วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิชาคนศึกษา

วิชาคนศึกษา

เที่ยงกว่าๆของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดในร้านอาหารเจ้าประจำที่ผูกขาดกันมาเป็นเวลาร่วมสิบปี ทำให้สนิทสนมกับเจ้าของร้านจนขนาดว่าวันไหนลืมกระเป๋าสตางค์ยังมีข้าวทาน แต่วันนี้ไม่ได้ลืมพอทานเสร็จเรียบร้อยก็เลยเข้าไปทักทายกับคุณป้าเจ้าของร้าน เพราะเห็นแกนั่งหน้าตาตกใจอยู่ ก็เลยไถ่ถามว่าเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าไม่มีลูกค้ามาทานมื้อเที่ยง แต่คุณป้าตอบว่า "เปล่าหรอกคุณ ป้าหมดแรงเพราะเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่คุณกำลังอร่อยกับอาหารอยู่นั้น มีเด็กสาวกระโดดคอนโดฯลงมาเสียชีวิตคาที่ จากชั้น 29 จะเหลืออะไรหล่ะ เลยทำให้หมดแรงขนาดจะเด็ดยอดผักยังทำไม่ได้เลยคุณ" มาทราบตอนหลังว่าเด็กสาวคนนั้นมีปัญหาเรื่องหัวใจ(Why) ไม่เข้าใจ ทำใจไม่ได้ที่ทะเลาะกับคนรัก (เคยรัก) แก้ปัญหาไม่ตกเลยประชดรักขอเอาตัวเองตกจากตึกลงมา

ขณะที่เดินกลับมาทำงานก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่า คนสมัยนี้มองเรื่องชีวิตกันอย่างไรหนอ? มองเห็นคุณค่าชีวิตมากน้อยแค่ไหน? หรือนับวันคนรุ่นใหม่มีหัวใจที่เล็กลง ไม่สู้ปัญหา ไม่กล้าเผชิญกับปัญหา คนยุคออนไลน์แต่หัวใจอ่อนแอเหลือเกิน ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาแล้วจะไม่เคยเจอะเจอปัญหา ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาแล้วสมบูรณ์แบบไม่เคยพลาดพลั้ง ใครบ้างหล่ะตอนหัดเดินแล้วไม่เคยล้มลง ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาก็ใหญ่คับฟ้าโดยไม่ได้สร้างบารมีหรืออาศัยบารมีจากผู้อื่น ชีวิตมีค่าอยู่ตรงที่เรารู้จักค่าของมันก่อน และรู้จักเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเติบโตขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย หลายคนในโลกกว่าจะเดินได้อย่างสง่าก็ล้มแล้วลุกอีก ล้มลงแล้วเงยหน้าขึ้นยืน แก้ตัวใหม่ กลับใจใหม่คิดใหม่ทำดี ชีวิตจึงมาถึงจุดที่เปิดเผยต่อใครๆอย่างไม่อายฟ้าดินและเป็นที่ยอมน้อมรับของคนทั่วไป

ชีวิตคนเราเกิดมามีค่าเท่ากัน หนึ่งชีวิตเหมือนกัน ไม่ว่าจะผ่านวันดีคืนร้ายสักเท่าไหร่ ตายไปก็หนึ่งชีวิต แต่กับหนึ่งชีวิตนี้แหละมีสิ่งดีๆที่ทำเพื่อผู้อื่น เพื่อเพิ่มคุณค่ากับสิ่งประเสริฐที่เรียกว่าชีวิตนี้มากน้อยไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องหมั่นดูแลรักษาให้มันทรงคุณค่าภายในเสมอแม้ว่าบางครั้งภายนอกอาจจะไม่งดงามนัก

มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเริ่มต้นการสอนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท ออกมาให้นักศึกษาได้ดู แล้วถามว่า "ใครอยากได้บ้าง" นักศึกษาทุกคนยกมือ (คงรวมทั้งคนอ่านด้วยใช่ป่ะ) อาจารย์เริ่มขยำธนบัตรใบนั้นจนยับยู่ยี่ แล้วก็ถามต่ออีกว่าแล้วใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกบ้าง ใช่เลย...คำตอบยังคงเหมือนเดิม (รวมทั้งคนเขียนด้วยอีกคน 555)

อาจารย์ถามต่ออีกว่า "และถ้าธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนเหยียบย่ำจนสกปรก ยังมีใครอยากได้อีกหรือไม่" ทุกคนยังคงยกมือเหมือนเดิม ในใจก็คิดว่ายังไงมันก็เป็นเงินที่มีค่า เอาไปล้างซะก็ใช้ได้แล้ว อาจารย์ต่ออีกหนึ่งคำถาม "และถ้าธนบัตรนี้ตกลงไปในบ่อน้ำที่เน่าเหม็นล่ะยังมีใครอยากได้บ้าง" ทุกคนก็เริ่มหาวิธีต่างๆนานาเพื่อให้ได้ธนบัตรใบนั้น

อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า "นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนั้น มันก็ยังมีค่าราคาอยู่ที่ 1,000 บาท ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใครซ้ำเติมเหยียบย่ำ ดูถูกใส่ร้าย ถูกตำหนิต่อว่าถูกขยำขยี้จนยับเยิน เพราะความผิดพลาดในชีวิต เพราะการก้าวพลาดในเส้นทางเดินของชีวิต จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไร้ราคา แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยมเลี่ยมทอง หรือยับยู่ยี่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยโคลนตมสกปรกมีกลิ่นเหม็น เธอก็ยังเป็นคนคนเดิม ยังมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักเธอ จงรักษาชีวิตนี้ไว้ให้ตลอดอยู่คู่ลมหายใจสุดท้าย ตายอย่างผู้มีชัย อย่าตายไปเพราะหมดอาลัยกับชีวิต"

หลายคนเคยพูดคุยกัน มักบอกว่าเด็กสมัยนี้เปราะบาง และไม่ทนต่อสภาพที่ต้องพบเจอ มีแต่ความทะยานอยากแต่ขาดซึ่งความเพียรพยายาม อยากเป็นใหญ่โดยไม่ออกแรง อยากเป็นที่รักแต่กลับรักตัวเองมากกว่า อยากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยใช้วิธีรวบลัด เมื่อไม่ได้ก็ผิดหวังแรง หมดแรงลุก และยอมศิโรราบ กล้าที่จะทิ้งเรือนร่างแต่ไม่กล้าที่จะยกร่างลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง จมปลักอยู่แต่กับปัญหา ขาดการฝึกให้มีปัญญาและปรีชาญาณในการดำเนิน ดำรงชีวิต เราจึงจะพบเห็นข่าวลักษณะนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ วันดีคืนดีอาจจะมีเรือนร่างของใครบางคนมาตกใส่หน้าเราก็เป็นไปได้

ก็ได้แต่หวังและภาวนาว่า เราจะต้องช่วยกันบูรณาการสังคม ฟื้นสังคมให้กลับมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่า "คน" กันให้มาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียนและเยาวชน อาจจะต้องมีการสอนกวดวิชาความเป็นคนขึ้นมา และอย่าลืมเชิญอาจารย์ท่านนั้นมาสอนด้วย เพื่อเด็กๆวันนี้จะได้รู้ว่า ชีวิตมีค่าแค่ไหน.....

ไม่มีความคิดเห็น: