วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความดีก็มีกาฝาก

ความดีก็มีกาฝาก

นึกอยู่นานเลยทีเดียวว่าต้นไม้ต้นเล็กๆที่เกาะเกี่ยวอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ในพงไพรพนาป่าเขานั้นเขาเรียกว่าอะไร จนกระทั่งคำว่า กาฝาก ได้หลุดลอยล่องออกมาจากคลังสมองอันน้อยนิด และที่คิดถึงกาฝากก็เพราะว่าสิ่งที่เล็กๆน้อยๆที่เรียกว่ากาฝากนี้แหละ สามารถโค่นต้นไม้ใหญ่ลงได้ กาฝากมันมาจากการที่นกกาเก็บกินผลไม้ที่มีเมล็ด จากนั้นมันก็ถ่ายเมล็ดเล็กๆนั้นไว้บนต้นไม้ ตามกก กอ กิ่ง ก้าน ของต้นไม้ เมื่ออากาศเหมาะ อาหารพร้อมเมล็ดมันก็เริ่มแตก รากน้อยๆซอกซอนหาน้ำหาอาหาร แหย่ลงไปตามรอยผลิแตกของเปลือกไม้ เมื่อได้ทีมันก็ดูดซับน้ำและอาหารจากท่อธารในต้นไม้ใหญ่นั้นๆ และเติบโตโดยอาศัยคนอื่นตลอดไป ต้นไม้เล็กๆเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่า ต้นกาฝาก

พอนำมาเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตผู้คน ผู้ใดที่เกาะเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตัวเองงอกงาม และไม่สามารถที่จะทำได้ดีเทียบเท่ากับผู้ที่เราเกาะเกี่ยวไว้ คนแบบนี้เค้าก็เรียกว่า พวกกาฝากสังคม และสังคมไหนที่มีกาฝากมาก สังคมนั้นก็จะเสื่อมลงๆ หากมองดูแล้วในยุคสมัยของเรา ใช่หรือไม่ กาฝากคงมีเต็มบ้านเต็มเมือง เราถึงพบเห็นความเสื่อมอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง

แม้แต่ในวิถีชีวิตของแต่ละคนที่พยายามเดินไปบนหนทางแห่งความดีงาม ไม่มากก็น้อยย่อมมีกาฝากเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว มันคืออะไร มันคือภารกิจในนามของความดี มีบ่อยครั้งไปที่แฝงเร้นไปด้วยกองกิเลส ทำดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์คนเดียวไม่ได้สนใจคนรอบด้าน รอบข้าง หรือหนักสักหน่อยประเภททำดีเอาหน้า ทำดีเพื่อสร้างบารมี ทำดีเพื่อสร้างสถิติและทำดีเพื่ออวดอ้างได้ออกสื่อ

ในนามของการกระทำความดีของหลายคนก็ติดบ่วง ติดหล่มเช่นนี้ เป็นกาฝากที่เริ่มงอกเงยในต้นไม้แห่งความดี และแน่ละ ขึ้นชื่อว่าการทำดีย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามและน่าสรรเสริญยกย่อง แต่ถ้าล้ำเส้นแห่งความพอดี ความดีนั้นอาจจะกลายเป็นความโอ้อวดและแสดงความยโสโอหัง แบบไม่อินังขังขอบอะไรทั้งสิ้น

และเราจะทราบได้อย่างไรเล่าว่าในนามของการกระทำดีนั้น เป็นความดีโดยบริสุทธิ์ สิ่งสำคัญก็คือ ในความดีนั้นต้องมีความอ่อนโยน มีความเมตตาอาทรอยู่ด้วยเสมอ หากไร้สิ่งเหล่านี้มันก็แค่การแสดงออกซึ่งความดี ที่มิได้ออกมาจากจิตวิญญาณ หลายครั้งการทำความดีของเรากลายเป็นที่สะดุด เป็นการสร้างรอยด่างในจิตใจของผู้อื่น

ยุคสมัยที่เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นผู้อื่นเป็นเพียงบริวารหรือตัวสำรอง ทุกคนจึงเห็นแต่ความดีของตัวเอง และละเลยชื่นชมในการกระทำความดีของผู้อื่น ยิ่งทุกวิถีชีวิตของผู้คนยืนอยู่บนผลประโยชน์ด้วยแล้ว คนไหนที่ไม่สามารถสร้างมูลค่า สร้างผลประโยชน์ให้ได้แล้วต่อให้ทำดีแทบตาย ทำดีด้วยหัวใจที่เกินร้อย ก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ค่าทันที กลายเป็นส่วนเกินขององค์กร กลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามในสังคม การที่ทุกผู้คนมีวัฒนธรรมทำดีต้องมีสิ่งตอบแทนเยี่ยงนี้มักนำมาซึ่งความล่มสลายทางคุณธรรมและจริยธรรมที่คนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ปลูกฝังมา

ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี คงเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับชีวิตของเราบนเส้นทางแห่งโลกนี้ หลายคนในสังคมวันนี้ทำดีจนเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นแรงศรัทธา เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ และเมื่อเคลิ้มไปกับศรัทธาของผู้คนจนทำให้หลงตัวเอง ทุกสิ่งที่ทำมานั้นดีหมด ใครจะมาขัด ใครมาบอกกล่าวตักเตือนไม่ได้ การเป็นบุคคลเช่นนี้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ร่มเงาให้สรรพสิ่งทั้งหลายได้พึ่งพา แต่แล้วในต้นไม้นั้นมีกาฝากอยู่เต็มไปหมด ไม่นานต้นไม้นั้นก็ตาย คนเราก็เป็นเช่นนั้นคิดว่าความดีที่เราทำนั้นยิ่งใหญ่ แต่ลืมมองดูและลืมกำจัดกาฝากที่แฝงอยู่ในความดี ในรูปของกิเลสกองเล็กๆ ไม่เคยสำรวจตรวจสอบวงจรแห่งการทำดี ระเริงได้ปลื้มไปกับมัน ไม่นานความดีที่ทำนั้นก็ตายลง ทั้งๆที่ผลของความดีควรจะปรากฏ แต่กลับกลายเป็นความดื้อรั้น กลายเป็นความอยากเด่นอยากดังปรากฏขึ้นมาแทน...

คนเราเกิดมามีสิ่งหนึ่งที่ตามมา คือ มโนธรรม จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการพยายามฝึกฝน พูดคุยกับมโนธรรม หมั่นสำรวจตรวจสอบทุกการกระทำด้วยมโนธรรมแห่งตน สิ่งที่เป็นความดีงามที่สมบูรณ์นั้น คือ การทำเพื่อผู้อื่น การทำด้วยใจที่ไร้ข้ออ้าง ข้อแม้ ข้อเรียกร้อง และต้องฟังเสียงมโนธรรมก่อนกระทำในทุกกิจการ นั่นแหละเราถึงจะก้าวพ้นและสลัดกาฝากที่แอบแฝงมาในการทำความดีได้ ใช้มโนธรรมนำการทำความดี หาใช่ให้มโนธรรมเป็นเครื่องรองรับการกระทำความดี

พระศาสนจักรมีเวลาให้เราสำรวจตรวจสอบ ไตร่ตรองมโนธรรมของเราในเทศกาลมหาพรต และให้ก้าวออกมาถือธงมโนธรรมนำหน้ากระทำความดีงาม โดยที่ความดีนั้นมุ่งสู่ผู้อื่น ใช้ความดี ความเมตตาอาทร บำบัดจิตใจของเราและรับใช้ ช่วยเหลือผู้อื่น สวรรค์นั้นไม่ใช่ของเราคนเดียว สวรรค์นั้นเป็นสวนสาธารณะของคนทำดีที่ไม่มีกาฝากแอบอิงพิงอยู่ แล้วเราจะก้าวไปถึงพร้อมๆกันได้หรือเปล่า.....

