วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ยุติธรรมเพื่อผู้อื่น

 

ยุติธรรมเพื่อผู้อื่น

>>> “ความยุติธรรมคือคุณธรรมแรกสุดของสถาบันทางสังคมจอห์น รอลส์ (John Rawls) <<<

เวลาเราจะเรียกความยุติธรรม เรามักใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก  อะไรที่ออกมาผลตรงข้าม คือ ความไม่ยุติธรรม การยึดโยงเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้มันเป็นพันธุกรรมของมนุษยชาติ จะมีสักกี่คนที่ใช้ความยุติธรรมเพื่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ บางทีบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก็ต่างหาคนผิดมาเป็นเหยื่อ ทั้ง ๆ ที่บางทีความจริงมิได้เป็นอย่างนั้น ยิ่งอยู่ในยุคสื่ออยู่ที่มือเรา ยิ่งใช้เป็นเครื่องมือยัดเยียดความผิดให้กันและกันอย่างง่ายดาย ความยุติธรรมของส่วนรวมจึงห่างหาย ในความเป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งใด คือ เราต้องนำความยุติธรรมเป็นคุณธรรมแรก ๆ ในการดำเนินชีวิต ยุติธรรมเพื่อผู้อื่น ยุติธรรมเพื่อความรัก ความสงบของสังคม เหมือนอย่างนักบุญหลุยส์ที่ทรงความยุติธรรมเป็นยิ่งนัก


นักบุญหลุยส์ไม่เคยลืมคำเตือนของพระมารดาที่ว่า “แม่จะยอมเห็นลูกสิ้นชีพแทบเท้าของแม่ ดีกว่าเห็นลูกทำบาปหนักสักหนึ่งประการ” ในแต่ละวันพระองค์จะเสด็จเข้าร่วม
2 พิธีมิสซา ทรงสวดทำวัตร และที่ข้าราชบริพารของพระองค์ไม่รู้คือ ใช้เวลาหลายชั่วโมงภาวนาและทำกิจใช้โทษบาป ธรรมเนียมที่คุกเข่าลงในระหว่างสวดบทแสดงความเชื่อเมื่อถึงตอนที่ว่า "และทรงบังเกิดเป็นมนุษย์" และในช่วงอ่านพระวรสารเรื่องพระทรมานตอนที่กล่าวถึงว่า "แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์" มีแหล่งที่มาจากนักบุญหลุยส์นี่เอง มิทรงยึดถือความสุขสบาย แต่กลับมีใจอ่อนหวานกับบรรดาคนยากจน และคนอับโชคทั้งหลาย - นอกจากทรงสร้างโรงพยาบาลหลายแห่งแล้ว ยังทรงหาบ้านให้คนตาบอด 300 คนได้อยู่ และทรงหาที่พักพิงให้พวกโสเภณีที่กลับตัวกลับใจ ในแต่ละวันจะทรงเลี้ยงอาหารพวกคนจนและทรงดูแลพวกคนโรคเรื้อนด้วย พระองค์ยังทรงแก้ไขกระบวนการให้ความยุติธรรมใหม่ทั้งหมด และทรงอนุญาตให้อุทธรณ์มาถึงพระองค์ได้  แทนที่แต่เดิมทำที่ศาลของขุนนางเท่านั้น  (บางส่วนของประวัตินักบุญหลุยส์ โดยคุณพ่อ วิชา  หิรัญญการ )

เรามาร่วมฉลองท่านด้วยกันในวันนี้ นอกจากงานภายนอก เราควรนำข้อคิดสะกิดใจเกี่ยวกับท่านไปใช้ในชีวิตบ้าง เพื่อเราจะได้เป็นลูกเป็นหลานนักบุญหลุยส์อย่างแท้จริง

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

มันไม่ง่ายเลย

 

มันไม่ง่ายเลย

>>> บางคนรับตำแหน่งเพื่อผู้อื่น แต่หลายคนดิ้นรนคว้าตำแหน่งเพียงเพื่อตัวเอง <<<

วันเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้น มักสอน ปลูกฝังเราให้พัฒนาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง เราเชื่อว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ในการที่จะให้เรามี เราเป็น เพื่อบางสิ่งบางอย่างเสมอ และมีความดีงามในทุกกรณีที่เกิดขึ้น วันนี้เราอาจจะประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม ข้าวของแพงขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เราอาจจะเจ็บป่วยติดโควิด ต้องพักรักษาตัว เราอาจจะเจ็บป่วยเข้าออกโรงพยาบาล ชีวิตวันนี้มันไม่ง่ายเลย แต่หากว่าเราใช้ความไม่ง่ายให้เรียบง่าย เราก็จะค้นพบความหมายที่แท้จริงของชีวิต

หญิงสาวคนหนหนึ่งเติบโตสวยงามตามวัย ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่แล้ว วันหนึ่งเหมือนถูกฟ้าผ่า ที่ต้องรับหน้าที่เป็นมารดาของพระเจ้า ใช้เวลาคิดแล้วคิดอีก ครุ่นคิดอยู่หลายวัน ด้วยศรัทธาอ่อนน้อมจึงน้อมรับ แม้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อการตั้งครรภ์เริ่มปรากฏ พร้อม ๆ กับเสียงนินทาของคนรอบข้าง เดินไปไหนก็มีแต่เสียงซุบซิบ พระเจ้าจึงหาทางออก ให้เธอไปอยู่กับญาติในอีกเมืองหนึ่ง และกล่อมให้คู่หมั้นรับเธอเป็นภรรยาตามจารีตประเพณี นี่คือปฐมบทของพระนางมารีย์และโยแซฟ ในตำแหน่งพ่อแม่ของพระเยซูเจ้า

ระหว่างทางชีวิตที่พลิกผัน จากหญิงสาวธรรมดา   ต้องกลายเป็นหญิงแกร่ง เป็นแม่ที่เข้มแข็ง ต้องคลอดลูกในที่ลำบากยากแค้น ต้องเดินทางหนีการไล่ล่า ออกตามหาลูกในวัยรุ่น ดูแลลูกชายสั่งสอนอบรมสามสิบปีเต็ม ๆ  ออกติดตามไปทุกที่ ในวันที่ลูกชายเริ่มออกทำภารกิจแห่งรัก จวบจนเห็นลูกชายถูกทรมาน ถูกตรึงตายบนกางเขน แสนจะเจ็บปวดต่อให้รู้ว่าเรื่องราวแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นก็ตาม จะมีแม่คนไหนทนเห็นลูกเจ็บปวด ตายต่อหน้าต่อตาได้เล่า!!! และเพื่อสานงานของลูกชาย พระนางต้องเป็นศูนย์รวมของบรรดาศิษย์ ให้กำลังใจปลุกขวัญจนทุกคนกล้าท้าทายยืนยันในคำสอนของพระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ยังต้องหนีภัยไปถึงตุรกี เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มศิษย์ตลอดจวบจนได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ขึ้นสู่อ้อมอกพระเจ้า

นี่คือบทสอนในการกระทำทุกเรื่อง ทุกเวลาในชีวิตอย่างเต็มที่ ด้วยความเชื่อไว้วางใจ ไม่ไขว่คว้าหาตำแหน่ง มันไม่ง่ายเลยสำหรับคน ๆ หนึ่ง แล้วเรา ใยต้องแสวงหาตำแหน่งกันให้ได้มาโดยวิธีง่าย ๆ มันจะมีคุณค่าอะไรให้จดจำในวันที่เราจำจรจากลาโลกนี้ไปเล่า….

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565

แม่ก็คือแม่

 

แม่ก็คือแม่

>>> วันเวลากัดกร่อนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่มิอาจจะทลายพลังของความเป็นแม่ได้ <<<

มีโอกาสกลับบ้านไปหาแม่ เริ่มเห็นแม่เปลี่ยนไปมาก ร่างกายซูบผอมแม้จะยังคงทานข้าวได้ปกติ จำชื่อลูก ๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังมีรอยยิ้ม ความห่วงหาอาทรเหมือนเดิม ทุกอย่างอาจจะจำไม่ได้ มีแต่คำพูดที่ติดปาก ถามเสมอว่า กินอะไรมาหรือยัง แม่ลุกเดินไม่ไหว แต่หัวใจยังศรัทธา นั่งสวดสายประคำทั้งวัน ถามว่าสวดให้ใครบ้าง คิดถึงใครก็สวดให้ ใครเดินผ่านหน้าบ้านก็สวดให้ ความเป็นแม่นี่ คือ ความรักสุดยอดที่มิอาจจะประเมินราคาได้เลย เหมือนในเรื่ิงจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประเทศจีน

นายหลิ​น ใ​นวัย 40 กว่า​ปี ก่อ​น​หน้านี้ เ​ขาตัดสินใจออ​กจากบ้า​นเกิดมาทำ​งานใ​นเมื​องให​ญ่ตั้งแต่​ตอน​ที่มีอา​ยุเ​พีย​ง 20 ปี จนกระทั่งวันเวลาผ่านไ​ป นายห​ลิน​ซึ่ง​ประสบ​ควา​มสำเร็จเ​ป็นเจ้าสัวใ​หญ่ ตัดสินใจ​จะขับรถคันห​รู​กลั​บบ้านเ​กิดไ​ปหาพ่อแม่ใน​ช่วงตรุษจีน​โดยไ​ม่​คิดจ​ริง ๆ ว่าจะเกิดเ​รื่องที่​ทำเอากลื​นไ​ม่เ​ข้า​คายไม่ออก ไ​ด้แต่​ยิ้​มแห้​ง หลังจากได้เห็น​คุ​ณแม่​ของเขานำป​ลามาตากแ​ห้ง​บนรถโ​ร​ลส์-ร​อยซ์ (Rolls-Royce) มูลค่ากว่า 32 ล้านบาท แ​ม่ขอ​งเขาก็ไ​ม่รู้เ​ช่​นกันว่ารถ​คันนี้​มูลค่าเท่าไ​หร่ วันนั้นแม่ไม่​สามารถ​หาที่ราบเ​หมาะ ๆ ตากปลาได้ จึง​ตัดสิ​นใจใช้ประโย​ชน์จาก​ฝากระโ​ปรงหน้ารถ ที่ทั้ง​กว้างแ​ละเป็นพื้น​ที่เ​รียบ ๆ ตากปลาซะเลย

นายหลิวซึ่งเพิ่งจะมาเห็น​ภา​ย​หลัง ก็ถึงกับ​ยิ้มแ​ห้งและทุกข์ใจสุด ๆ ต​อนเห็นแม่นำ​ปลาจำน​วนมากมาตาก​บนรถ​หรู แต่​ก็ไม่ก​ล้า​จะทักท้วงอะไร  ไม่กล้าแสดงความโกรธออกมา เ​พราะตั้​งแ​ต่ไปทำงาน แท​บไ​ม่ได้อ​ยู่กับพ่อแม่เ​ลย ก็เพิ่งจะไ​ด้​กลับ​มาเยี่ยมพวก​ท่า​นช่วงนี้ ทำให้พ่อแม่มีควา​มสุข​มาก แ​ถมปลาเหล่านี้แม่ก็ตั้งใจจะนำมาตากแห้ง ใ​ห้เขา​นำกลั​บไป​กินที่เมืองใหญ่ ราคาปลาแห้งจากน้ำมือแม่มีคุณค่าเกินกว่ามูลค่ารถหรู

น้อมคารวะแด่ผู้เป็นแม่ทุกท่าน ขอพระเจ้าประทานพระพร ตอบแทนความรัก ความห่วงใย ให้มีแต่ความสุข รอยยิ้ม เบิกบานตลอดนิจนิรันดร์ เพราะมือแม่ทุกมือแม้ไร้มูลค่า แต่เต็มไปด้วยคุณค่าที่ล้วนสร้างโลกใบนี้ให้งดงาม..

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ซื่อสัตย์ที่พลันแปร

 

ซื่อสัตย์ที่พลันแปร

>>> ให้ใจอ่อนน้อมต่อคนอื่น แต่อย่ายอมจนเกินไป 

เพราะมันจะทำให้เราถูกเอาเปรียบ <<<

สถานการณ์โลกสัปดาห์ที่ผ่านมาต่างลุ้นระทึก ถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นของประเทศใหญ่ ๆ โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความแปรปรวน ไม่เว้นแม้กระทั่งจิตใจของเรา บางครั้งบางวันเราก็นิ่งอดทนต่อเรื่องราวที่เข้ามาได้ตลอด บางวันกลับพลุ่งพล่าน พร้อมบวกพร้อมชนคนที่พูดไม่เข้าหู บางคนแสนดี ไม่กี่ปีแปรเปลี่ยนเป็นแสนร้าย ใครเล่าจะยึดมั่นในความดีงามได้ตลอด เราจึงจำเป็นต้องพากเพียรฝึกฝนตนอยู่ตลอดเวลา เพราะบางเวลา บางคน ที่ผ่านพบอาจจะไม่เป็นอย่างที่เคย ๆ เป็นมา



ชายยากจนคนหนึ่ง เขาเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง ขณะเดินทางเขาเหนื่อยและหิวมาก จึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมและสั่งไข่ต้มสิบฟอง เจ้าของร้านต้มไข่มาให้ เขารับไปและบอกเจ้าของร้านว่าเขาไม่มีเงินเลย และเขาจะกลับมาชดใช้ให้ทีหลังเมื่อเขาสอบได้ เจ้าของร้านไม่ได้ว่าอะไร เขากล่าวขอบคุณและจากไป  เวลาผ่านไปสิบปีเมื่อชายหนุ่มยากจนคนนี้ได้เป็นขุนนางและร่ำรวยขึ้น เขากลับมาที่ร้านด้วยการแต่งกายที่ภูมิฐานเขาสั่งไข่ต้มสิบฟอง หลังจากกินไปสองฟองเขาก็จ่ายเงินเป็นสองเท่าของไข่ไก่ต้ม เจ้าของร้านจึงถามว่า ท่านเศรษฐีไฉนท่านจึงจ่ายมากกว่าที่ท่านสั่งเป็นสองเท่าเล่า” ชายคนนั้นก็ตอบว่า ท่านคงจำข้าไม่ได้ เมื่อสิบปีก่อนข้าสั่งไข่ไก่สิบฟองและยังติดค้างท่านอยู่เรื่องราวน่าจะจบแบบดีงามตามท้องเรื่องทั่วไป

แต่ทว่า เจ้าของร้านเห็นเขาแต่งตัวดีเกิดความโลภก็บอกว่า “ข้าจำท่านได้สิ เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปีท่านจะจ่ายเท่าเดิมมิได้ดอก ต้องเพิ่มดอกเบี้ยด้วย” ชายหนุ่มคนนั้นก็หยิบเงินมาหนึ่งตำลึงทองวางลงบนโต๊ะ เจ้าของร้านเห็นลู่ทางได้เงินเพิ่มก็พูดออกมาว่า  “มิพอดอกท่าน ท่านลองคิดดูไข่ไก่สิบฟองถ้าเอาไปฟักจะเกิดลูกเกิดหลานมาเท่าไหร่ ท่านให้ข้าแค่นี้มิพอหรอก” ชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า ไข่ไก่ของท่านล้วนเป็นไข่ต้ม จะฟักตัวออกลูกออกหลานมาได้อย่างไรว่าแล้วเขาก็เก็บเหรียญทองคืนเข้ากระเป๋า จ่ายค่าไข่ไก่ต้มแค่ยี่สิบฟองและเดินออกจากร้านไปอย่างไม่ใยดี

ทำความดีแล้วต้องดีถึงที่สุด ซื่อสัตย์แล้วต้องซื่อสัตย์ตลอดไป การตอบแทนคนคือสิ่งที่ต้องทำ แต่ถ้าต้องตอบแทนอยู่ร่ำไปไม่รู้จบ ก็ควรจบเมื่อตอบแทนครบค่าหมดแล้ว ชีวิตนี้หากไม่มั่นคงก็จะแปรเปลี่ยนไปตามความโลภ หลงในกระแสได้ง่ายดายเช่นนี้แหละ….