วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ผ่านสู่ความชื่นชม


ผ่านสู่ความชื่นชม
เมื่อย่างเข้าสู่ฉางชา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน นับเป็นอีกครั้งที่ได้มาเยือนประเทศที่กว้างใหญ่และผู้คนมากมายแห่งนี้ จากที่เราเคยได้ยินมากับหู ฟังการเล่าขานถึงความลำบาก ที่แสนติดตาตรึงใจจนกลายเป็นฝันร้ายของใครหลายคนที่เคยมาเยือน โดยเฉพาะเรื่อง “ห้องสุขา”  วันนี้ปรากฏว่าไม่มีอีกแล้วตามเสียงลือเสียงเล่าขานอันนั้น สะอาดสะอ้าน ไร้กลิ่น แต่ที่ยังหลงเหลืออยู่พอสมควรคือการสูบบุหรี่ไม่เป็นที่เป็นทาง เข้าใจได้ที่ประเทศจีนค่อนข้างหนาว บุหรี่จึงเป็นเครื่องบรรเทาได้พอสมควร ความเป็นระเบียบในเรื่องนี้ต้องรอเวลา ตามที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศว่า อีก 3 ปีจะไม่มีคนจนในจีนอีกต่อไป แต่สำหรับเรื่องมารยาททางสังคมของชนชาวจีนนั้น ขอเวลาอีก 30 ปี รับรองว่าจะไม่น้อยหน้าญี่ปุ่นแน่นอน คนจน 400 ล้านคน ผู้นำจีนขอเวลาแค่ 3 ปีเพื่อแก้ปัญหา แต่เรื่องกิริยานิสัยทางสังคมคือสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกนั้น จำเป็นต้องขอเวลานานสักหน่อย เพราะเขายอมรับความจริงว่าไม้แก่ดัดยาก จึงจำต้องใช้เวลาหล่อหลอมเยาวชนคนรุ่นใหม่ และคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นพลเมืองกลุ่มใหญ่ในอนาคตข้างหน้าที่เต็มไปด้วยคุณภาพ



สิ่งที่เห็นต้องนับถือว่าผู้นำประเทศรู้จักวิธีการ ที่จะค่อย ๆ ปลูกฝังระเบียบวินัย โดยอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือในการช่วยฝึกฝน การเข้าแถวขึ้นรถไฟ ขึ้นรถประจำทาง ต้องเข้าแถวรอสัญญาณว่าพร้อมจะให้รูดบัตรแตะตั๋วเข้าไป ผิดเวลาเพียงนาทีก็ต้องเปลี่ยนตั๋วรอรอบอื่นต่อไป การใช้เงินก็ผ่านการจ่ายด้วย QR Code เสียเป็นส่วนมาก ในขณะที่พ่อค้าแม่ขายยังมีเครื่องชั่งแบบโบราณ แต่มี Code รับเงิน การรักษาวัฒนธรรมของตัวเองให้แข็งแกร่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ถ้าหากใช้คนควบคุมคนที่มีจำนวนมากย่อมต้องมีการต่อรอง การทุจริตก็เกิดขึ้น เราเห็นคนหนุ่มคนสาวจีนเริ่มแต่งตัวมีสีสันมากขึ้นแต่หาได้น้อยที่จะแต่งตัวแบบเซ็กซี่ จะว่าอากาศหนาวก็คงไม่ใช่ทั้งหมด มีการสร้างเขตเมืองใหม่ มีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ดูเป็นระเบียบ ตามสถานที่ท่องเที่ยวเกิดขึ้นมากมาย ทางด่วนเสาสูงเสียดเขาที่เห็นในภาพ ก็มีโอกาสได้สัมผัสของจริง ที่ทำเสาสูงคือไม่ต้องทำลายภูเขาป่าไม้ แม้จะมีเจาะอุโมงค์บ้างทุกอย่างยังคงรักษาสภาพให้เหมือนเดิม  โรงแรมที่พักบางแห่งสะดวกสบาย บริการดีแม้จะพูดคุยติดต่อผ่านเครื่องแปลภาษา สมกับการที่ผู้นำของเขาประกาศว่า ประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่เก่าแก่มาช้านาน จะต้องเป็นมหาอำนาจที่ทั่วโลกยอมรับ และจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกดูแคลนหมิ่นศักดิ์ศรีว่าเป็นประเทศไร้อารยธรรมอีกต่อไป

แน่นอนว่านี่เป็นการมอง ชม เพียงไม่กี่วัน เห็นในส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ยังคงไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมายนัก แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า คนเรานั้นหากปรับเปลี่ยนตัวให้ทันยุคทันสมัยโดยไม่หลงลืมรากเง้าเดิมนั่นทำได้ และถ้ารู้จักปรับประยุกต์ใช้ ความสุขความชื่นชมยินดีจะบังเกิดขึ้น หลักการหนึ่งที่ผู้นำประเทศนำมาใช้คือการวางแผนเพื่อเตรียมผู้คนให้สามารถพัฒนาตัวเองได้ โดยตั้งเป้าหมายว่า ปลายศตวรรษที่ 20 จะสร้างให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอยู่ในระดับมีกินมีใช้ สร้างสรรค์สังคมให้มีกินมีใช้ทั่วทุกด้าน และชี้นำด้วยทัศนะการพัฒนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อปฎิรูปเศรษฐกิจการตลาดอย่างรอบด้าน โดยค้นคว้าและประสานหลักการของผู้นำในอดีตที่ผ่านมาทั้งสามรุ่นนำมาใช้ด้วยกัน จึงก่อให้เกิดการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าประเทศที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ได้มีการเตรียมทางให้กับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ตกยุคตกสมัย
แม้ว่าการใช้เครื่องมือสมัยใหม่มาสร้างระบบเพื่อให้เกิดระเบียบ แต่ในวันที่ระบบเกิดล่ม จิตใจของผู้คนต้องมั่นคงพอที่จะยอมรับ และอยู่ร่วมกันได้อย่างเห็นอกเห็นใจ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ประสบพบเจอ ระบบการออกตั๋วรถไฟในเมืองฉางชาล่มเป็นชั่วโมง ผู้โดยสารต้องยืนเข้าแถวรออย่างยาวนาน จึงเกิดอาการไม่พอใจหงุดหงิด เข้าไปต่อว่ากดดันเจ้าหน้าที่ สิ่งที่เห็นคือเจ้าหน้าที่พยายามอธิบายเท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่สามารถจะระงับความโกรธนั้นได้เลย จนถึงกับต้องเสียน้ำตา ไหนจะเหนื่อยไหนจะเครียดเมื่อต้องรองรับอารมณ์ของผู้คนมากมาย เมื่อทุกคนเห็นน้ำตาของเจ้าหน้าที่สาวอารมณ์ที่แข็งกระด้างก็อ่อนลง และเข้าใจในภาวะเช่นนี้ที่ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากรอการแก้ไขจากส่วนกลาง ใช่หรือไม่ จะอย่างไรเสียเครื่องก็ไม่มีหัวจิตหัวใจรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนได้เท่ากับคน เอไอที่ว่าเลิศก็ไม่ประเสริฐเท่ากับจิตใจของคนไปได้ สิ่งนี้ต้องผ่านการฝึกฝน ต้องอดทน ผ่านความทุกข์ยาก ผ่านความลำบาก ผ่านวันเวลา ไม่ใช่ผ่านการป้อนข้อมูลวิเคราะห์สังเคราะห์เพียงเท่านั้น หลักการหรือจะสู้หลักธรรมได้ นี่คือชีวิตที่งดงาม และจะได้รับความชื่นชมยินดีในที่สุด



เราเห็น เราชื่นชมวิธีการพัฒนาของผู้อื่น เราก็ต้องมาย้อนถามว่า วันเวลาผันเปลี่ยน โลกเปลี่ยนแปลงไป เราได้เตรียมตัวเตรียมใจ ฝึกฝนตัวตนเพื่อสร้างความชื่นชมยินดีให้กับผู้ใดบ้าง หรือเรายังจมอยู่ในโลกส่วนตัว คิดเห็นแต่ตนเองฝ่ายเดียวอยู่หรือเปล่า โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจที่จะเอาวัฒนธรรมและธรรมชาติของท้องถิ่น น้ำใจของชุมชนมาผสมผสานกับความสร้างสรรค์ยุคใหม่ ความชื่นชมยินดีนั้นจะสมบูรณ์ต้องมาจากกลุ่มชน มิใช่เพียงแค่ลำพังคนเดียว....

ไม่มีความคิดเห็น: