณะ สร้างภาพให้ผู้คนคุ้นชิน สร้างภาวะว่ารู้จักคนใหญ่คนโต สร้างบารมีด้วยเสียงที่ดังเข้าข่ม สร้างความเกรงขามด้วยภูมิความรู้และหลักวิชาการ หยิบยกทฤษฎีโน่นโยงทฤษฎีนี้จนผู้ฟังผู้พบเห็นคล้อยตาม และต้องทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงเทียบเท่าเขาหิมาลัย นำเปลือกนอกมาห่มหุ้มด้วยเครื่องแต่งกายที่ล้ำสมัย (ยังไม่เห็นศีรษะของผู้อื่นเลย) และที่สุดไม่ว่าจะงานอะไรต้องฉันเท่านั้นที่เป็นผู้ริเริ่ม ฉันเท่านั้นต้องเป็นประธานหัวโต๊ะ ถ้าเรื่องไหนที่ไม่มีฉันเกี่ยวข้องฉันจะนิ่งไม่เสนอและไม่รับสนอง เพราะฉันเท่านั้นที่ได้อุทิศตนมาแล้วเพื่อสิ่งนี้ นอกเหนือจากนี้ชิ่งได้เป็นชิ่ง นิ่งไม่ได้ก็ขัดแข้งขัดขารอวันที่เห็นผู้อื่นล้ม ฉันจะได้สวมใส่ชุดซุปเปอร์แมนทันที
การอุทิศตนข่มท่านนั่นก็คือ การมีความอยากเด่น อยากดัง อยากเป็นคนสำคัญ ทำความดีทั้งทีโลกต้องจารึก แท้จริงแล้วการทำความดีไม่ว่าที่ไหน จะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ คุณค่าของมันอยู่ที่ความดีที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่อาศัย มนุษย์เราตั้งมาตรวัดจนเคยชิน เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องอุทิศตน เรื่องการเสียสละก็ยังพยายามหาเกณฑ์มาวัด ก็เลยเป็นช่องทางที่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยแอบอ้างสร้างทางให้ตัวเอง เดินไปให้ผู้อื่นได้สรรเสริญ
การอุทิศตน การเสียสละที่แท้จริงนั้น คือ เราต้องไม่คิดว่าการกระทำนั้นจะมารับรอง มาสนอง มารับใช้ตัวเราเอง ถ้าหากว่าผู้คนจะชื่นชม จะยกย่อง จะสรรเสริญ ก็ให้ชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญในคุณความดีที่ปรากฏ หาใช่ชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญผู้กระทำไม่ และอีกประการเราต้องไม่ใช้ความดีที่เรากระทำไปชำเราผู้อื่นด้วยการยกตนข่มท่าน ทำความดีแล้วดูถูกดูแคลนผู้อื่น สร้างความดีในความระทมของผู้อื่น สิ่งนั้นคงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความดีโดยสิ้นเชิง
การมีจิตใจที่อ่อนน้อม อ่อนโยน เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำความดีที่ไร้สิ่งเคลือบแคลง ในโลกยุคที่แข่งขันกันในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการทำความดียังถูกตีค่าให้มีการแข่งขัน จิตใจ จิตวิญญาณของผู้คนจึงออกมาแข็งกระด้าง ถ้าสังคม จะมีความสุข ทำไมเราไม่สร้างสันติสุขในจิตใจเรากันก่อน สร้างความสุขให้เกิดขึ้นด้วยความอ่อนโยน อ่อนหวาน มีรอยยิ้มประดับใบหน้า อย่าได้ใส่หน้ากากที่แยกเขี้ยวเข้าหากัน จากนั้นก็อุทิศความสุขของตน ให้ความรักความงดงามในชีวิตเราให้ผู้อื่นที่อยู่รอบกาย ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง ยึดโยง เป็นใยแมงมุม ด้วยสายใยแห่งรักและอารี ให้ความสำคัญของสายใยทุกเส้นเท่าเทียมกัน โดยมีพระคริสตเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางและยกสายใยแห่งความดีนี้ เพื่อเยียวยาสังคมให้กลับมามีชีวิตชีวาที่งดงามอีกครั้ง ใยเราต้องตะโกนขอความสุขคืนมาด้วยเล่า... ป้ายนี้เราควรข้ามผ่านไปได้แล้วมิใช่หรือ หรือว่ายังจะมีใครอยากอยู่ป้ายนี้ต่อไป ระวังจะเป็นคนสุดท้ายที่ตกขบวนแห่งความสุขสันตินะครับ เพราะมัวแต่หลงประเด็นเห็นการอุทิศตนข่มท่านเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าแสวงหา ....

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุขนั้นสั้นนัก

สุขนั้นสั้นนัก

ในระหว่างกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับเพื่อน ด้วยความสงสัยว่าทำไมทั้งเราและเพื่อนคนนั้น มักจะเหลือลูกชิ้นเอาไว้กินตอนท้ายเสมอ ก็ยิงคำถามไปยังเพื่อนว่า “ทำไมถึงชอบที่จะเก็บลูกชิ้นไว้กินตอนหลัง” เพื่อนก็บอกว่า “สงสัยติดมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆแล้วมั้ง เก็บลูกชิ้นไว้กินหลังสุด มันคือความอร่อยสุดยอด” และยังเล่าต่อว่า บางครั้งบางหนยังเจอเพื่อนสัปดนหลอกให้หันไปทางอื่นและลูกชิ้นนั้นก็ถูกขโมยเขมือบไป สร้างความคับแค้นใจเป็นยิ่งนัก

แต่ถ้าหากเราลองมองในมุมที่เราโตเป็นผู้ใหญ่กันบ้าง ใช่หรือไม่ ในชามก๋วยเตี๋ยวนั้นสิ่งที่เราชอบที่สุดคือลูกชิ้น เราก็เลือกที่จะเก็บของอร่อยที่สุด ที่ถูกปากที่สุด เพื่อที่จะเก็บกินเคี้ยวความสุขนั้นหลังจากทุกอย่างผ่านไปแล้ว...
ในหนทางชีวิตจริง ในหนทางการทำงาน ในหนทางการเรียนรู้ เรามักที่จะทำอะไรๆที่เราชอบก่อนเสมอ ขอให้พบกับความสุขก่อน และเมื่อช่วงความสุขผ่านพ้นไป เวลาที่เหลือเราจึงจำยอมจำใจจำจองอยู่กับความระทมขมขื่นเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเวลาของความสุขของคนเรานั้นสั้นนัก เราจึงค้นคว้าแสวงหาความสุขจอมปลอมมาเสพกันจนติดหนึบ นับวันก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น
ความสุขจอมปลอมที่มากับความเจริญเติบโตของสินค้าและการบริการ ทำให้เราหลงลืม ละเลย ที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ สถาบันครอบครัวและชุมชนก็อ่อนแอลง นำมาสู่ปัญหาการแก่งแย่งแข่งขัน ความเครียด ความก้าวร้าว ความเกลียดชัง ที่เพิ่มขึ้นจนนำมาสู่ความรุนแรง หากเรากลับมาย้อนดูว่าความสุขนั้นสั้น เราก็ควรที่จะเก็บทะนุถนอมความสุขให้คงอยู่กับเราให้นานๆ เพื่อจะได้มีเวลาสัมผัสกับความสุขสันต์อันงดงามให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่หลงลืมความเป็นจริงที่ว่าปลายสุดแห่งความทุกข์คือความสุข และจุดสิ้นสูญของความสุขคือการเริ่มต้นแห่งความทุกข์ครั้งใหม่ ที่เราต้องอยู่ต้องสู้กับมัน เพื่อจะได้พบกับความสุขในครั้งต่อๆไป จนกว่าเราจะพบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ในวันสุดท้ายปลายชีวา จงดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุขแต่ไม่หลงใหลได้ปลื้มกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวบนโลกใบนี้
มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง มีความคิดในใจตลอดเวลาว่าจะเดินทางเสาะแสวงหาความสุข เพราะเชื่อว่าคงมีสักแห่งในโลก จะเป็นที่ที่มีแต่ความสุขความสมบูรณ์ จากการที่ได้อ่านหนังสือตำรับตำรามามากมาย เห็นบ้านเมืองอื่นสวยงาม น่าอยู่อาศัย อยู่มาปีหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นจึงเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ทำความฝันให้เป็นความจริง
วันหนึ่งระหว่างทางเขาได้มีโอกาสแวะพักค้างแรม ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองต่างแดน และได้พบกับนักพรตรูปหนึ่ง เขาได้ปรารภถึงความลำบากยากแค้นของตนเองและความปรารถนาที่จะค้นหาแหล่งที่มีแต่ความสุขให้นักพรตฟัง เมื่อนักพรตฟังจบ ก็ล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหมอนที่ทำจากกระเบื้องออกมายื่นให้บัณฑิตหนุ่มผู้นั้น พลางกล่าวว่า“ยามที่ท่านนอนหลับ ให้หนุนหมอนใบนี้ แล้วฝันของท่านจะกลายเป็นจริง”
เมื่อถึงยามวิกาล เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มต้มข้าวต้มเตรียมไว้สำหรับอาหารรอบดึก ส่วนบัณฑิตผู้นั้นก็ล้มตัวลงนอนหนุนหมอนที่นักพรตให้มา และหลับไปโดยเร็วข้างๆนักพรตที่กำลังพูดคุยกับเจ้าของโรงเตี้ยม แล้วเขาเริ่มฝัน....
ในความฝันนั้นเขาได้กลับไปยังบ้านเกิด หลายเดือนต่อมาก็ได้ตบแต่งภรรยาที่สวยหมดจดงดงามนางหนึ่ง อีกทั้งฐานะก็ยังมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกสุขใจยิ่งนัก ไม่นานจากนั้นเขาก็สอบเข้ารับราชการได้ และมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นเป็นลำดับ จนขึ้นเป็นถึงเสนาบดี อยู่ในตำแหน่งต่อมาอีกกว่า 10 ปี มีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน ทุกคนล้วนรับราชการและประสบความสำเร็จ จากนั้นยังมีหลานอีกหลายสิบคน กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในแผ่นดิน จากนั้นเมื่อย่างเข้าวัยชรา อายุ 80 ปี เขาก็เริ่มป่วยหนัก ทุกข์ทรมาน ดูแล้วคงต้องลาโลกนี้เป็นแน่แท้...ยามนั้นเขาจึงตกใจตื่นขึ้นมา!!!! ถึงทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนฝันไป
และเมื่อเขาลุกขึ้นมาสำรวจดู เจ้าของโรงเตี้ยมยังต้มข้าวไม่ทันสุกดี เขาจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก จึงเอ่ยว่า “นี่ก็เป็นเพียงความฝันใช่หรือไม่?” นักพรตจึงตอบว่า “ชีวิตมนุษย์แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ความสุขนั้นสั้นแม้ความฝันจะยาวไกล”
บัณฑิตหนุ่มจึงเกิดความรู้แจ้งว่าชีวิตมนุษย์เป็นเช่นความฝัน ไม่มีสิ่งใดจริงแท้ยั่งยืน เขาจึงตัดสินใจไม่เดินทางต่อเพื่อเสาะหาความสุข ทว่าเดินทางกลับบ้านเกิด
หากว่าเราฝากความสุขไว้กับวัตถุมากเกินไปใจเราก็ไม่สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ คนที่สมบูรณ์แบบคือคนที่สามารถที่จะยืนอยู่บนความทุกข์ได้อย่างเบิกบาน และไม่หลุดลอยไปกับช่วงเวลาแห่งความสุข ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล ความสุขนั้นอยู่ในตัวเรา แบ่งปันความสุขสั้นๆของเราให้กับผู้อื่น และความสุขสันต์อันเปรมปรีดิ์ก็จะขยายวงกว้างออกไป และยาวนานยิ่งขึ้น จนเราสามารถที่จะเก็บเกี่ยวความสุขนั้นให้อยู่ในจิตใจเราอีกสิบสองกระบุงเต็มๆ....