วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ด้านนี้มีด้านนั้น

 

ด้านนี้มีด้านนั้น

 

>>>หลายสิ่งบนโลกนี้ที่เราเห็น เรารับรู้เพียงเพราะว่ามัน คือ สิ่งนั้นสิ่งนี้

แต่ไม่ได้คิดไปถึงต้นตอว่า กว่ามันมาถึงวันนี้ที่เราได้เห็น ได้ชื่นชม ได้ใช้ได้อย่างไร?  

เราก็แค่เห็นอยู่ตรงหน้า จึงเผลอด้อยค่าหลายสิ่งหลายอย่าง หลายเรื่องที่มีคนสร้างไว้

ด้วยความอุตสาหะ พยายาม และเวลาที่ใช้สร้างมันขึ้นมา<<<

 

หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นในวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งวิถีการดำเนินชีวิต เรื่องการทำงาน เรื่องเศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล เพราะเจ้าโควิดมันมาทำให้โลกของเราเขย่า อะไรที่ไม่เคยเห็นเราก็ได้เห็น คนป่วยเต็มบ้านเต็มเมืองล้นโรงพยาบาล ทั่วโลกต่างเร่งหาวิธีต่อสู้ป้องกัน แต่เจ้าโรคร้ายมันก็กระโดดพัฒนาตัวเองหนีออกไปอีก เดี๋ยวเกิดเชื้อใหม่ที่นั่นที่นี่ เวียนหัวกันทั้งโลก อะไรที่กำลังจะก้าวหน้า เดินหน้าต่างหยุดชะงักงัน ทำให้ทุกคนต้องอยู่กับที่ อยู่กับบ้านเรือน อยู่ในที่ที่ของตัวเอง ยิ่งออกมายิ่งเพิ่มการระบาด หรือว่า ธรรมชาติกำลังบอกกล่าวเราว่า “มนุษย์เอ๋ย ให้เวลากับตัวเองบ้าง อย่าเที่ยวไปวุ่นวายข้างนอกกันนักเลย”


ในขณะที่คนป่วยไร้เตียง เราก็ยังมีคนเก่งล้นโลก
ที่ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย ด้วยอคติ ด้วยคำพูดโอ้อวด ด้วยเหตุผลส่วนตัวนานาประการ ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีใครรู้จริงรู้ลึกในวายร้ายโควิด-19 ตัวนี้เลย นอกจากวิ่งไล่ตามมัน มันล้มล้างทฤษฏีทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เราต้องเริ่มต้นศึกษา วิจัยกันใหม่ทุกวัน และอาจจะต้องใช้เวลาในการนี้ ฉะนั้นเราทั้งหลายแทบไม่รู้จริงในโรคอุบัติใหม่นี้เลย ทำให้หันกลับมามองดูเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตที่ผ่านมา เราเองก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว พลั้งปากไปวิพากษ์วิจารณ์ไปตามวิสัยทัศน์ของเรา ซึ่งสั้นยาวเพียงใดนั้นเราก็ไม่ทราบได้ บางครั้งเมื่อวันเวลาผ่านไป มารู้ความจริงอีกด้านทำให้แทบสำนึกผิดไม่ทัน สิ่งนี้ทำให้ก็ต้องระมัดระวังปากคำพูด นิ่งให้เป็นมากยิ่งขึ้น ทุกคนทุกสิ่งมีหลายด้านหลากแง่มุม ตาเราเห็นได้เพียงด้านเดียว มิติเดียว เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้



ณ คาเฟ่แห่งหนึ่ง ปิกัสโซ่วาดรูปลงบนผ้าเช็ดปาก หญิงคนหนึ่งเห็นเข้าและจำได้ว่าคนนี้ คือ “ปิกัสโซ่” จิตรกรเอกจึงขอซื้อผ้าเช็ดปากที่มีรูปวาดนั้น และถามว่าเท่าไหร่?

 ปิกัสโซ่ตอบว่า สองหมื่นเหรียญ นางช็อค !! แล้วว่า

คุณใช้เวลาแค่สองนาทีวาดรูปนี้นะ”  

ปิกัสโซ่ตอบว่า

ไม่นะผมใช้เวลาทั้งชีวิตต่างหาก…

อย่าไปตัดสินใครเพียงสิ่งที่เห็น เพียงแค่พื้นถิ่น หรือเพียงแค่สิ่งที่เราได้ยินมา คนบางคนมีดีเกินกว่าที่เราคิดเราเห็น เพียงเพราะเราอาจเห็นเพียงด้านเดียงของเขา ช่วยกันมองลึกไปถึงความเป็นมาของทุกสรรพสิ่ง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันมีที่มาที่ไป  ทุกคนมีค่าสำหรับโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเนป็ลูกหลานใคร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน ที่สุดแล้วปลายทางเราก็ไม่ต่างกัน วันสุดท้ายนอนลงราบกับพื้นดินเช่นกัน สิ่งที่เราด้อยค่าคนอื่น ยิ่งทำให้เราด้อยค่าตัวเองลงไป ในทางกลับกันหากเรารัก เข้าใจตัวเองได้ดี เราก็จะรักและเข้าใจกคนอื่นได้ดีเช่นกัน เราควรจะพูดกัน สื่อสารกันอย่างเห็นคุณค่าเดียวกันและเข้าใจกันมากขึ้น โลกนี้ไม่มีอะไรที่เรารู้ได้หมดจรด แม้แต่ตัวเราเองยังรู้ไม่หมดเลย สำหาอะไรจะไปรู้ดีเรื่องของคนอื่นเล่า เอาเวลามาฝึกฝนชีวิตจิตวิญญาณให้ยกระดับสูงขึ้นกันดีกว่า เพื่อมองรอบข้าง มองรอบตัวด้วยสายตาแห่งรักและเมตตา

ไม่มีความคิดเห็น: