วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

แบ่งเพื่อเพิ่ม ปันเพื่อพูน

 

แบ่งเพื่อเพิ่ม ปันเพื่อพูน

>>> เพียงแค่กว้างออกสักหน่อย แข่งขัน ก็กลายเป็น แบ่งปัน <<<

            เราล้วนแต่ถูกปลูกฝังมาให้เป็นผู้ชนะ ทุกจังหวะของชีวิตจึงกลายเป็นการแข่งขัน ในทุกช่วงเวลากลายเป็นสนามเพื่อการแข่งขัน ชีวิตคือการแข่งขัน และก็พากันเชื่อว่าแรงบันดาลใจสูงสุดของมนุษย์นั้นมาจากการแข่งขันด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งในวันนี้ซึ่งง่ายต่อการโอ้อวดความสำเร็จ โชว์ชนะต่อกันและกัน ต่างคนต่างก็อยากจะเป็นที่หนึ่งเป็นที่ยอมรับ การฟังกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลจึงจมหายไปในกระแส แต่ใช่ว่า..ในสนามแข่งขันเราจะไม่สามารถที่จะทำเรื่องที่งดงามมากกว่าชัยชนะ หากจิตวิญญาณเรามีความเมตตาอาทรอยู่ในหัวใจ เช่นเรื่องนี้

          เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2012 ในการแข่งขันวิ่งที่เมืองเบอร์ลาดาของสเปน อีวาน เฟอร์นานเดซ  กำลังจะวิ่งเข้าเส้นชัยต่อจากนักวิ่งชาวเคนยาคนหนึ่ง แต่ก่อนจะเข้าเส้นชัย นักวิ่งชาวเคนยาก็หยุดวิ่ง เพราะเข้าใจผิดว่าถึงเส้นชัยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น แทนที่เขาจะเร่งสปีดแซงหน้าคู่แข่งเพื่อเข้าเส้นชัยไปก่อน เขากลับวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังคู่แข่งที่เข้าใจผิดคนนั้น พร้อมสะกิด แต่ชาวเคนยาก็ยังไม่เข้าใจ เขาจึงดันนักวิ่งคนดังกล่าวให้วิ่งต่อ เพื่อให้เข้าเส้นชัยไปก่อนเขา


หลังการแข่งขันนักข่าวถามเขาว่า ทำไมทำเช่นนั้น
? อีวานตอบว่า “ความฝันของผม คือ อยากมีชีวิตในสังคมที่ช่วยเหลือกันเพื่อชัยชนะ...” “แต่ทำไมคุณถึงปล่อยให้นักวิ่งเคนยาชนะ?” ดูเหมือนนักข่าวจะไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ปล่อยให้เขาชนะ เขาต้องชนะอีวานก็ตอบหนักแน่น “แต่คุณก็มีสิทธิ์ชนะ” นักข่าวถามย้ำ อีวานตอบว่า “ชัยชนะของผมจะมีประโยชน์อะไรเล่า ศักดิ์ศรีของเหรียญนั้นอยู่ที่ไหนเล่า?”

หากเราคิดแต่จะเอาชนะในทุกการแข่งขัน ทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งรางวัลที่หนึ่ง เราอาจจะเป็นคนที่เก่ง แต่หาใช่คนที่มีความสุขที่สุด เพราะว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดย่อมมาจากการรู้จักที่จะแบ่งปันแม้อยู่ในสนามแข่งขัน ยิ่งแบ่งเรายิ่งได้สุขเพิ่มยิ่งปันเรายิ่งได้ความสันติพอกพูนขึ้น และโลกวันนี้กำลังขาดแคลนสิ่งเหล่านี้....

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ใช้เวลาจนเหนื่อย

 

ใช้เวลาจนเหนื่อย

>>> ใช้เวลาหมดไปกับมือถือ แต่ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับพระเจ้าในตัวเรา <<<

เราหลายคนเคยพูดเคยเจอกับคำว่า “ไม่มีเวลา” บางครั้งเราก็รู้สึกว่าคำ ๆ นี้มันเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อไม่อยากทำ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง อีกอย่างหนึ่งก็คือ การไม่รู้จักการจัดการบริหารเวลาของตนเอง ปล่อยไหลไปเรื่อย ๆ พอเวลาต้องทำแบบเป็นการเป็นงานก็บอกว่าไม่เวลาที่จะทำงานนี้เลย ใช่หรือไม่ เวลาเป็นทรัพยากรที่ได้มาฟรี ๆ แต่ก็มีอยู่อย่างจำกัดด้วยเช่นกัน ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถเก็บสะสมได้ ไม่สามารถซื้อหา ให้ยืมกันได้ เวลาก็มักจะยุติธรรมกับทุกคนเสมอ ทุกคนมีเวลาเท่ากันวันละ 24 ชั่วโมง แต่บางคนก็มักจะบ่นว่า “ไม่มีเวลา”

       ในแต่ละวันหากลองนั่งไตร่ตรองพิจารณาดูจริง ๆ จัง ๆ  หลายอย่างทำไปเพื่อ “ฆ่าเวลา” หรือ ไม่หลายสิ่งทำไปอย่างงั้น ๆ เพราะ “ไม่มีเวลา” สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงการใช้เวลาอย่างไม่ถูกต้อง เกิดผลเสียตามมา บ่อยครั้งกว่าจะรู้ก็สายเกินไป เอาเรื่องง่าย ๆ เลย เช่น กว่าจะเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ก็ตอนที่เรานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เพราะฉะนั้น เราต้องกระตือรือร้นรักษาเวลา และบริหารจัดการเวลาในฐานะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ

เราจะรู้สึกว่า มีเวลาหรือไม่มีเวลานั้น  ขึ้นอยู่กับว่า เราให้ความสำคัญกับชีวิตนี้อย่างไร ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งเวลาและเตรียมตัวให้พร้อมอย่างไร จัดสรรการพักผ่อน ให้เวลาอยู่กับตนเองมากน้อยเพียงใด บางครั้งทำงานเหนื่อย แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไรกันแน่??? เหนื่อยเพื่อ...ให้ได้เงินเยอะ มีรายได้มาก ๆ เหนื่อยเพื่อ...จะได้เป็นที่รัก เพื่อ...จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง บางครั้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทำงานไม่รู้จักเวลา ผลลัพธ์คือ ร่างกายเจ็บ จิตใจป่วย เพราะไม่ได้ดังหวังกับสิ่งที่ยอมเหนื่อย ที่สุดวันที่เหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง มานั่งนิ่ง ๆ ปล่อยเวลาผ่านไปตามสายลม พอผิดหวังแรง ๆ เราก็คิดถึงใครไม่ออก ก็คิดถึงพระในวันแบบนี้นี่แหละ จึงพบว่าแท้จริงแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ แม้แต่วันที่แสนเหนื่อยล้าที่ไม่มีใครเห็น... การได้พักบ้างทำให้เราได้พบเจอในหลายสิ่งหลายอย่าง

แต่อีกนั่นแหละ พักแบบมีคุณค่ากับการพักอย่างไร้ค่าก็ต่างกัน บางทีเราหาเวลาพักเพื่อเสริมสร้างภูมิจิต ชาร์จใจให้มีพลังในวันเวลา การพักอย่างไร้ค่าเอาแต่นอนถู ๆ ไถ ๆ มือถือ หรือเอาแต่เที่ยวสนุกสนานทำลายร่างกายไปวัน ๆ และมาพร่ำบ่นว่าเหนื่อย เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีพัฒนาการด้านจิตวิญญาณ ทำให้ชีวิตไร้เป้าหมาย และมักเรียกร้องให้คนอื่นมาเห็นใจ พักแล้วพักอีกก็ไม่เพียงพอ แบบนี้พักพิงในพระเจ้ายังไม่เป็น เป็นการพักเพื่อตัวเองมากกว่า เราพักเพื่อไตร่ตรองเป้าหมายว่า เราเกิดมาเพื่อทำความดี ถากถางหนทางไปสู่สวรรค์ หาเวลาทบทวนเป้าหมายของเราทุกวัน เราจะใช้เวลาอย่างมีประโยชน์และประสบความสำเร็จ

การพักผ่อนในพระเจ้าหาใช่การมาที่วัด การสวดภาวนาเพียงอย่างเดียว การได้พักผ่อนกับธรรมชาติ นั่นก็คือการได้อยู่พระเจ้าเช่นกัน การพักผ่อนกับเพื่อนพี่น้องก็เป็นการพักผ่อนกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าสถิตกับทุกคนอยู่แล้ว ชีวิตมีเวลาทำงานก็ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ใช้พระพรอย่างเต็มที่ และรู้จักหาเวลาพัก และพักผ่อนอย่างมีคุณค่า เพื่อเพิ่มพลัง เวลามีใช้ฟรี แต่ก็มีวันหมดและหมดลงเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเสียด้วย ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ อย่าได้ปล่อยทิ้งปล่อยขว้างแล้วมาบอกว่า “เหนื่อยกับการขว้างทิ้งวันเวลานั้น” เพราะนั่นไม่ใช่ภาระที่เราแบก แต่เราเป็นภาระให้คนรอบข้างแบกต่างหาก ….

