วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตะวันขึ้นเหมือนเดิม

 

ตะวันขึ้นเหมือนเดิม

>>> ในช่วงหนึ่งชีวิตของคนเรานั้น ไม่ว่าจะทำอะไร คิดอะไร

ดูจะเข้าท่าเข้าทางเข้าที่ ดีไปเสียหมด จนคิดหลงระเริงว่า ฉัน คือ

คนเก่งสุด ดีที่สุด ที่นี่จะขาดคนอย่างฉันมิได้ หรือคิดไปไกลว่า

โลกนี้ขาดฉันคงจะแย่ แล้วโลกก็ยังอยู่ คนที่คิดแบบนี้ก็ล้มหายตายจากไป <<<

 

วันหนึ่งที่ริมหาด ตื่นเช้ามาเพื่อทักทายแสงแรกแห่งวัน โดยที่มิรู้ว่าวันนี้จะเห็นแสงท้องฟ้าที่หาดนี้จะเป็นเช่นไร ยิ่งเมื่อวานเย็นมีฝนตกหนัก คนแถวนี้บอกว่าท้องฟ้าอาจจะไม่สว่างสวยงามในวันรุ่งขึ้น แต่ก็ตื่นมาเดินเล่น สูดลม ไม่นานแสงเริ่มปรากฎ คนแถวนี้แม้จะอยู่มานานก็ยังพลาดคลาดเดาแสงตะวันผิด ใครเล่าจะล้วงรู้อนาคตได้จริงไหม??? มีเวลาเดินรำพึงไตร่ตรองชีวิต ในวันที่โลกนี้เต็มไปด้วยคนเก่ง เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่มีแต่เห็นแก่ตัว และเต็มไปด้วยคนที่มักจะแอบอ้างหลงใหลในตัวเองจนลืมมองคนรอบข้าง ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาแต่ใจ เอาแต่ความคิดตัวเอง โดยคิดว่านี่ คือพรที่พระมอบให้ฉันเพียงผู้เดียว โลกที่เต็มไปด้วยหยิ่งยโส ไม่เคารพคนอื่น ชอบอยู่เหนือคนอื่น แต่ไม่เคยซื่อสัตย์ต่อความเป็นคนเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่เราแต่ละคนนั้นไม่นานก็จำต้องจากไป ใยต้องยึด ใยต้องเอาตัวเป็นแกนกลางด้วยเล่า เราจากไปโลกยังอยู่ ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม


มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข ทุกๆ เช้าเวลาตีห้า ไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่ว ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้ เห็นตะวันค่อย ๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น นี่คือ ผลงานของฉัน ทุก ๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นเสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก 

ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย เช้าตรู่วันนั้น ไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้นก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ “พ่อ ผมว่า ถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม” ไก่พ่อ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก “น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ” เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย 

เช้าตรู่วันนั้นทั้ง ๆ ที่ป่วย ไก่ตัวนี้ก็บินขึ้นไป เกาะบนกิ่งไม้ และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราด ๆ ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมด่วน ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า “เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค ฉะนั้น ขอให้เธอและลูกช่วยเหลือกันและกันให้ดี ๆ ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันดี ๆ นะที่รัก” 

เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่า วันรุ่งขึ้นพอไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม 


การให้เกียรติคนอื่นเราจะได้รับเกียรติมากขึ้นกว่าเดิม คนเรายิ่งก้าวขึ้นสูงยิ่งต้องอ่อนน้อมต่ำลง เราก็จะได้รับการยกย่องอย่างสง่างาม แสงตะวันไม่เคยบ่นและคุยข่มใครว่าข้ายิ่งใหญ่ แต่กลับขึ้นลงอย่างซื่อสัตย์ คนเราจะอะไรกันหนักหนา อย่าอคติอะไรกันมากมายนัก อย่าคิดว่ายิ่งใหญ่กันนักเลย ไม่นานเมื่อดินกลบหน้าก็ไม่มีใครพูดถึง อย่าคิดว่าเราเป็นเจ้าของโลก เพราะ โลกจะดำรงอยู่ตลอดไปแม้จะไม่มีใครอยู่เลย…

ไม่มีความคิดเห็น: