วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อิ่มเกินไป

 

อิ่มเกินไป

>>>บ่อยครั้งที่เรากินอาหารเพราะความยากหาใช่ความอดยาก

กินจนอิ่มล้น กินเพื่อสนองปากหาใช่เพื่อบำรุงกาย

หลายอย่างเราก็เป็นเช่นนั้น เสพจนล้น กอบโกยสะสมจนแน่ทะนาน>>>

 

หลังจากทานข้าวมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นจนอิ่มแปร้ ก็รู้สึกคัน ๆ คอ จนไอออกมาอยู่หลายวัน วิตกจริตว่าจะติดโควิดหรือเปล่า!!! เฝ้าสังเกตอาการ ทั้งวันก็ไม่ไอไม่คันคอ จะเป็นเฉพาะหลังกินข้าวนี่แหละ ถามไถ่ผู้รู้ ก็ได้คำตอบว่า น่าจะเป็นกรดไหลย้อน ต้องกินให้น้อยลง แต่กินบ่อย ๆ เคี้ยวนาน ๆ จนละเอียด พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะสิ่งที่ลงไปนั้นมันกลายเป็นกรดไหลย้อนมาทำให้คันคอ ก็ต้องมาเริ่มฝึกนิสัยการกินกันใหม่ จากที่กินเร็ว กินเยอะ ก็เพลา ๆ ลงบ้าง เมื่อเกิดอาการแบบที่กล่าวมา ก็มานั่งคิดพินิจพิจารณาว่า ในชีวิตจริงหลายสิ่งก็เป็นเช่นนั้น อะไรที่มากไปก็มักล้นออกมา


ใช่หรือไม่ กินมากไปก็อ้วนออกมา เสพมากไปก็ติดไม่คิดจะทำอะไร คิดมากไปก็กลายเป็นคนวิตกจริตหรือถึงขั้นเป็นบ้าไปเลยก็มี โลภมากไปก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดนคนรังเกียจ กลัวมากไปก็เป็นโรคซึมเศร้า รักมากไปก็อันตรายเพราะต้องหึงต้องหวงโหยหาจนไร้ความสุข ชีวิตต้องสมดุล ชีวิตที่แท้ต้องรู้ว่าสิ่งไหนพอดีกับตัวเอง ชีวิตเราไม่ได้มีไว้โอ้อวด ชีวิตเรานั้นสั้นนัก เหมือนดังบทกวีรัสเซียกล่าวไว้ว่า

เวลาหนึ่งวันนั้นแสนสั้น  ยังไม่ทันโอบกอดช่วงเช้า    ก็ได้เวลาโบกมืออำลาช่วงเย็นแล้ว 

เวลาหนึ่งปีนั้นแสนสั้น ยังไม่ทันพินิจพิเคราะห์สีสันสดใสของฤดูใบไม้ผลิ ก็ได้เวลาสัมผัสสีขาวโพลนของหิมะแล้ว

เวลาหนึ่งชั่วอายุคนนั้นแสนสั้น ยังไม่ทันรื่นเริงกับชีวิตวัยสดใส ก็ได้เวลาใกล้อาทิตย์อัสดงแล้ว มักจะรู้สึกเวลามันผ่านไปเร็วจนน่าใจหายกว่าจะรู้เดียงสา ก็มักสายเสียแล้ว ทำให้เราต้องรู้จักหวงแหน หวงแหนความรักรูปแบบต่าง ๆ บนเส้นทางชีวิตที่เราประสพพบ ความรักจากเหล่าญาติสนิท จากมิตรสหาย จากเพื่อนร่วมงาน จากเพื่อนร่วมเรียน เพราะถ้ามันผ่านไปแล้ว มักไม่มีวันหวนกลับมาอีก

อายุ 20 ขึ้นไป “ถิ่นกำเนิด” หรือ ต่างถิ่น ก็คล้ายคลึงกัน ไปถึงไหนก็ปรับตัวได้

อายุ 30 ขึ้นไป กลางคืน หรือ กลางวัน ก็คล้ายคลึงกัน ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนสักกี่วันกี่คืนก็ไม่เป็นไร

อายุ 40 ขึ้นไป ระดับการศึกษาสูง หรือ ต่ำ ก็คล้ายคลึงกัน เผลอๆ คนมีการศึกษาน้อยกว่ายังสามารถหาเงินได้เก่งกว่า

อายุ 50 ขึ้นไป สวย หรือ ขี้เหร่ก็คล้ายคลึงกัน จะสวยแค่ไหน รอยย่น รอยตีนกา ฝ้ากระก็เต็มใบหน้าเหมือนกัน

อายุ 60 ขึ้นไป ตำแหน่งใหญ่ หรือ เล็ก ก็คล้ายคลึงกัน พอเกษียณแล้ว ต่างก็ไร้ตำแหน่งเหมือนกัน

อายุ 70 ขึ้นไป บ้านหลังใหญ่โต หรือ เล็ก ก็คล้ายคลึงกัน ไขข้ออักเสบ เดินเหินไม่สะดวก คงต้องการเนื้อที่ในบ้านแค่นิดเดียว

อายุ 80 ขึ้นไป เงินมาก หรือ เงินน้อย ก็คล้ายคลึงกัน โอกาสใช้จ่ายจะมีสักกี่มากน้อย

อายุ 90 ขึ้นไป ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง ก็คล้ายคลึงกัน เพราะเรื่องนั้นมันจบไปนานแล้ว

อายุ 100 ขึ้นไป นอน หรือ ลุก ก็คล้ายคลึงกัน เพราะลุกขึ้นมาก็ไม่รู้จะทำอะไร

ชั่วชีวิตหนึ่งของคุณหรือของใครก็ตาม ก็คงไม่แตกต่างกันมากน้อยสักแค่ไหน ชีวิตมันก็แค่นี้จริง ๆ ปลงให้ตก มองให้เข้าใจ เพ่งให้ทะลุ แล้วมีความสุข และหัวเร่าะทุก ๆ วันกับคนที่เรารัก และคนที่รักเรา เฉลิมฉลองให้เหมือนว่า...ทุกๆวันเป็นวันปีใหม่ ทุกๆวันเป็นวันเกิดทุก ๆ วันเป็นวันสำคัญ ทุก ๆๆ วัน คือ Happy New Year (ที่มา : บทกลอนของรัสเซีย ชื่อว่า สั้น )

   
        
โลกวันนี้ที่กำลังถูกรุกราน ลุกลามด้วยโรคระบาด เราต้องหันกลับมามองชีวิตจริง ๆ จัง ๆ สิ่งที่เราเคยใช้ เคยกิน เคยเสพ ที่มากเกินไป เราต้องพยายามลดลงบ้าง อคติสูงก็บดบังสติ ยะโสเกินไปก็ด้อยค่าความอ่อนน้อม สะสมมากไปก็เสื่อมสุขมากเท่านั้น หาอาหารฝ่ายจิต เพิ่มพูนคุณค่าฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะพบกับหนทางแห่งความสุขอันแท้จริงนิรันดร์กาล….

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

โรคสอนเรา

 

โรคสอนเรา

>>> ตื่นเช้าขึ้นมาต้องสำรวจว่าเจ็บคอหรือป่าว มีไข้หรือไม่ จิตตกกลัวว่าจะติดเชื่อโควิด -19 สายพันธุ์เดลต้า หรือพันธุ์อื่น ๆ กลัว กังวล ชีวิตวัน ๆ เฝ้าแต่ระวัง ทำความสะอาดร่างกาย

อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรารักตัวเองมากขึ้น ห่วงใยคนข้างกายมากขึ้น<<<

       


            ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักหมื่น สู่หมื่นกว่า ทำให้เราจิตตกไปตาม ๆ กัน ใช่ว่าจะเกิดขึ้นแต่ในประเทศไทยเราเพียงเท่านั้น หันไปมองรอบข้างแต่ละประเทศก็จมปลักอยู่กับการต่อสู้กับโควิด จนไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ปิดบ้านปิดเมือง ระดมสรรพกำลัง ช่วยเหลือกันและกัน เวลานี้ใครจะด่าใครจะบ่นช่าง!!! มีอย่างเดียวต้องตั้งรับให้มั่นคง โดยเฉพาะตัวเราเองต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเอาไว้ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังค่อยว่ากัน อย่ามัวแต่ตะโกนกล่าวกันไปมา เพราะเราย่อมรู้ว่า วันนี้โรคนี้กำลังสอนมนุษย์ สอนให้รักตัวเองให้เป็นก่อน แล้วจะรักผู้อื่นได้ สอนให้รู้ว่าระบบ ระเบียบที่คิดค้นตั้งกันขึ้นมา บางทีก็เป็นตัวฉุดรั้งการแก้ปัญหา สอนให้เราต้องไม่ประมาทและรอบคอบ ที่สุดสอนให้เราทำตามคำสั่งสอนของบรรดาศาสดา ผู้ตรัสรู้ ผู้เผยแพร่ธรรม เมื่อหลายพันปีมาแล้ว เพราะนั่นคือ ธรรมะที่แท้จริง ไม่อิงความโอ้อวดใด ๆ

            ขณะนั่งเขียนบทความท่ามกลางวิกฤตโรคร้ายนี้ บางทีบางครั้งก็เขียนอะไรแทบไม่ได้ คิดไม่ออก จึงขอนำบทความเตือนใจบทนี้ มาให้อ่านเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเราในห้วงยามนี้

รองเท้าเด็กน้อยถูกคลื่นทะเลซัดหายไป..เด็กน้อยเขียนที่ริมหาดว่า.. “ทะเลคือขโมย”

อีกชายฝั่งของทะเล ชาวประมงหาปลาได้เป็นจำนวนมาก..ชาวประมงเขียนที่หาดทรายว่า...  “ทะเลคือผู้ให้”

ชายหนุ่มคนหนึ่งจมทะเลตาย..แม่ของเขาเขียนที่ชายหาดว่า.. “ทะเลคือฆาตกร”

ชายชราเดินหลังค่อม ก้มหน้าเดินถือไม้เท้า พบไข่มุกอันล้ำค่า จึงเขียนว่า.. “ทะเลคือผู้เมตตา”

ทันใดนั้น  “คลื่น” ได้ซัดยังชายฝั่งและลบการเขียนทั้งหมด ! พร้อมกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า.. 

“อย่าไปสนใจคำตัดสินของผู้อื่น หากเจ้าคิดจะเป็นทะเล”

อย่าไปวิตกกับสิ่งที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ หรือความผิดหวัง ความสุข หรือความทุกข์  เพราะหากชีวิตมนุษย์จะเรียบง่าย คงไม่เริ่มต้นด้วยการร้องไห้เมื่อแรกเกิด คนเรา “เกิดมา”  พร้อมกับเสียงร้องไห้ของตัวเอง แต่ “ตายไป” พร้อมกับเสียงร้องไห้ของผู้อื่น ช่วงเวลาระหว่างนั้น เรียกว่า “ชีวิตคน”

 

แมวชอบกินปลา แต่แมวลงน้ำไม่ได้ ปลาชอบกินไส้เดือน แต่ขึ้นฝั่งมากินไส้เดือนไม่ได้  ชีวิตคนเรา  “ มีได้ มีเสีย” มีทั้ง “ได้เลือก” และต้อง “ล้มเลิก”

ในชีวิตคนเราไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งใจนึกได้หมด จงอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับใคร เพราะมันไม่คุ้ม จงอย่าจริงจังกับตัวเองเกินไป เพราะจะทำร้ายตัวเอง จงอย่าไปจมอยู่แต่อดีตเพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมา..จงอย่าจริงจังกับปัจจุบันมากไป เพราะชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป..ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของๆ เรา นอกจากสุขภาพกายที่แข็งแรง (อันมาจากสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เปี่ยมกำลังใจ)

อย่าได้อวดเรื่องเงินเรื่องทอง ตายไปก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ อย่าได้อวดเรื่องหน้าที่การงาน ลาออกไปแล้วจะมีคนมาแทนที่คุณและอาจทำได้ดีกว่าคุณ อย่าอวดเรื่องบ้านเรื่องรถ ตายไปแล้วก็เป็นของทายาท..คุณหมดเวลาใช้ คุณอวดเรื่อง “สุขภาพแข็งแรง” จะดีกว่า  คนอื่นตายไปแล้วคุณยังนอนเล่นริมทะเล  นั่งจิบชามองดูลูกหลาน..อย่างมีความสุขและเข้าใจในชีวิต...(Issariya Sukkeepun : ผู้เขียน)

โรคกำลังสอนโลก โรคกำลังสอนเรา โลกและเราจะไปรอดหรือไม่? อยู่ที่เราต้องรักตัวเองให้เป็น รักชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เห็นคุณค่าของลมหายใจ แล้วเราจึงจะมีวันที่หายใจร่วมกันได้อีกครั้ง

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ฝนจากฟ้าเดียวกัน

 

ฝนจากฟ้าเดียวกัน

>>> ทุกครั้งที่ฝนตก มักจะตกมาจากฟากฟ้า หาใช่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

เพื่อนำความชุ่มฉ่ำมาให้พื้นดิน แต่บ่อยครั้งคนเราก็มิได้ชุ่มชื่นใจในวันที่ฝนตก

เพราะใจคน บนสถานการณ์ที่แตกต่าง ย่อมรู้สึกที่หลากหลาย>>>

ฝนฟ้าตกลงมาหลายวัน ในเวลาที่แตกต่างกันไป และหลากหลายพื้นที่ หนักเบาไม่เหมือนกัน บางทีก็ตกในขณะหลับใหลยามค่ำคืน ทำให้ไม่อยากตื่นนอนในยามเช้า บางทีตกตอนกลางแสก ๆ แดดเปรี้ยง ๆ ฝนตกแดดออก ก็พอที่จะคลายดับร้อนไปได้ชั่วขณะ บางครั้งตกหลังเลิกงานสร้างความรำคาญและลำบากในการสัญจร ทำให้เปียกปอน น้ำท่วมขัง ในขณะที่มีหลายคนรอให้ฝนหลั่ง เพื่อให้ผลผลิตงอกเงยและงอกงาม ฝนเป็นดังความหวังอันยิ่งใหญ่ ถึงกับต้องทำพิธีขอฟ้าขอฝน ในบางที่บางแห่งจะจัดงานใหญ่งานโตก็บนบานศาลกล่าว ให้ฝนปลิ้วไปตกยังถิ่นที่แดนอื่น แต่ใครเล่าจะห้ามฝนตกจากฟ้าได้!!!


สายฝนที่โปรยลงมา ยังมีผลต่อจิตใจของเรา ยามฝนตกใจหลายคนเปียกปอน บางคนเหงา บางคนเศร้า อาลัยอาวรณ์ชวนให้นึกถึงคนรักที่จากลา    บางคนร้องไห้คละเคล้าสายฝนบนความทุกข์ยากในการหาเลี้ยงชีพ บางคนโกรธฝน ที่เพิ่งล้างรถ เพิ่งซัก ตาก เสื้อผ้าไม่แห้ง ไม่มีชุดใส่ไปทำงาน บางคนสดชื่น ได้ดื่มด่ำอากาศเย็น ๆ ฝนลงมาชะล้างฝุ่นมลพิษ ต้นไม้งามเขียวสดชื่น บางคนเหนื่อยใจ เพราะยังไม่ทันขายของต้องเก็บร้าน รายได้หายทุนหด และอารมณ์อื่น ๆ ตามสภพาการณ์ของแต่ละคน


ใช่หรือไม่ ฝนจากฟ้าเดียวกันความหมายและความรู้สึกกลับแตกต่างกัน การมองชีวิตและรู้สึกถึงความหมายของชีวิตขึ้นอยู่กับว่า เรายืนอยู่ตรงไหน และมองมันด้วยสายตาเช่นไร? วันนี้ชีวิตเราอาจจะเปียกปอนล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า แต่ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อจิตใจ จิตวิญญาณเราเติบโตขึ้น มองเห็นโลกมุมกว้างกว่าเดิม เราจะเห็นความงามของชีวิตมากขึ้น ในวันที่เรากำลังทนทุกข์ในสายฝนโควิด
-19 ที่มิได้มาจากฟ้า แต่กระหน่ำมาทุกทิศทุกทาง อย่างมิอาจมีใครจะคาดเดาได้ มีแต่ค่อยตามแก้ตามปรับตัว หากเรามีจิตใจที่เตรียมพร้อม และรับรู้ความจริง เราจะเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเรามากขึ้น มองเห็นความรักของพระมากขึ้น เพราะโรคนี้กำลังสอนเราว่า อย่ามองคน แค่เพียงด้านเดียว เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป คนเราทุกคนนั้นล้วนมีหลายมุม หลายด้านหลายอย่าง  อย่ามองใครแค่เพียงด้านเดียวเท่านั้น เพราะบางครั้ง สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ดีในสายตาเรา แต่เขาก็คงจะมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องทำแบบนั้น โดยที่เราไม่รู้ก็ได้ สายฝนที่ตกจากฟ้าเรายังรู้สึกไม่เหมืนกัน สาอะไรกับผู้คนใยเรามองเพียงด้านเดียวด้วยเล่าโควิดจึงให้เราถอยห่างกันเพื่อมองไปยังด้านที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนของคนรอบกายเรา

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ซ้ำ ๆ ซ้ำเติม

ซ้ำ ๆ ซ้ำเติม

>>> เรื่องราว ข้อมูล ที่ถูกสร้างขึ้นแล้วปล่อยออกมาตามหน้าสื่อใหม่ มักจะวนไปเวียนมา

ตามสื่อต่าง ๆ หลายครั้งหลายคน หลงกล ตกหลุมพลางเชื่อสิ่งนั้นแบบหมดหัวใจ >>>

 

ดูเหมือนว่าเรากำลังถูกไล่ล่าโดยเจ้าไวรัสร้าย โควิด-19 เพราะมันสามารถกลายพันธุ์ เปลี่ยนเชื้อเข้าถึงมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาวัคซีนตามไม่ทัน แต่สิ่งที่น่ากลัวพอ ๆ กัน คือ การแพร่เชื้อข่าว และการด้อยค่าต่อกันและกัน เพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้สิ่งที่เราเห็นต่าง คนที่ไม่ชอบ ดูด้อยค่าลง และสิ่งที่ทำง่ายที่สุด คือ การพูดให้คนทั่วไปเชื่อ การจะทำให้เชื่อ นั่นคือ การพูดซ้ำ ๆ เพิ่มเชื้อลงไปเรื่อย ๆ เพราะในสังคมที่ใช้ทุนนำหน้าคุณธรรมมักสั่งสอนปลุกฝังกันมา และเรียกสิ่งนี้ว่า หลักการการตลดบ้าง หลักการโฆษณาบ้าง

“หลักการพื้นฐานที่จะทำให้ลูกค้าจำได้หรือเกิดความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งคือ “การพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ หลายรอบ อันนี้ก็คล้าย ๆ กับหลักการตลาดพื้นฐานบางข้อที่ต้องการโฆษณาให้ลูกค้าเห็นบ่อย ๆ เพื่อสุดท้ายเค้าจะจำได้และเกิดการตัดสินใจซื้อ”

กลวิธีนี้ถูกนำมาใช้มากขึ้น ยิ่งในวันที่เรามีการสื่อสารที่คล่องขึ้น เร็วขึ้น จึงถูกนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อบั่นทอนกัน ถูกนำมาใช้สร้างเรื่อง สร้างภาพ เพียงเพื่อให้ตัวเองดูดี โดยไม่ได้เห็นความดีส่วนร่วม เรียกร้อง ฟ้องโลก ความเป็นเพื่อนพี่น้องหายไป ใกล้กันการซ้ำเติมกัน ไกลกันก็ด้อยค่ากันผ่านสื่ออากาศ แล้วเราจะมีจิตสำนึกที่ดีงามได้เยี่ยงไร??? เราทำเพื่อตัวเองรอดก็ส่วนหนึ่ง แต่เราก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วยเช่นกัน อย่าเชื่อกันง่าย ๆ อย่าเชื่ออะไรที่ซ้ำ ๆ เพราะมัน คือ การซ้ำเติมให้เห็นถึงความไม่เอาไหนของเรา เหมือนหมาป่าในเรื่องนี้



            กาลครั้งหนึ่งเจ้ากระต่ายถูกหมาป่าจับตัวมา เพื่อลงโทษด้วยการจะทำบาร์บีคิวเนื้อกระต่ายกระต่ายจึงคิดหาทางรอดด้วยการบอกหมาป่าว่า “ถูกย่างเป็นบาร์บีคิวยังดีกว่า ถูกโยนลงในพุ่มหนาม เทียบกันแล้วการถูกโยนลงไปในนั้นโหดร้ายกว่ากาารต้องถูกย่างเป็นร้อยเท่าพันทวี”

หมาป่าเกิดเปลี่ยนใจไม่ย่างเจ้ากระต่ายเพราะอยู่ใกล้ไฟร้อน ๆ ไม่ค่อยได้ ก็เลยคิดจะเอากระต่ายไปแขวนคอแทน กระต่ายเลยพูดขึ้นว่า  การตายเพราะถูกแขวนคอช่างโหดร้ายนัก แต่ก็ยังดีกว่า ถูกโยนลงไปในพุ่มหนาม เป็นไหน ๆ”

จากนั้นหมาป่าก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีเชือกจึงเปลี่ยนใจจะจับกระต่ายกดน้ำแทน คราวนี้กระต่ายทำท่าจะร้องไห้และโอดครวญว่า  ฉันอยู่ในน้ำไม่ได้และต้องขาดใจตายแน่นอน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่ก็ยังดีกว่า ถูกโยนลงไปในพุ่มไม้แหลม เป็นไหน ๆ”


จากนั้นหมาป่าก็เปลี่ยนใจอีก เพราะขี้เกียจต้องเอากระต่ายไปกดน้ำ ทีนี้จะเอามีดที่มีอยู่มาแล่เนื้อเถือหนังเจ้ากระต่ายเสียเลย กระต่ายรู้จึงพูดขึ้นว่า  ถ้าจะทำอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไรถึงแม้จะน่าสยดสยองและต้องเจ็บปวดเหลือทน แต่ก็ยังดีกว่า ถูกจับไปโยนในพุ่มหนาม เป็นไหน ๆ “ 

หมาป่าได้ฟังที่กระต่ายพูดมาทั้งหมด จึงเชื่อหมดใจว่า การถูกจับโยนลงไปในพุ่มหนาม คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับกระต่าย จึงจัดแจงจับเจ้ากระต่ายโยนข้ามฝั่งถนนลงไปในหย่อมพุ่มหนาม ดูอยู่สักพักก็เห็นกระต่ายโบกไม้โบกมือตะโกนมาว่า ฉันเกิดและโตมากับพุ่มหนามแบบนี้แหละ(เรื่องเล่าพื้นเมืองแอฟริกัน)

เราต้องช่วยกันพูดเรื่องดี ๆ ซ้ำ ๆ ทำเรื่องดีงามให้บ่อยขึ้น เพื่อให้สิ่งดีงามเข้าไปอยู่ในหัวใจคนอย่างถาวร และช่วยให้วิญญาณของเรารอดพ้นอันตราย  ปิดปากที่จะพูดเรื่องด้อยค่าลง หยุดพูดเรื่องไร้สาระซ้ำไปซ้ำมา เลิกให้ข้อมูลด้านเดียว โดยไม่ได้คัดกรองเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็จงปิดปากสักสามชั้น มัดมือล็อกนิ้ว เพื่อให้วิกฤตโควิดครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี


วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ถึงกัลปาวสาน

 

ถึงกัลปาวสาน

>>> อีกนานไหม จะถึงกัลปาวสาน

กัลปาวสาน นั้นนานเพียงใด

มีใครบ้างไหม พอตอบได้ >>>

เพลง กัลปาวสาน - สุรสีห์ อิทธิกุล

 

รุนแรงและยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง สำหรับเจ้าโควิด - 19 จำนวนผู้เสียชีวิตก็สูงขึ้นทำลายสถิติกัน แม้จะเร่งฉีดวัคซีนก็แล้ว จำนวนคนติดเชื้อก็ยังคงเพิ่มขึ้น โรคนี้ช่างเป็นโรคที่จะเอาชนะได้ยากจริง ๆ แม้มนุษย์เราพยายามมาทุกยุคทุกสมัยเพื่อให้ชีวิตเป็นอมตะ และเรากำลังจะพัฒนาได้ถึงจุดนั้นได้อยู่แล้วเชียว!!! ใครจะไปคิดว่า เพียงพริบตาเดียว  เจ้าโควิด เล่นงานไปทั่วโลก จนทำให้การคิดค้นความเป็นอมตะต้องหยุดลง แล้วเริ่มนับหนึ่งในการทำให้ชีวิตผู้คนรอด วัคซีนนานาชนิด ต่างก็ผลิตออกมาเพื่อกอบกู้สถานการณ์นี้อย่างเร่งด่วน

มนุษย์เคยคิดอยากจะรักษาชีวิตให้ยืนยาวเป็นนิรันดร์ แต่ไม่ค่อยจะมีใครคิดจะทำให้จิตวิญญาณคงอยู่ชั่วกัลปาวสานกันสักเท่าไร!!! ใช่หรือไม่ แม้ร่างกายจะสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่จะคงอยุู่ตลอดไป คือ เรื่องความดี ความรัก ความเมตตา ที่เรามีต่อกันนั้นมันจะยังคงอยู่ จนหลายครั้งกลายเป็นตำนาน บางทีเรื่องเล็ก ๆ ที่เราจะร่วมกันทำเพื่อให้จิตวิญญาณแห่งรักนี้ดำรงคงตลอดไป ต้องเริ่มจากตัวเรา รักตัวเองให้เป็นจึงจะรู้รักคนอื่นได้ มีเรื่องเล่าน่ารัก ๆ มาเล่าสู่กันฟัง

 

เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่า ฉันเป็น BFของเธอ

เด็กผู้หญิงมองหน้าเด็กผู้ชาย แล้วถามไปว่า “BF คืออะไร?”

เด็กผู้ชายหัวเราะคิกคักแล้วตอบไปว่า ก็หมายความว่า best friendไงละ”(เพื่อนที่ดีที่สุด)

…………….

เมื่อโตมา พวกเขาก็คบหากันเป็นแฟน เด็กหนุ่มพูดกับเด็กสาวว่า ผมเป็น BFของคุณ

เด็กสาวเอียงหน้าด้วยความเขินอาย แล้วถามไปว่า “BF คืออะไร?”

เด็กหนุ่มยิ้มแย้มด้วยหัวใจชุ่มชื่นแล้วตอบไปว่า ก็หมายความว่า boy friend ไงละ”(แฟน)

…………….

พวกเขาคบหากันเป็นแฟนได้หลายปี ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน และก็มีลูกสาวที่น่ารักคนหนึ่ง

สามีพูดกับภรรยาว่า ผมเป็น BFของคุณ

ภรรยาถามสามีด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “BF คืออะไร?”

ผู้เป็นสามีมองหน้าบุตรสาวด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แล้วตอบไปว่าก็หมายความว่า baby's father ไงละ” (พ่อของลูก)

…………….

เมื่อเขาทั้งสองแก่ตัวลง สองเฒ่านอนอยู่บนเปลหน้าระเบียงบ้าน มองดูพระอาทิตย์กำลังจะตกดินสามีเฒ่าก็พูดกับภรรยาเฒ่าว่า ยายเฒ่า ฉันเป็น BFของเธอนะ

ภรรยาเฒ่าถามสามีชราด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นว่า ตาแก่ BF คืออะไร?”

สามีเฒ่ามองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า จากนั้นก็มองที่ใบหน้าภรรยา แล้วตอบไปด้วยเสียงอันแหบพร่าแต่แฝงด้วยพลังว่า “Be forever”(ชั่วกัลปาวสาน)


 

ไม่มีใครรู้กัลปวสานนั้นนานเพียงใด และไม่มีใครที่จะอยู่ในโลกแบบอมตะ มีเพียงความรัก ความเมตตานั้นต่างหากที่จะคงอยู่คู่โลกชั่วฟ้าดินสลาย เพราะนี่คือ พระศาสนจักรที่แท้จริง