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

มองผ่านแว่นที่ชัด

 

มองผ่านแว่นที่ชัด

>>> การมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ดี สามารถทำให้ชีวิตของเรามีความสุขมากขึ้น <<<

ปัญหาหนึ่งของคนใส่แว่นไม่ว่าจะสายตาสั้นหรือยาว เมื่อใช้ไปนาน ๆ เลนส์เริ่มสกปรก เริ่มมีริ้วรอย ต้องหมั่นทำความสะอาด และยิ่งเมื่ออยู่ในที่เย็น ๆ เช่นในรถไฟฟ้า หรือห้องแอร์ พอก้าวออกมาปะทะกับอากาศที่ร้อนด้านนอก แว่นตาก็จะขึ้นฝ้าทันที ทำให้มองอะไรก็ไม่ชัดเจน การดูแลรักษาแว่นตาจึงเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่ง เพราะหากปล่อยให้สกปรก เลอะคราบไคล ย่อมเป็นอุปสรรคกับการมอง พอมองไม่ชัดทัศนวิสัยก็แย่ ทำให้หมดความมั่นใจและเกิดความเข้าใจในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผิดพลาดไป

และถ้าหากเราเปรียบเทียบกับการมีทัศคติที่ดี มองสิ่งรอบด้านให้สวยงาม เราก็ควรจะใส่แว่นแห่งใจที่ใสสะอาด มองเห็นชัดเจนสบายใจสุขใจ ใช่หรือไม่ เรามีแว่นแบบไหน เราก็มองทุกสิ่งแบบนั้น รามีแว่นที่ขุ่นมัว เราก็เห็นโลกแบบขมุกขมัว เราใส่แต่แว่นดำเพื่อโชว์ความเท่ ความเก่ง เราก็แค่สร้างโลกจอมปลอม เรามีแว่นที่เห็นแต่ตัวเอง เราก็เห็นแก่ตัว เหมือนเช่นนิทานเรื่องนี้

ในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง มีหญิงสาวชื่อ “มิโยะ” เธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่สวยงามและมั่งคั่ง แต่แม้ว่าจะมีสิ่งของหรูหราและความมั่งคั่งมากมาย มิโยะยังคงไม่พอใจ เธอคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์ของเธอควรเป็นสีเขียว เธอจึงตัดสินใจที่จะทาสีทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์ให้เป็นสีเขียว


วันหนึ่ง
มิโยะได้พบกับพระธุดงค์ผู้หนึ่งที่ผ่านมาทางคฤหาสน์ พระธุดงค์เห็นความทุกข์ใจของมิโยะและกล่าวว่า “หญิงสาว ทำไมเจ้าจึงไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว? ทำไมเจ้าจึงอยากเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสีเขียว ?

มิโยะตอบว่าข้าอยากให้คฤหาสน์ของข้าดูสวยงามและเป็นที่พอใจ ข้าอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีเขียว”

พระธุดงค์ยิ้มและกล่าวว่า “บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มันสวยงาม หากเราเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยงามขึ้น”

จากนั้นพระธุดงค์ได้หยิบแว่นตาสีเขียวจากย่ามของเขาและยื่นให้มิโยะ “ลองสวมแว่นตาสีเขียวนี้ดูสิ แล้วเจ้าจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์ของเจ้าเป็นสีเขียวอย่างที่เจ้าอยากเห็น”

มิโยะสวมแว่นตาสีเขียว และทันใดนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์ของเธอก็กลายเป็นสีเขียว เธอมองไปรอบ ๆ และเห็นความสวยงามในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ในสิ่งที่เธอเคยคิดว่าไม่น่าสนใจ มิโยะได้เรียนรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเธอเองสามารถทำให้คฤหาสน์ของเธอสวยงามยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่น ๆ (CR.นบรรณ สัมมาชีพ )

            ทัศนคติของเราเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้จักมองด้วยหัวใจที่ใสสะอาด และกว่าจะสะอาดเราก็ต้องรู้จักที่จะทำความสะอาด รู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองก่อน บางครั้งการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเราเองสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราดูดีขึ้น การยอมรับสิ่งที่มีอยู่แล้ว และมองหาความงามในสิ่งที่มีอยู่แล้วสามารถนำความสุขมาให้เราโดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นหรือผู้อื่น อย่าพยายามไปเปลี่ยนโลก หากเรายังเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ การมีแว่นใจที่ใสสะอาด นั่นคือการไม่ยึดติดสิ่งของภายนอก และพร้อมที่จะจากลาออกจากสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเรา อย่าดันทุลังที่จะเป็นคนเปลี่ยนโลก แต่ควรเป็นคนที่มองเห็นโลกในด้านแห่งความเป็นจริง ในสิ่งที่สวยงามมากว่า แม้ว่าโลกวันนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม หากหัวใจเรางดงามเราก็จะเห็นสิ่งสวยงามได้จากตัวเราเอง จากคนรอบข้าง ในความเลวร้ายย่อมมีความงดงาม ในความทุกข์ย่อมมีความสุข ที่สุดน้ำยาที่จะทำความสะอาดแว่นใจได้ดีที่สุด นั่นคือ ความรักและความเมตตา ลองใช้ทำความสะอาดดูแล้วเราจะพบกับความสุขใจ....

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บูลลี่ออนไลน์

 

บูลลี่ออนไลน์

>>> เรื่องบางเรื่องตลกเรา แต่อาจจะทำร้ายอีกคนอยู่ก็ได้ <<<

โลกออนไลน์ก็เหมือนกับหลาย ๆ เรื่องในชีวิตของเรา ที่มาพร้อมกับความสุขและความเสี่ยง เราต้องรู้รับมือกับมันอย่างมีวิจารญาณ อาศัยพระจิตนำทาง สมัยหนึ่งเราเป็นเด็กเวลาไปโรงเรียนก็มักจะถูกเพื่อนล้อชื่อพ่อชื่อแม่ เราก็โกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟ พอโตขึ้นก็เป็นเรื่องภูมิใจที่มีคนจำชื่อพ่อแม่เราได้ หรือจะมีการล้อจุดด้อยนำมาตั้งเป็นชื่อเล่น เรียกจนถึงยันโตก็มี สมัยนี้ที่ชีวิตมักจมอยู่ในโลกออนไลน์ บางทีแค่เพื่อนที่เราไม่สนิท หรือเพิ่งรู้จัก มีความเห็น มีทัศนคติไม่ตรงกันก็ขัดแย้ง ดูถูกกัน บูลลี่กันถึงขั้นอยากลบแอปออก หรือหยุดท่องโลกออนไลน์เลยก็มี


จากข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับการบูลลี่เป็นที่ 2 ในโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น การบูลลี่ด้วยการใช้ตัวอักษรผ่านโซเชียลมีเดีย โดยคำที่คนไทยส่วนมากใช้บูลลี่กันมากที่สุดมักเป็นเรื่องของ รูปลักษณ์ เพศ และความคิดหรือทัศนคติ เช่น ไม่สวย
, ไม่หล่อ, ขี้เหร่, หน้าปลอม, ผอม, เตี้ย, ดำ, โง่, สลิ่ม, ควายแดง, ตลาดล่าง และปัญญาอ่อน เป็นต้น

การสร้างโลกออนไลน์ให้เป็นแบบที่พวกเราต้องการนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะในนั้นยิ่งกว่าร้อยพ่อพันแม่เสียอีก เราเองก็ต้องระวัง อะไรก็ตามที่เราพูดหรือแชร์ออกไป อาจไปทำร้ายผู้อื่นเป็นการฆ่าคนทางอ้อมก็ได้ เราต้องมีจิตใจดีต่อผู้อื่นทั้งบนโลกออนไลน์และชีวิตจริง หลายครั้งที่การบูลลี่เกิดขึ้นเพียงเพราะความสนุกชั่ววูบ ความโกรธชั่วคราว หรือเป็นเพียงการตัดสินใจชั่วขณะ แต่ผลที่ตามมาอาจมากมายและส่งผลยาวนานสำหรับผู้ถูกกระทำ เมื่อเราถูกกระทำต้องใช้ความนิ่งสยบการบูลลี่  การนิ่งเฉยช่วยให้เรื่องราวหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะวัน ๆ หนึ่ง มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ ยิ่งตอบโต้ ยิ่งสร้างกระแส หรือเพิ่มยอดวิวยอดไลค์ ดีที่สุดคือ อ่านตัวอักษรเพื่อเข้าใจคนให้เป็น และไม่แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ไม่รู้จริงในทุกกรณี อย่าให้ออนไลน์ทำให้เราอ่อนไหวและอ่อนแอทางจิตวิญญาณ...