วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

หิวแสง

 

หิวแสง

ด้วยว่าตั้งแต่เช้าแถบไม่ได้นั่ง เพราะภารกิจเร่งด่วนต้องทำนั่นทำนี่ ทำให้เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก หันดูเวลาอีกทีก็เที่ยงวันเข้าไปแล้ว รีบหาอะไรทานรองท้องแบบง่าย ๆ เพื่อมีเวลาทำสิ่งที่ค้างคาให้เสร็จสิ้น บ่ายแก่ ๆ ต้องขับรถกลับบ้าน และด้วยสาเหตุอันใดมิทราบได้ ทั้งวันรถติดหนึบไปทั่วกรุง บนถนนสาทร สาหัสเหมือนเคย หนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ กว่าจะหลุดพ้น ในขณะที่นั่งรอลุ้นว่ารถจะเคลื่อนไปข้างหน้าเมื่อใด เสียงท้องก็เล็ดลอดออกมา ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ทานข้าวเที่ยงไปนิดเดียว ท้องเลยเรียกร้องให้รู้ว่า “หิว” อาการหิวนี่เรามีกันทุกคน เมื่อหิวก็ทำให้กระสับกระส่ายอยากจะทานขึ้นมาทันที แต่จังหวะของชีวิตบ่อยครั้งก็มิอาจจะทำได้ตามใจปากตามใจปรารถนา โชคดีที่เมื่อหิวเรายังพอที่จะหาอะไรทานทำให้ท้องอิ่มได้ มีอีกหลายคนในโลกหิวแล้วหิวเลย หิวจนชินชา หิวจนไม่รู้จักว่าหิวเป็นเช่นไร ...

พูดถึงความหิว เรามักจะนึกถึงการกินอาหารเป็นหลัก แต่อาการหิวที่เกิดจากกาย-ใจสัมผัสก็มีเช่นกัน บางคนหิวตำแหน่งแข่งขันกันเป็นที่หนึ่ง แข่งอวดแข่งเก่งเพราะหิวในลาภยศสรรเสริญ บางคนหิวในเรื่องคนอื่น สายตาสอดส่อง ปากขมุบขมิบ หูกางเป็นใบเรือ เมื่อได้ยินเรื่องของคนอื่น กระหาใคร่รู้เรื่องคนอื่นหมื่นแสน แทนที่จะสนใจเรื่องของตัวเอง วิจารณ์วิพากษ์หาได้วิเคราะห์ นำไปเติมแต่งเสริมให้สนุกเล่าอย่างเล้าโลมโหมไฟ อาการหิวถึงขั้นกระหายแบบนี้อันตรายยิ่งนัก เพราะจะนำความทุกข์มาสุ่มใส่ทั้งเราและเขา เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องสู่รู้ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องตัดสินด้วยความหิวทางตา ทางปาก เท่านั้น เพราะสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน หาใช่ความจริงทั้งหมด ก่อนและหลังจากที่เราเห็น เราได้ยิน เราสัมผัสนั้น มีที่มาและที่ไปอีกหลายต่อหลายอย่าง ฉะนั้นแล้ว ผู้รู้จึงบอกเราว่า โลกนี่คือมายา หาใช่ความจริงทั้งหมด นี่เป็นความหิวที่มาจากกายสัมผัสเท่านั้น

ยังมีความหิวอีกระดับหนึ่ง เป็นความหิวภายใน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกองกิเลสอันใหญ่หลวง ที่วันนี้เราเรียกความหิวแบบนี้ว่า การหิวแสง หมายถึง การหิวที่ต้องการมีตัวตน เป็นความหิวที่อยากเด่นอยากดัง อยากเป็นที่ยอมรับว่า เก่ง เจ๋ง กว่าใคร ๆ และด้วยว่า วันนี้เรามีเครื่องมือที่ช่วยคนเราให้เจิดจ้าขึ้นมาได้ง่าย สื่อใหม่ สื่อออนไลน์ คือ เครื่องที่จะสร้างแสงดับหิวความกระหายของผู้คนได้ เราจึงเห็นหลายคนพยายามที่จะทำให้มีตัวตนบนโลกออนไลน์ โดยไม่สนใจวิถีทางแห่งความถูกต้อง ขอให้ได้เป็นที่รับรู้ไม่ว่าด้านใดก็ได้หมด น่าสลดใจไม่น้อยกับวิถีใหม่ที่ทำให้เกิดคนหิวแสงแบบนี้ คนเหล่านี้มิได้มีแสงในตัวเอง แต่ต้องการแสงจากที่อื่นส่องมาหาตัวเอง ทุกลำแสงต้องสาดมาหา จากที่ไม่มีตัวตน ก็จะกลายเป็นจุดสนใจ แสงทุกแสงทุกแห่งหนพุ่งเข้าหา นี่จึงเป็นการสร้างเวทีแห่งตนโดยอาศัยแสงจากแหล่งอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นแสงสีอะไรใด ๆ ในตนเองทั้งสิ้น เรากำลังมีคนแบบนี้มากไปหรือเปล่า ? สังคมโลกมีแต่คนหิวแสง โดยไม่คิดที่จะสร้างแห่งตนคนดีงามกันเลยเชียวหรือ !!!

ทุกคนมีแสงในตัวเอง และแสงนี้ต้องเป็นประโยชน์ในการชี้ทางชี้นำผู้อื่น เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ เพื่อต่อเติมแสงให้คนอื่น จากแสงแห่งเรา จะกลายเป็นแสงแห่งโลก แสงแห่งรัก ต้องสร้างด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ต้องมาจากใจที่ไม่คาดหวัง ไม่จำเป็นต้องเป็นแสงที่แรง เพราะแสงที่แรงเกินไปอาจจะร้อนทำลายทั้งตัวเราและผู้อื่น ทุกคนสร้างแสงได้โดยไม่ต้องใช้ความหิวเพื่อแสร้งสร้าง แสงที่น้อยถ้าอยู่ในที่มืดมิดย่อมมีความหมายมากว่าแสงของพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันฉันใด แสงที่เกิดจากความดีงามของเราที่ทำเป็นประจำ จะนำแสงธรรมส่องหนทางแก่ความรอบกายเราฉันนั้น ทุกคนมีแสงในคัวเอง... 

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

หลงป่าออนไลน์

 

หลงป่าออนไลน์

บางที บางเวลา ของชีวิต เราก็ต้องหาความสงบกันบ้าง  หลังจากความวุ่นวายทำให้เกิดอาการว้าวุ่นไป ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดโควิด-19 หลายคนใช้วิถีทางท่องเที่ยวเพื่อการผ่อนคลาย เพื่อเสาะหาแหล่งสงบ แหล่งต่อเติมเพิ่มพลังใจ ไปยังต่างที่ต่างถิ่นแดนไกล เป็นการชาร์จพลังให้เดินหน้าต่อไป แต่...เมื่อสถานการณ์บังคับให้เราต้องเก็บตัวอยู่ในวงจำกัด การออกแสวงหาถิ่นอื่นแดนต่างจึงเป็นเรื่องลำบาก ไม่ค่อยจะปลอดภัยจากติดเชื้อกันไปมา  ทุกประเทศจึงกำหนดเขตเข้าออกกันอย่างเคร่งครัด เมื่อเดินทางท่องเที่ยวแบบออฟไลน์กันไม่ได้ ทำให้การท่องไปในแดนออนไลน์ได้รับการนิยม การติดต่อสื่อสารทำง่ายขึ้นถึงจะมีระยะห่างในวิถีจริง การคุยผ่านสายใยโยงเครือข่ายขยายวงกว้าง การมีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นรวดเร็ว เปลี่ยนไปแบบแถบไม่รู้ตัว คนมีอายุมากสักหน่อยก็ใช้เครื่องมือกันอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีเหงา มีกลุ่มเพื่อนไลน์ เพื่อนเฟสฯ คนรุ่นใหม่ก็ทวิตเตอร์ อินสแกรม ติ๊กต๊อก มาวันนี้เกิดการสื่อสารด้วยเสียงในนาม Clubhouse ที่กำลังโด่งดัง เป็นสื่อสังคมตัวใหม่ที่เน้นด้านเสียงเป็นหลัก รูปแบบก็เหมือนกับการจัดรายการวิทยุสดที่ไม่มีการบันทึกเสียงไว้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องเข้าไปฟังทันทีไม่มีการย้อนมาฟัง มีหัวข้อที่หลากหลายตามความสนใจของผู้เข้าฟัง แถมยังให้คนฟังสามารถ เข้า-ออก ได้อย่างอิสระ และสามารถกดยกมือ เพื่อถามคำถามกับเหล่าผู้เล่าได้ เป็นการสื่อสารสองทาง ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม คุยในเรื่องที่สนใจเหมือนกัน หลายคนเริ่มเข้าไปเปิดใช้ กลายเป็นอีกหนทางที่จะเปิดกว้างให้ผู้คนสื่อสารกัน


หากเราต้องการความสงบสิ่งหนึ่งที่คิดถึง คือ การเดินเข้าป่า เดินทางขึ้นภูเขา หรือไม่ ก็หาแหล่งธรรมชาติสวย ๆ สบาย ๆ และบ่อยครั้งที่เราไปแล้วเราหลงป่า หลงทิศหลงทาง  แทนที่จะสงบกลับกังวล กลัวมากขึ้น ประสบการณ์นี้เจอกับตัวเองมาหลายหน ครั้งหนึ่งขึ้นไปที่ชัยภูมิ บนภูเขาที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไป เดินลึกไปเรื่อย ๆ จนที่สุดก็หลุดจากกลุ่ม ใจเพียงต้องการดื่มด่ำกับความชุ่มชื่น ชื่นชมความงามของดอกไม้ตามข้างทาง ผ่านไปสักพักกลายเป็นว่ารอบตัวมีแต่ต้นไม้กับความเย็นปกคลุม ยืนรอก็ไม่มีใครตามมา ย้อนกลับมากว่าจะเจอกลุ่มเพื่อนก็เล่นทำเอาทุกคนเป็นห่วง บอกว่าตะโกนเรียกทำไมไม่ตอบ ส่วนเราไม่ได้ยินเสียงเรียกเลย คงจะดินเข้าไปลึก เพราะเพื่อน ๆ เดินตามหากันจนเหนื่อย  คิดถึงเหตุการณ์นั้นก็มานั่งคิดพิเคราะห์ว่า ในวันนี้ ที่เราท่องไปในแดนออนไลน์ เราเสาะหาอะไร? บ่อยเลยทีเดียว ที่เราท่องจนเพลินหลงเข้าติดจนง้อมแง้ม ถึงขั้นหลงใหล วัน ๆ ไม่ทำอะไร ว่างเป็นจิ้มนิ้วลงไป ท่องไปในแดนคนอื่นบ้าง ในถิ่นฐานของเพื่อนฝูง ท่องไปในแดนที่มีสิ่งของหลากหลายปลุกความอยากได้ และเสพติดกับการสั่งซื้อ ใช่หรือไม่ ในโลกสื่อใหม่เหล่านี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เรียกว่า Disrupt วิถีเก่า ๆ สื่อดั้งเดิม เราลองคิดดูว่า วัน ๆ หนึ่งเราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ยาวนานเท่าใด เราหลงวนเวียน หลงเข้า ๆ ออก ๆ อย่างเต็มใจวันละกี่รอบ เวลาที่เคยใส่ใจคนรอบข้างกำลังถูกลดทอนลงไปหรือไม่!!! แล้วที่สุด เราเคยได้พบความสงบสุขที่แท้จริงในแดนออนไลน์บ้างหรือยัง!!!


ใช่... โลกเปลี่ยนเราก็ต้องก้าวตามโลกให้ทัน แต่ต้องไม่สูญเสียความเป็นคน ในชีวิตคนเราหลงทางได้ หลงทิศได้ แต่ต้องย้อนกลับมายังเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ความเป็นคนที่สมบูรณ์อยู่ที่การรู้ตัว รู้ทันมโนธรรม และมีจิตสำนึกว่าอะไรควรไม่ควร ดังนี้แล้ว ความสงบสุขสันติก็จะบังเกิดขึ้นในชีวิตเรา โลกออนไลน์จะไม่ทำให้เราอ่อนแอ โลกยุคใหม่จะเป็นแดนดินที่กว้างขวางท่องไปอย่างรู้ตัว เพื่อส่งต่อความรักและความดีงามออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ...

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ต่อยอดรัก

 

ต่อยอดรัก

ปีนี้วันตรุษจีนกันวันวาเลนไทน์อยู่ใกล้ ๆ กัน ถ้าอยู่ในสภาวการณ์ปกติ น่าจะทำให้บรรยากาศคึกคัก มีการจับจ่ายกันมากพอสมควร แต่เมื่อยังมีโควิด-19 ระบาดอยู่ ก็ลดทอนความคึกคักลงไปมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เนื้อแท้ของเทศกาลทั้งสองนั้นยังคงอยู่ ยังเหนียวแน่นอยู่ในจิตใจพวกเราตลอดมา และมีสิ่งที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ การแสดงออกซึ่งความรัก รักในบรรพบุรุษ รักในรากเหง้า รักในครอบครัว รักคนอื่นด้วยการส่งมอบความรักผ่านทางความใจดีมีเมตตาต่อกัน และสิ่งนี้ต่างหากที่จะนำพาสังคมไปสู่ความร่มเย็น 


วันเวลาผ่านไป สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลง เห็นข่าวการไหว้บรรพบุรุษก็มีรูปแบบที่แปลกไปด้วยการส่งสิ่งของเผาสัญลักษณ์ ข้าวของเครื่องใช้ไปให้ ซึ่งมีทั้งโทรศัพท์มือถือสมัยใหม่ ไอโฟน ไอแพด รถยนต์ หุ่นยนต์ ที่ล้ำสมัย ก็เป็นความน่ารักน่าชัง แม้จะสงสัยว่าอากง อาม่า ปู่ย่าตายาย จะใช้เป็นหรือเปล่า? หรือลูกหลานคิดถึงมากอยากให้ท่าน ๆ กลับมาให้พวกเราสอนใช้เครื่องมือเหล่านี้ ใครจะมองอย่างไรก็แล้วแต่ แต่นี่ก็เป็นการต่อยอดความรักที่เราต้องหมั่นปลูกฝังให้คนรุ่นต่อ ๆ ไป ได้ปฏิบัติเพื่อไม่ให้หลงลืมที่จะรักในความเป็นเรา ผ่านทางบรรพบุรุษของเรา มีเรื่องเล่าน่ารัก ๆ และแปลงให้เข้ากับยุคสมัยมาให้เรียนรู้คำสอนของคนรุ่นเก่าก่อน

เจ้าสัวพันล้านคนหนึ่งก่อนตาย ทิ้งมรดกหลายพันล้าน ให้ลูกชายคนเดียว พร้อมทิ้ง Key Note เอาไว้ใน iPad ว่า...  “อาตี๋... ลื้อทำตามที่อั๊วสั่งเสียนะ เคล็ดลับความรวยมีไม่กี่ข้อเอง

ข้อ 1. ไปทำงานอย่าโดนแดด       ข้อ 2. กินอาหารให้อร่อย

ข้อ 3. บัญชีไม่ต้องทำ                   ข้อ 4. กลับบ้านดึกๆ”

อาตี๋ ก็ทำตาม สองปีต่อมา สมบัติหลายพันล้านสูญเกลี้ยง อาตี๋จุดธุปส่งไลน์ไปต่อว่าเตี่ย“เตี่ย ผมทำตามที่เตี่ยบอกทุกอย่าง แล้วทำไมถึงหมดตัว  เตี่ยทำให้ผมหมดตัวน๊ะ...”

เจ้าสัวรีบไลน์ตอบกลับมาบอก

“อั้ยย่ะ..!!! เค้าเป๋ ลื้อเข้าใจผิดหมด ฟังอั๊วให้ดีน๊ะ ไอ้ตี๋ ข้อ 1. ไปทำงานอย่าโดนแดด อั๊วหมายถึง พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ลื้อต้องไปก่อนพนักงานมา เพื่อเค้าจะได้เอาเป็นแบบอย่าง ลูกน้องจะทำตามแบบเรา ไม่ใช่ตามที่เราสั่ง ลื้อ เข้าใจมั้ย.?? ลื้อเล่นไปทำงานเอาเย็น ๆ ฉิกหาย ลูกน้องก็พลอยขี้เกียจไปล่วย  ข้อ 2. กินอาหารให้อร่อยๆ อั๊วหมายถึง ไม่หิวอย่ากิน ให้หิวแล้วหากินอาหารอะไรก็ได้ กินอะไรมันก็จะอร่อย ไม่ใช่ให้ลื้อไปกินหูฉลาม กินอาหารโรงแรมทุกวัน แม้แต่เวลาอิ่ม ลื้อก็ไปกิง อย่างนี้ฉิกหายน๊ะ กินล้างผลาญ  ข้อ 3. บัญชีไม่ต้องทำ อั๊วหมายถึง ให้ค้าขายแต่เงินสด ไม่ขายเงินเชื่อ เลยไม่ต้องทำบัญชี ไม่ใช่ขายเชื่อ แล้วยังไม่ทำบัญชี แบบนี้ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง  ข้อ 4. กลับบ้านดึก ๆ อั๊วหมายถึง รอพนักงานกลับหมดก่อน จะได้ปิดร้าน ดูให้ดี ๆ ปิดไฟปิดน้ำปิดประตูหมดหรือยัง.?? ให้รอบคอบ ไม่ได้ให้ลื้อไปเที่ยวกินเหล้าทุกวัน เที่ยวผู้หญิง เที่ยวเล๊าท์ แบบนี้ ไม่ล่มจมก็ไม่รู้จะว่ายังไง.??แล้ว อาตี๋ เค้าเป๋เอ้ย..!! ลื้อหาเงินใหม่เองก็ละกันอั๊วไปล่ะ!! นางฟ้ามาเรียกอั๊วแล้ว อ้อ ลื้อดูแลปรนนิบัติแม่ลื้อให้ดี ๆ อย่าเพิ่งให้แม่ลื้อรีบตามมาอยู่กับอั๊วล่ะ..”  (เพจ : ความสุข ณ ปัจจุบัน)


แม้จะออกจะขำ ๆ สักหน่อย แต่ถ้าเราอ่านดี ๆ สิ่งเหล่านี้กำลังสอนเราว่า เราอาจจะตีความหมายของคำสอนของคนรุ่นเก่าผิดพลาดไป เราอาจจะหลงลืมมองให้ลึกลงไปว่า หน้าที่ของเรา คือ การต่อยอดความรักความดีที่มีมา พัฒนาทำให้มันดียิ่งขึ้น ทุกสิ่งต้องสูงส่งขึ้น ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราต่างมีความทุกข์ยากกันทั่วหน้า เราต่างประสบความลำบากมากบ้างน้อยบ้างกันทุกคน ที่สุดเรา ลองมองย้อนกลับไป เราต่างอยู่ดีกินดีกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นปู่ย่าตายายเราอย่างมาก เพียงแค่เราลำบากและยากไร้ในสิ่งที่เคยมีเคยเป็นมานิดหน่อย ก็เพื่อให้เราได้มีพลังที่จะยืนขึ้นต่อยอดคำสอน ต่อยอดความรัก เพื่อส่งผ่านไปให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป หากความดีของวันนี้คือสิ่งที่ส่งผ่านมาจากเมื่อวาน แล้วเราจะทำให้ความดีงอกงามขึ้นในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่....

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เมื่อร้อนพัดผ่าน

 เมื่อร้อนพัดผ่าน

ค่ำคืนวันที่ 4 วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย กำลังจะเอนกายลงนอน ทันใดนั้น...ก็มีเสียงไซเรน เสียงหว๋อดังขึ้น ครั้งแรกคิดว่ารถพยาบาลวิ่งมารับคนป่วยในซอย แต่เสียงมันต่างจากรถฉุกเฉินโรงพยาบาล แล้วก็ตามมาด้วยคันที่ 2 3 4 ... มอเตอร์ไซต์อีกนับสิบ จึงรีบลงมาเปิดประตูบ้านเพื่อดูเหตุการณ์ เหมือนกับนัดหมาย ทุกบ้านเปิดประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น!!! ไม่นานก็รู้ว่ามีเหตุเพลิงไฟ เพราะกลิ่นควันลอยมาถึงหน้าบ้าน ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นรถดับเพลิงคันใหญ่วิ่งมาสมทบ แต่เข้ามาลำบากต้องช่วยกันโบกรถที่วิ่งสวนทางเพื่อให้รถใหญ่วิ่งได้ กว่าจะผ่านไปก็เสียเวลาหลายนาที ข่าวไฟไหม้เริ่มออกตามสื่อ เพื่อนฝูงคนรู้จัก รีบแจ้งรีบโทรมาสอบถามด้วยความห่วงใย แล้วก็ส่งภาพข่าว เทคโนโลยีรวดเร็วจริง ๆ จนได้รู้ว่า ไฟไหม้อีกที่หนึ่งที่เชื่อมต่อกับท้ายซอยในหมู่บ้าน ผ่านไปพักใหญ่ เพลิงสงบ แต่ผู้คนในซอยมิได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้น มีทั้งเจ้าหน้าที่ มูลนิธิต่าง ๆ เดินเข้าออกนับร้อยคน ในความวุ่นวายนั้นกลับมีเรื่องให้ฉุกคิด เมื่อหลานสาวมายืนข้าง ๆ ถามว่า “คนในบ้านที่ไฟไหม้ คืนนี้เขาจะไปนอนที่ไหน”  คำถามที่ปนด้วยความสงสาร ทำให้เราคิดว่านี่แหละ คือ ความเมตตาสงสารที่มีอยู่ในหัวใจคนไทย แม้กระทั่งจากคนรุ่นใหม่ ยุคที่เราเรียกพวกเขาว่า “คน Gen Me ที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่กลับมีหัวใจห่วงใยผู้อื่น รับรู้ถึงความทุกข์ยากของผู้คน ใช่หรือไม่ ความดีงามมีอยู่ในหัวใจของทุกผู้คน เพราะเราถูกสร้างให้เกิดมาบนความดีงามนั่นเอง

เกือบๆ เที่ยงคืน คลื่นรถคลื่นคนกว่าจึงเคลื่อนออกจากซอยจนหมด ก่อนนอนในหัวยังคงวนเวียนว่าคนที่ประสบภัยคืนนี้ชีวิตจะเป็นเช่นไร ทำให้คิดถึงเรื่องราวของเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง

วันหนึ่ง...ลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบ ด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า

“ลูกเห็นอะไรบ้าง”  “แครอท ไข่ กาแฟ” เธอตอบ เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุก แล้วท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดู เธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น แล้วค่อย ๆ ถามว่า“นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ”

พ่ออธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิม แครอท ดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก ไข่ ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบาง ๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่ กาแฟ กลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป

“แล้วลูกล่ะเป็นอะไร” พ่อถามลูกสาว เมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไรลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอและสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป หรือ จะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรกจิตใจอันอ่อนไหว จะเป็นอย่างไรหลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการถูกเลิกจ้าง หัวใจหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิม หากหัวใจและจิตวิญญาณมันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง หรือเหมือนเมล็ดกาแฟ เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศา กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว ยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย(ที่มา: http://patji.net/patji-club)

            เช้ายามตื่นมาได้ดื่มกาแฟ พร้อม ขนมปัง ไข่ต้ม ทำให้ยิ่งคิดว่า ยามเมื่อความทุกข์ยากพัดผ่านมา เราต้องจัดการให้ชีวิตเราผ่านให้ได้ด้วยการละลายตัวเอง หล่อหลอมจิตใจให้เข้มแข็ง