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รักที่จะยิ้ม

รักที่จะยิ้ม

ในชีวิตของคนเราไม่มากก็น้อยมักต้องพบเจอภาวะวิกฤติ เกิดเรื่องให้ทุกข์ยากเข็ญใจ ให้ต้องปวดหัว ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มักจะเกิดเรื่องเกิดราวซ้ำๆซ้อนๆ เรื่องนี้ยังไม่ทันสงบเรื่องนั้นก็ผุดขึ้นมา นี่แหละ...กางเขนที่เราต้องเรียนรู้ที่จะแบก เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์นั้น และเข้าใจในความเป็นไปเป็นมาของวงจรชีวิต ใช่หรือไม่ ทุกผู้คนในโลกมีใครบ้างที่สุขตลอดเวลาหรือมีใครบ้างที่ทุกข์ได้ทั้งชีวิต มันก็ต้องมีคละเคล้า เป็นเงาตามติดชีวิตเราไป แต่เราจะอยู่กับทุกข์ จ่อมจมไปกับมันตลอดหรือ การแก้ความทุกข์ก็เป็นความสุขอีกแบบหนึ่งมิใช่หรือ

ในโลกเรานี้กองทุกข์มีมากล้น ความสุขยิ่งไพศาล ชีวิตหนึ่งชีวิต ใยต้องไปวิ่งชนกับกองความทุกข์เล่า ไม่ช้าก็เร็วมันก็วิ่งเข้ามาหาเราเอง

ความทุกข์อีกชนิดหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนบางคน ความทุกข์ที่ถูกกล่าวหา ถูกข่มเหงในนามของการกระทำความดี ถ้าหากข้ามก้าวผ่านไปได้ ความสุขแท้จริงย่อมบังเกิดกับผู้นั้น แต่ในยุคสมัยที่คนยิ้มยาก จะหาใครสักกี่คนที่จะทานทนต่อแรงเสียดสี แรงริษยา แรงอิจฉานินทาเหล่านี้ได้

ความสุขของสังคมจะเกิดขึ้นได้ถ้าเรายังยิ้มให้กันได้อย่างอิสระ ยิ้มอย่างเต็มใจไม่เก้อเขิน ในความกระด้างแข็งแห่งสังคมยุคใหม่ สามารถทำลายลงได้ด้วยความอ่อนโยนแห่งรอยยิ้ม ผลิปากยิ้มดีกว่าเผยอปากเย้ยหยันกัน สันติสุขในสังคมคงเริ่มผลิตดอกออกผล ใช่หรือไม่ ในวันตรุษจีนมักจะมีขบวนแห่สิงโตที่ใหญ่บ้างเล็กบ้างก็ว่ากันไป แต่จะมีอีกสิ่งหนึ่งนำหน้าขบวนสิงโต คือ แป๊ะยิ้ม มองในมุมหนึ่งนี่เป็นปรัชญาที่คนรุ่นก่อนทิ้งให้เราได้ขบคิด เอายิ้มนำหน้าสิงห์ก็จะกลายเป็นสิ่งนำโชค นำความสุขมาให้

มีท่านเจ้าอาวาสในวัดแห่งหนึ่ง ท่านเป็นคุณพ่อที่ยิ้มง่าย และยิ้มได้ทุกสถานการณ์ ผู้คนที่พบเห็นจึงขนานนามคุณพ่อท่านนั้นว่า คุณพ่อยิ้ม ในเวลาที่ลูกวัดมาหาท่านก็จะยิ้มต้อนรับทุกคน ทุกเวลา ทำให้คนที่เข้าหาเต็มไปด้วยความสบายใจไปตามๆกัน และรอยยิ้มของท่าน เป็นรอยยิ้มที่ร่าเริง ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำ มิใช่ยิ้มแบบแหยๆ เป็นยิ้มที่มีรักและเมตตามอบให้ทุกผู้คน

แต่แล้วความทุกข์ก็เข้ามาเยี่ยมเยือนจนได้ เมื่อวันหนึ่ง คณะกรรมการวัดหรือสภาภิบาลวัด เกิดเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรง เพื่อจัดเตรียมงานฉลองตรุษจีน และไม่สามารถหาข้อสรุป ข้อยุติตกลงกันได้ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง และต่างฝ่ายต่างเริ่มแรงร้อนด้วยอารมณ์อยากอยู่เหนือความคิดคนอื่น จนเริ่มจะบานทั้งต้นและปลาย

คุณพ่อยิ้มนั่งฟังอย่างสงบ ครุ่นคิด เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน เมื่อทุกฝ่ายเห็นคุณพ่อยิ้มยืนขึ้น ทุกคนเริ่มเงียบแล้วฟังว่าท่านจะว่าอย่างไร คุณพ่อยิ้มอย่างเต็มใจ ยิ้มอย่างมีความสุข และเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ที่ดูยังไงๆก็ไม่เกี่ยวกับงานนี้เลย คุณพ่อยิ้มเล่าว่า

มีอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสามคน กำลังนั่งคิดกันว่าจะมอบอะไรให้เป็นของขวัญแก่คุณแม่ของพวกเขา ลูกชายคนโตกล่าวว่า พี่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ให้แม่อยู่ ลูกชายคนรองรีบพูดมาบ้าง ฉันจะส่งรถเบ็นซ์ป้ายแดงพร้อมคนขับให้แม่ ลูกชายคนเล็กเสนอความคิดที่ประเสริฐสุด พี่ๆคงจะจำความรู้สึกของคุณแม่เวลาอ่านพระคัมภีร์ และพี่ๆก็รู้ว่าแม่สายตาไม่ดี อ่านหนังสือไม่ค่อยเห็น ดังนั้น ฉันจะส่งนกแก้วซึ่งสามารถท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งพระธรรมใหม่และพระธรรมเก่า นกแก้วตัวนี้อยู่ในโบสถ์มา14ปี เพียงแต่บอกชื่อบทนกแก้วตัวนี้ก็สามารถท่องบทนั้นทั้งบทออกมาได้

ว่าแล้วลูกชายทั้งสามก็ส่งของขวัญไปให้คุณแม่ของพวกเขา ต่อมา แม่ก็ตอบจดหมายลูกๆทั้งสาม แม่บอกลูกคนโตว่า บ้านที่ลูกสร้างให้มันใหญ่โตเกินไป แม่อยู่แค่ห้องเดียว แต่แม่ต้องทำความสะอาดทั้งหลังเลย แม่บอกกับลูกคนรองว่า แม่แก่เกินไปที่จะไปไหนแล้ว แม่อยากอยู่กับบ้าน จึงไม่ค่อยได้ใช้รถเลย

คุณพ่อยิ้มหยุดถามทุกคนว่าแม่จะชื่นชมลูกคนเล็กหรือไม่ ทุกคนในที่ประชุมตอบเป็นเสียงเดียวกันด้วยความสามัคคีว่า ใช่ แม่ต้องชื่นชมลูกคนเล็กอย่างมาก

คุณพ่อยิ้มเล่าต่อไปว่า…..

แม่บอกกับลูกคนเล็กอย่างชื่นชมว่า ลูกช่างรู้ใจแม่จริงๆว่าแม่ชอบอะไร นกแก้วตัวนั้นทอดอร่อยมาก

แล้วทุกคนในที่นั้นก็มีอารมณ์ที่เย็นลง และเริ่มที่จะปรึกษาหารือกันอย่างมีไมตรีจิต ท่ามกลางรอยยิ้มที่มอบให้กัน งานที่จัดเตรียมจึงเดินหน้าต่อไปอย่างดี

ในโอกาสวันวาเลนไทน์นี้ อย่าลืมมอบความรักแท้แก่กัน รักที่ไม่มุ่งหวังรักตอบรักที่ไม่มุ่งหวังครอบครอง และขอให้มีความสุขสมหวังในวันตรุษจีน ยิ้มให้กันโลกพลันสดใส ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ก็สมควรยิ้มออก ขอเพียงยังสามารถยิ้มออก ก็สมควรยิ้มให้มากไว้ (โก้วเล้ง)

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถามหาความเงียบ

ถามหาความเงียบ

ชีวิตในเมืองใหญ่เมืองที่ไม่เคยหลับเต็มไปด้วยสรรพเสียงต่างๆนานา ผ่านเข้าโสตประสาท ผ่านมาแล้วผ่านไป ทะลุหูซ้ายออกหูขวา แต่จะมีสักกี่สรรพสำเนียงที่เป็นสื่อเสียง สื่อสารไปยังสมองกลั่นกรองรับรู้ หัวใจสั่งการให้กระทำกิจการดีๆ สิ่งที่งดงามยามมีลมหายใจ....

จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้คนเมืองอย่างเราๆท่านๆไร้สมาธิและความนิ่งสงบในการดำเนินชีวิต มลภาวะทางเสียงที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ จนกระทั่งลดทอนเสียงบรรยากาศเก่าๆให้เลือนหายไป

เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีไม่มีให้ได้ยินมีแต่เสียงเพลงผ่านลำโพงส่งเสียงดังสนั่นเมือง

เสียงลู่ลมของใบไผ่กลายเป็นเพียงจินตนาการของผู้มีวงปีชีวิตหลายรอบวง มีแต่เสียงกู่ตะโกนก่นด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างสะใจ อย่างสาดเสีย เทเสีย

เสียงสายน้ำลำธารถูกกลบเกลื่อนไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ เสียงนกกาเสียงหรีดเรไรถูกแทนที่ด้วยเสียง MP3

และเสียงเพรียกแห่งจิตใจอยู่ตรงไหน....

คนเราวันนี้มักเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง และเครียดกันง่าย โกรธกันง่าย โมโหร้าย อารมณ์โหดร้ายมากขึ้น สรรพเสียงอันดังของเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตไม่มีช่องว่างให้ความเงียบบำบัดรักษาจิตใจ ในหนังสือจีนกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่องให้ความสำคัญกับความเงียบเพื่อให้ตัวเอกก้าวสู่สุดยอดวิชา หลายคนเมื่อท่องยุทธจักร ยุทธภพต่อกรกับจอมยุทธคนแล้วคนเล่า สุดท้ายก็ต้องหลีกเร้นกาย ปลีกวิเวกเพื่อเพาะบ่ม กำลังกายวิชาให้กล้าแกร่ง เฉกเช่น จอมยุทธในเรื่องฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ พ่อของนางเอกที่เป็นจ้าวยุทธจักร ชื่อเสียงระบือไกล ยังหาเวลาไปสร้างหอน้อยบนยอดเขา ยามต้องการฝึกปรือกำลังมักไต่เขาสูงชันขึ้นไปฟังเสียงฝนบนหอน้อย...

องค์ศาสดาทั้งหลายทั้งปวงค้นพบสัจธรรมในความเงียบด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าโลกยุคนี้ยังไม่รู้จักความเงียบที่แท้จริง หรือว่าเราคงได้แต่ถามหาความเงียบกันอยู่ โลกที่ผ่านมาหลายร้อยปีนี้จึงไม่มีผู้บรรลุธรรมในขั้นศาสดาบังเกิดให้เห็น โลกยุคเราไร้ศาสดามาอย่างยาวนาน ไร้ผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่มีอยู่บ้างหลายท่านก็พยายามจะช่วยกอบกู้จิตวิญญาณของคนยุคเรา แต่เราไม่เคยมีช่องว่าง ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีห้วงแห่งความเงียบงันครอบครอง เพื่อที่จะฟังท่านเหล่านั้น สุดท้ายท่านผู้บรรลุทั้งหลายก็จากโลกนี้ไปอย่างเงียบงัน

ในความเงียบไม่เคยไร้เสียง แต่เสียงในความเงียบมักสร้างแรงบันดาลใจ มักสร้างกำลังใจให้เราได้เสมอ เมื่อเกิดความเงียบก็เกิดการฟังอย่างใจจดใจจ่อ มีคนเคยให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า ความเงียบในภาษาอังกฤษ คือ SILENT และลองนำตัวอักษรมาเรียงใหม่ก็จะเกิดคำว่า LISTEN ซึ่งแปลว่า ฟัง ใช่หรือไม่ เมื่อเรายังไม่รู้จักความเงียบและจะฟังกันได้เช่นไรเล่า

ปัญหาหลัก ปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้คือขาดการรับฟังกัน หรือไม่ก็ฟังแบบหูทวนลม ฟังแบบขัดแย้ง ฟังแบบโต้เถียงในใจตลอดเวลา สังคมจึงเต็มไปด้วยผู้มีความรู้แต่ไร้ปัญญาในการแก้ปัญหา พอไม่ฟังกัน ต่างคนต่างมีดี ต่างคนต่างอวดเบ่ง อวดเก่ง ผมจบดอกเตอร์ ฉันเป็นอาจารย์ ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉันเป็นนักวิชาการ แล้วใครล่ะเป็นคนฟัง ทุกคนต่างแสดงทัศนะในความคิดของข้าพเจ้ากันหมดอย่างนี้

เราต่างตะเกียกตะกายให้กลายเป็นคนเก่ง เป็นผู้นำความคิดกันหมด ใช่หรือไม่ บางครั้งเราพยายามพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจริงคิดว่าใช่ หลายครั้งรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่จริงแต่กลัวเสียหน้า เสียฟอร์ม พูดไปพูดมาเรายังเชื่อในคำพูดโม้ คำโกหกของตัวเอง สร้างรูปแบบให้กับตัวเอง สร้างอัตลักษณ์ใหม่มาปิดบังความกลวงโบ๋ หากวันใดใจสงบนั่งทบทวนวงจรชีวิตที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หลายครั้งเราก็ขายวิญญาณไปกับการแสดงอวดรู้อวดเก่ง ตราบใดที่เรายังถามหาความเงียบเราก็ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ตราบใดที่เราไม่อยู่กับความเงียบเราก็ถอยห่างจากความจริง และตราบใดที่เรายังเงียบไม่เป็นเราก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ความเงียบเกิดได้อย่างไรในสังคมแห่งความหลากหลายของสรรพเสียง จะทำอย่างไรที่จะแยกแยะให้ออกว่า เสียงไหนควรฟังเสียงไหนไม่ควรฟัง คงเป็นคำถามที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ

คำตอบ คือ ต้องรู้จักฟังความเงียบ และในนั้นมีคำตอบ มีพลังให้เราเสมอ สรรพเสียงภายนอกหากจะใช้ให้เป็นเสียงนำสู่ความสงบภายในย่อมเป็นสิ่งประเสริฐ

ความเงียบแท้จริงอยู่ที่ใจ ใครรู้ใจตน คนนั้นฟังเสียงของพระเจ้าได้ไม่ยาก ใยต้องถามหาความเงียบที่แอบซ่อนเร้นอยู่ภายในใจเรา....

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ฟ้าฝนคนเราหยั่งรู้คาดการณ์ได้ แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหมายทุกครั้ง แม้แต่กรมอุตุฯ พยากรณ์อากาศ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือวัดความเคลื่อนไหวของ ลม ฟ้า ฝน ก็ยังผิดคาดออกจะบ่อยครั้ง จนมีการนำมาล้อเลียน วันไหนถ้าพยากรณ์ว่าฝนตกวันนั้นจะร้อนตับ ปอด ม้ามแลบ วันไหนพยากรณ์ว่าจะร้อนจัดรับรองฝนตกหลายหย่อมจนถึงหนักมาก สาอะไรกับเรื่องราวในสามัญวันธรรมดาของชีวิตที่ลิขิตไม่ได้ วันที่แสนธรรมดาวาดหวังวางแผนไว้ว่าจะทำงานให้บรรลุ ทำงานชิ้นนี้ชิ้นนั้นให้เสร็จสิ้น เอาเข้าจริง วันดีคืนร้ายก็เกิดเรื่องให้ปวดเศียรเวียนเกล้า งานเข้า อย่างไม่ทันตั้งตัว บางเรื่องก็เป็นเพราะเราทำให้มันเกิดโดยไม่รู้ตัว บางเรื่องเป็นเราไปกระทำไว้กับผู้อื่นและก็มีบ่อยครั้งที่คนอื่นนำเรื่องมาหาเรา

ในวันธรรมดาที่แสนธรรมดาเช้าตื่นขึ้นมา เป้าหมายคืองานที่ค้างคาจะสะสางให้แล้วเสร็จ แต่ยังไม่ทันถึงไหนก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด อุปกรณ์ชิ้นสำคัญหายไปจากที่ทำงาน ถามไถ่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเดินออกจากกล่องเก็บไปได้อย่างไร ผ่านไปครึ่งค่อนวันยังจับมือใครดมไม่ได้ อารมณ์ก็เกิด โกรธ โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว กว่าจะตั้งสติได้ ใจก็คิดโทษใครต่อใครไปหลายคน เอาเข้าจริง จริงเท็จแค่ไหนมีแต่พระเจ้าและคนขโมยเท่านั้นแหละที่รู้ วันนี้จึงเป็นวันที่ไร้สมาธิ ไร้อารมณ์ ไร้สมองที่จะกรองงาน

พอตกบ่ายเกิดข่าวร้ายซ้ำซ้อนขึ้นอีก แม่เข้าโรงพยาบาลด้วยเหตุอาหารเป็นพิษ เริ่มมีอาการตั้งแต่เช้า กว่าจะได้มาหาหมอก็ตอนบ่าย คิดแล้วก็สงสารแม่เหลือเกิน อยากกลับไปพาแม่มาโรงพยาบาลแต่ระยะทางไกลเกิน ทำไมวันนี้ดูช่างวุ่นวายเสียจริง จวบจนกระทั่งตั้งสติคิดไตร่ตรอง แก้สถานการณ์ตามความเป็นจริง ปัญญาก็เริ่มงอกเงย พยายามจัดการทุกอย่างเท่าที่ทำได้ และเดินหน้าชีวิตต่อไปบนความเป็นจริง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ชี้นำ อะไรที่สมควรทำก่อนก็จัดการให้เรียบร้อย บางเรื่องก็ต้องปล่อยและว่ากันตามสถานการณ์จริงตรงนั้น ก็เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลนี่ และเพื่อหาความจริงของชีวิตจึงหาอะไรอ่านเพื่อผ่อนปรนอาการหงุดหงิด มีเรื่องๆหนึ่งอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ในชีวิตเราธรรมดา ในวันธรรมดา อยู่กับผู้คนก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดเรื่องไม่ธรรมดาได้ตลอดเวลา (ถ้างงโปรดอ่านอีกครั้ง)

ณ วัดคาทอลิกห่างไกลความเจริญ หรือเรียกว่าวัดบ้านนอก วัดชนบทแห่งหนึ่ง มีคุณพ่อเจ้าวัดเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมลูกวัด ว่าวัดบ้านนอก วัดชนบท ู้คนก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดเรื่องไม่ธรรมดาไตลอดเวลา (ถ้างงโปรดอ่านอีกครั้ง)ำก่อนก็จัดการให้เรียบร้เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร เด็กน้อยตอบกลับมาว่า ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในวัด แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อยๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย

คุณพ่อนั่งลงข้างๆ พยักหน้าเข้าใจ แล้วก็สอนเด็กน้อยนั้นว่า เจ้ารู้ไหม ในตัวเราเนี่ยมีคนอยู่สามคน คนแรก คือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สาม คือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ

เด็กน้อยหยุดร้องไห้ นิ่งฟังคุณพ่อ คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้น เราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ คนที่สองจะเป็นเราในแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริง แต่เราก็ยิ้มรับ ทั้งๆที่มหาอัปลักษณ์จนไม่อยากจะนึกถึง เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ สมัยที่พ่อยังไม่ได้บวชเคยไปส่งผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านอยู่ในซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ

คนที่สาม เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ ใจเราควรสงบนิ่ง ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง เราต้องเป็นเรา ไม่ต้องทำตามอย่างที่คนอื่นคิด ไม่ต้องเดินตามทางที่คนอื่นวางไว้ เดินในหนทางความจริงและความดี และชีวิตที่ธรรมดาก็จะเต็มไปด้วยสันติสุขตลอดไป เด็กน้อยยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง

และเราจะยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนั้นได้หรือเปล่า....