วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องถ่อมตน

 

ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องถ่อมตน

>>> คนที่มีอำนาจ แล้วใช้ไม่เป็นเที่ยวบังคับ ข่มขู่ ห้ามขัดใจ เรียกว่า “เหลิง”

คนที่ชอบอวดตัว อวดเก่งไม่ฟังใคร เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง เรียกว่า “หลง”

คนที่ได้ดี และไม่สนใจคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา  เรียกว่า “ลืม”

คนที่เอาแต่สร้างภาพไปวัน ๆ โชว์ตัวเองให้ดูดีดูเด่น เราเรียกว่า “หลอก” <<<

 


สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉลองวัดของเราเวียนมาอีกรอบ เป็นปีที่ 64 ทุกอย่างรอบวัดเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง ผู้คนผ่านเปลี่ยนหมุนเวียนไปมา วัดก็ยังมั่นคงดำรงอยู่ หันกลับมาที่ตัวเรา ยังมั่นคงในสิ่งใดบ้าง หรือเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสรอบตัว ยิ่งในภาวะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทำให้ผู้คนหลงลืม เหลิง หลอกลวงกัน เพราะอะไรเล่า??? เพราะจิตใจเราไม่มั่นคง จิตวิญญาณเราไม่เข้มแข็งพอ มีแต่ความเห็นแก่ตัว

สมัยนี้มีคนสร้างภาพกันมากมาย เพียงเพื่อให้คนที่ไม่รู้จักมาสรรเสริญ เยินยอ เป็นสังคม ขี้อวด พยายามอวดว่าชีวิต สมบูรณ์พร้อม ทั้ง ๆ ทีทุกวันต้องหมกมุ่นหาสิ่งปลอม ๆ มาแต่งเติมให้ชีวิตดูเหมือนว่าดี สร้างภาพความดีเพื่อสร้างสุขชั่วคราว บางทีการมีชีวิตเรียบง่าย พอดี อยู่แบบสบายใจไม่ต้องพยายามยกระดับตนเอง เพื่อหลอกตาใคร คือ ชีวิต “ดีงาม” มีความสุขที่แท้จริง!เราอยากมีชีวิตที่เรียบง่ายหรือต้องพยายามสร้างภาพหลอกคนอื่นตลอดเวลา ต้องหมั่นตาใจเราดู สุขอยู่ที่ใจ เมื่อใจสุขร่างกายย่อมสดชื่น เมื่อใจน้อมรับในความเป็นเรา ไม่เป็นอย่างคนอื่น เราจะมีใบหน้าที่แท้จริง ที่ยิ้มแย้ม ไม่เคร่งเครียดจนหน้าดำหน้าแดงตลอดเวลา

เราต้องสำนึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตเพียงใดก็ตาม ใช่หรือไม่ ตำแหน่งนั้นมันก็อยู่กับเราไม่นาน แต่โลกจะยังดำรงอยู่ พระศาสนจักรก็ยังมั่นคง ต่อไป แม้เราจะมลายร่างหายไป อย่าไปคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในกำมือเรา หากเราได้มีตำแหน่งที่สูง แต่ควรต้องนำมาเป็นหนทางช่วยเหลือผู้อื่น เป็นหนทางที่จะนำรักนำความเมตตาสู่สังคมได้ง่ายขึ้น ใช้ให้เป็นพระพร เหมือนกษัตริย์หลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ที่มีตำแหน่งเหนือใครต่อใคร แต่ไม่เคยทำตัวให้สูงเด่น แต่กลับโน้มตัว ย่อตัวลง น้อมรับนำพระเมตตา ความเที่ยงธรรม สู่ปวงชนจนทำให้ท่านกลายเป็นนักบุญและเป็นองค์อุปถัมภ์วัดของเรา ลองศึกษาช่วงหนึ่งของชีวิตท่าน แล้วมาไตร่ตรองร่วมกันในวันฉลองวัดปีนี้


นักบุญหลุยส์ในช่วงจัหวะชีวิตการเป็นกษัตริย์
ทรงให้ความรักแก่คนยากจนและผู้เจ็บป่วย ทำแผลดูแลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง ทรงรับประทานอาหารร่วมกับผู้ยากไร้ และคนตาบอด เพราะทรงแลเห็นพวกเขาเป็นพระคริสตเจ้าที่กำลังทนทุกข์ทรมาน การให้เวลาเพื่อช่วยผู้ที่ตกอยู่ในความลำบากต่าง ๆ นั้น มิได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อการปกครองพระราชอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงปกครองด้วยความเสมอภาค ทรงโปรดให้สร้างที่พักสำหรับนักศึกษาและคนยากจน และทรงหาวิธีช่วยเหลือให้ประชากรของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเสมอ พระนามของพระองค์เป็นที่ลือเลื่องไปทั่ว ทรงได้รับเชิญให้เป็นผู้ตัดสินคดีความระหว่างประเทศ พระองค์ตรัสเสมอว่า  การใช้กำลังต่อสู้ มิใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

 

ความยิ่งใหญ่ในสิ่งเล็ก ๆ

 

>>> ในสังคมใหญ่เรามักเห็นความเห็นแก่ตัวมากมี เรามักเห็นคนเอาแต่ใจมากมาย

ความเจริญทางด้านวัตถุบางทีก็แอบซ่อนคมดาบปลายหอกทิ่มแทงจิตใจผู้คนให้เจ็บปวด

ในยามวิกฤติวันนี้ สิ่งที่จะช่วยเยียวยาได้ดีที่สุด คือ น้ำใจ

และการทำเพื่อคนอื่นไม่ใช่ทำเพื่อสร้างภาพ <<<

 

ใกล้วันฉลองวัดเซนต์หลุยส์แล้ว บรรยากาศแบบเดิม ๆ อาจจะไม่ได้พบเห็น เพราะโรคระบาดโควิด-19 ยังไม่สร่างซาลงเลย  มีสิ่งหนึ่งที่ให้ย้อนรำลึกถึงเสมอ คือ น้ำใจของหลายคนที่มีให้วัดเสมอมา  วันนี้ก็ยังมีการถามไถ่เพื่อร่วมทำบุญในวันฉลองวัด  คนในชุมชนเซนต์หลุยส์ยังคงมีความผูกพันกันเสมอ ในทุก ๆ ปี เมื่อมีงานฉลองวัดเพียงได้รู้ หลายคนก็จะส่งน้ำจิตน้ำใจ ให้ปัจจัย ออกแรงช่วยเหลือกัน เป็นความงดงามในชุมชนเล็ก ๆ กลางเมืองใหญ่แห่งนี้ จึงทำให้นึกถึงบุคคลผู้หนึ่ง คือ เจ๊หมวย (เจ๊เซ็กซี่ ของชาว ACC) ที่ขายน้ำหน้าโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ ซอย 2 แม้จะต่างความเชื่อ ก็ทำบุญช่วยงานกันมาทุกปี

และเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่เจ๊หมวยได้ทำอยู่ในช่วงที่ล็อกดาวน์ทุกอย่างหยุด ในช่วงโควิดระบาดจนเมืองไทยระบม เจ๊หมวยก็ไม่นิ่งเฉย อะไรทำได้ทำ สิ่งที่ใกล้ตัวสุดก็ต้มน้ำสมุนไพรแจกฟรี เช้าไปตลาดซื้อของ ทั้งของที่จะนำมาทำขาย และสมุนไพร กลับมาก็จัดการทำน้ำที่ตัวเองขาย สาย ๆ ก็ต้มน้ำหม้อใหญ่ หลาย ๆ ใบ สมุนไพร 11 ชนิดหั่นแล้วนำลงไปต้ม ผสมผสานให้เข้ากัน เคี่ยวให้จนได้ที่ (ใช้เวลาและกำลังแขนพอควร) จากนั้นก็นำมาพักให้คลายร้อนลงนิดหน่อย ตักน้ำใส่ถุง วางเรียงไว้ ใครอยากได้เท่าไหร่หยิบฟรี  และเศษสมุนไพรวางไว้หากใครอยากได้ไปเพื่อสูดลม เรียกว่าใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่



หลายคนเห็นเจ๊หมวยทำจึงอาสามาช่วย จากคนคุ้นเคย ขยายวงออกไปวนเวียนกันช่วยลดความเหนื่อยของเจ๊ บางคนอาสานำถุงน้ำสมุนไพรไปส่งคนป่วยติดเชื้อตามบ้าน ทำกันอาทิตย์ละสี่วัน จันทร์ถึงพฤหัสฯ ใช้ทุนอาทิตย์ละสองหมื่น 


จากน้ำพักน้ำแรงของเจ๊หมวยใจบุญ  บุญต่อบุญ หลายองค์กร หลายผู้ใหญ่ใจดี บราเดอร์ จากโรงเรียน
ACC จึงเข้ามาช่วยสมทบทุนและอุปกรณ์ ถุงน้ำสมุนไพรนำไปแจกจ่ายทั่วเขตสาทร,เขตบางคอแหลม,วัดยานนาวา,วัดดอน ตามแคมป์ก่อสร้างยานนาเวศ,วัดลุ่ม,ร้านถุงเงิน,สะพาน3 และหน้า ร.ร.ACC  ความอาทรยังคงมีอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆแห่งนี้ อะไรทำได้ก็ทำเพียงคำนี้นี่เองคือน้ำใจยิ่งใหญ่ที่ยังไม่เคยจางหายไปในสังคมไทย

จากบุญต่อบุญ จากบุญก่อบุญ จากสิ่งที่อะไรทำได้ก็ทำ มาเป็นอะไรที่ช่วยกันทำได้ก็มาช่วยกัน หลังจากที่ทำน้ำสมุนไพรเพื่อจิบดื่มกิน ป้องกันไวรัสโควิด-19 ไปให้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้ผู้คนรู้จักน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเจ๊หมวย ยิ่งมีผู้คนนำปัจจัย สิ่งของที่ต้องใช้จ่ายมาให้ ศิษย์เก่าโรงเรียน ACC คนคุ้นเคย พ่อค้าแม่ขาย คนระแวกเซนต์หลุยส์ซอย 2 ร่วมกัน ส่งเสริมให้เกิดกองบุญกองใหม่ขยายมากขึ้น วันนี้จึงเริ่มทำข้าวกล่อง ข้าวถุง ส่งถึงบ้านคนกักตัว สถานการณ์การผู้ติดเชื้อมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งมีความต้องการอาหารมากขึ้นตามมา และถึงแม้เจ๊หมวยจะเหนื่อยมากอีกหลายเท่าตัว แต่สิ่งที่ได้รับ คือ น้ำใจ ที่ยิ่งทียิ่งมากขึ้น จากมือที่เป็นระวิงได้นำสิ่งงดงามมาให้กับชุมชนและสังคม และนี่คือยาขนานเอกที่จะช่วยเยียวยาสังคมไทยให้มั่นคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน


วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตะวันขึ้นเหมือนเดิม

 

ตะวันขึ้นเหมือนเดิม

>>> ในช่วงหนึ่งชีวิตของคนเรานั้น ไม่ว่าจะทำอะไร คิดอะไร

ดูจะเข้าท่าเข้าทางเข้าที่ ดีไปเสียหมด จนคิดหลงระเริงว่า ฉัน คือ

คนเก่งสุด ดีที่สุด ที่นี่จะขาดคนอย่างฉันมิได้ หรือคิดไปไกลว่า

โลกนี้ขาดฉันคงจะแย่ แล้วโลกก็ยังอยู่ คนที่คิดแบบนี้ก็ล้มหายตายจากไป <<<

 

วันหนึ่งที่ริมหาด ตื่นเช้ามาเพื่อทักทายแสงแรกแห่งวัน โดยที่มิรู้ว่าวันนี้จะเห็นแสงท้องฟ้าที่หาดนี้จะเป็นเช่นไร ยิ่งเมื่อวานเย็นมีฝนตกหนัก คนแถวนี้บอกว่าท้องฟ้าอาจจะไม่สว่างสวยงามในวันรุ่งขึ้น แต่ก็ตื่นมาเดินเล่น สูดลม ไม่นานแสงเริ่มปรากฎ คนแถวนี้แม้จะอยู่มานานก็ยังพลาดคลาดเดาแสงตะวันผิด ใครเล่าจะล้วงรู้อนาคตได้จริงไหม??? มีเวลาเดินรำพึงไตร่ตรองชีวิต ในวันที่โลกนี้เต็มไปด้วยคนเก่ง เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่มีแต่เห็นแก่ตัว และเต็มไปด้วยคนที่มักจะแอบอ้างหลงใหลในตัวเองจนลืมมองคนรอบข้าง ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาแต่ใจ เอาแต่ความคิดตัวเอง โดยคิดว่านี่ คือพรที่พระมอบให้ฉันเพียงผู้เดียว โลกที่เต็มไปด้วยหยิ่งยโส ไม่เคารพคนอื่น ชอบอยู่เหนือคนอื่น แต่ไม่เคยซื่อสัตย์ต่อความเป็นคนเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่เราแต่ละคนนั้นไม่นานก็จำต้องจากไป ใยต้องยึด ใยต้องเอาตัวเป็นแกนกลางด้วยเล่า เราจากไปโลกยังอยู่ ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม


มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข ทุกๆ เช้าเวลาตีห้า ไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่ว ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้ เห็นตะวันค่อย ๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น นี่คือ ผลงานของฉัน ทุก ๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นเสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก 

ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย เช้าตรู่วันนั้น ไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้นก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ “พ่อ ผมว่า ถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม” ไก่พ่อ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก “น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ” เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย 

เช้าตรู่วันนั้นทั้ง ๆ ที่ป่วย ไก่ตัวนี้ก็บินขึ้นไป เกาะบนกิ่งไม้ และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราด ๆ ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมด่วน ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า “เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค ฉะนั้น ขอให้เธอและลูกช่วยเหลือกันและกันให้ดี ๆ ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันดี ๆ นะที่รัก” 

เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่า วันรุ่งขึ้นพอไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม 


การให้เกียรติคนอื่นเราจะได้รับเกียรติมากขึ้นกว่าเดิม คนเรายิ่งก้าวขึ้นสูงยิ่งต้องอ่อนน้อมต่ำลง เราก็จะได้รับการยกย่องอย่างสง่างาม แสงตะวันไม่เคยบ่นและคุยข่มใครว่าข้ายิ่งใหญ่ แต่กลับขึ้นลงอย่างซื่อสัตย์ คนเราจะอะไรกันหนักหนา อย่าอคติอะไรกันมากมายนัก อย่าคิดว่ายิ่งใหญ่กันนักเลย ไม่นานเมื่อดินกลบหน้าก็ไม่มีใครพูดถึง อย่าคิดว่าเราเป็นเจ้าของโลก เพราะ โลกจะดำรงอยู่ตลอดไปแม้จะไม่มีใครอยู่เลย…

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ด้านนี้มีด้านนั้น

 

ด้านนี้มีด้านนั้น

 

>>>หลายสิ่งบนโลกนี้ที่เราเห็น เรารับรู้เพียงเพราะว่ามัน คือ สิ่งนั้นสิ่งนี้

แต่ไม่ได้คิดไปถึงต้นตอว่า กว่ามันมาถึงวันนี้ที่เราได้เห็น ได้ชื่นชม ได้ใช้ได้อย่างไร?  

เราก็แค่เห็นอยู่ตรงหน้า จึงเผลอด้อยค่าหลายสิ่งหลายอย่าง หลายเรื่องที่มีคนสร้างไว้

ด้วยความอุตสาหะ พยายาม และเวลาที่ใช้สร้างมันขึ้นมา<<<

 

หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นในวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งวิถีการดำเนินชีวิต เรื่องการทำงาน เรื่องเศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล เพราะเจ้าโควิดมันมาทำให้โลกของเราเขย่า อะไรที่ไม่เคยเห็นเราก็ได้เห็น คนป่วยเต็มบ้านเต็มเมืองล้นโรงพยาบาล ทั่วโลกต่างเร่งหาวิธีต่อสู้ป้องกัน แต่เจ้าโรคร้ายมันก็กระโดดพัฒนาตัวเองหนีออกไปอีก เดี๋ยวเกิดเชื้อใหม่ที่นั่นที่นี่ เวียนหัวกันทั้งโลก อะไรที่กำลังจะก้าวหน้า เดินหน้าต่างหยุดชะงักงัน ทำให้ทุกคนต้องอยู่กับที่ อยู่กับบ้านเรือน อยู่ในที่ที่ของตัวเอง ยิ่งออกมายิ่งเพิ่มการระบาด หรือว่า ธรรมชาติกำลังบอกกล่าวเราว่า “มนุษย์เอ๋ย ให้เวลากับตัวเองบ้าง อย่าเที่ยวไปวุ่นวายข้างนอกกันนักเลย”


ในขณะที่คนป่วยไร้เตียง เราก็ยังมีคนเก่งล้นโลก
ที่ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย ด้วยอคติ ด้วยคำพูดโอ้อวด ด้วยเหตุผลส่วนตัวนานาประการ ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีใครรู้จริงรู้ลึกในวายร้ายโควิด-19 ตัวนี้เลย นอกจากวิ่งไล่ตามมัน มันล้มล้างทฤษฏีทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เราต้องเริ่มต้นศึกษา วิจัยกันใหม่ทุกวัน และอาจจะต้องใช้เวลาในการนี้ ฉะนั้นเราทั้งหลายแทบไม่รู้จริงในโรคอุบัติใหม่นี้เลย ทำให้หันกลับมามองดูเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตที่ผ่านมา เราเองก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว พลั้งปากไปวิพากษ์วิจารณ์ไปตามวิสัยทัศน์ของเรา ซึ่งสั้นยาวเพียงใดนั้นเราก็ไม่ทราบได้ บางครั้งเมื่อวันเวลาผ่านไป มารู้ความจริงอีกด้านทำให้แทบสำนึกผิดไม่ทัน สิ่งนี้ทำให้ก็ต้องระมัดระวังปากคำพูด นิ่งให้เป็นมากยิ่งขึ้น ทุกคนทุกสิ่งมีหลายด้านหลากแง่มุม ตาเราเห็นได้เพียงด้านเดียว มิติเดียว เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้



ณ คาเฟ่แห่งหนึ่ง ปิกัสโซ่วาดรูปลงบนผ้าเช็ดปาก หญิงคนหนึ่งเห็นเข้าและจำได้ว่าคนนี้ คือ “ปิกัสโซ่” จิตรกรเอกจึงขอซื้อผ้าเช็ดปากที่มีรูปวาดนั้น และถามว่าเท่าไหร่?

 ปิกัสโซ่ตอบว่า สองหมื่นเหรียญ นางช็อค !! แล้วว่า

คุณใช้เวลาแค่สองนาทีวาดรูปนี้นะ”  

ปิกัสโซ่ตอบว่า

ไม่นะผมใช้เวลาทั้งชีวิตต่างหาก…

อย่าไปตัดสินใครเพียงสิ่งที่เห็น เพียงแค่พื้นถิ่น หรือเพียงแค่สิ่งที่เราได้ยินมา คนบางคนมีดีเกินกว่าที่เราคิดเราเห็น เพียงเพราะเราอาจเห็นเพียงด้านเดียงของเขา ช่วยกันมองลึกไปถึงความเป็นมาของทุกสรรพสิ่ง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันมีที่มาที่ไป  ทุกคนมีค่าสำหรับโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเนป็ลูกหลานใคร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน ที่สุดแล้วปลายทางเราก็ไม่ต่างกัน วันสุดท้ายนอนลงราบกับพื้นดินเช่นกัน สิ่งที่เราด้อยค่าคนอื่น ยิ่งทำให้เราด้อยค่าตัวเองลงไป ในทางกลับกันหากเรารัก เข้าใจตัวเองได้ดี เราก็จะรักและเข้าใจกคนอื่นได้ดีเช่นกัน เราควรจะพูดกัน สื่อสารกันอย่างเห็นคุณค่าเดียวกันและเข้าใจกันมากขึ้น โลกนี้ไม่มีอะไรที่เรารู้ได้หมดจรด แม้แต่ตัวเราเองยังรู้ไม่หมดเลย สำหาอะไรจะไปรู้ดีเรื่องของคนอื่นเล่า เอาเวลามาฝึกฝนชีวิตจิตวิญญาณให้ยกระดับสูงขึ้นกันดีกว่า เพื่อมองรอบข้าง มองรอบตัวด้วยสายตาแห่งรักและเมตตา