วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หนทางใจ

หนทางใจ
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์ของเราบางส่วน มีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูและพักผ่อนที่บ้านสวนจันทน์รีสอร์ท จังหวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากอาสนวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมลไม่มากนัก พวกเราจึงได้ถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงาม สวดภาวนาด้วยกัน และมีน้อง ๆ เยาวชนของวัด อาสามาให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติวัดและชุมชนชาวจันทน์ และด้วยพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรีติดทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาจึงมีแหล่งน้ำ แม่น้ำจันทบูร และลำธารมากมาย บ้านพักที่กลุ่มนักขับร้องไปพักก็อยู่ติดกับลำธาร มีเวลาลงเล่นน้ำ สัมผัสกับความเย็น อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ มีเวลาพูดคุยกัน ถามไถ่ความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน


ใช่หรือไม่ บางทีการมีชีวิตอยู่ในเมืองแม้เราจะไม่ไกลกันมากนัก แต่ความห่างของการสนทนาตาจ้องตา หน้าต่อหน้านั้นมีน้อยเต็มที เพระเราเสียเวลาไปกับสิ่งเร้าอื่น ๆ เวลาแบบนี้จึงเหมาะสำหรับการฟื้นฟูหัวใจของเรา หัวใจที่พร้อมจะรับฟัง หัวใจที่พร้อมจะเข้าใจ และพร้อมที่จะปรับจิตปรับใจให้รับรู้ถึงทัศนคติของผู้คนรอบข้าง ที่ล้วนเป็นศิษย์พระคริสต์ นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเติมอีกประการหนึ่ง คือ การได้เห็นบางสิ่งที่แตกต่างไปจากวิถีเดิมของพวกเรา โดยคุณพ่อ ธีระพงษ์ ก้านพิกุล (คุณพ่อไข่ดาว)

ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้มาวางรากฐานให้กับคณะนักขับร้องวัดของเรา ปัจจุบันคุณพ่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดพระหฤทัยฯ ขลุง ได้กรุณาช่วยจัดเตรียมเรือให้พวกเราท่องไปในลำน้ำอันกว้างใหญ่เพื่อเรียนรู้วิถีการเลี้ยงหอยนางรม และได้เป็นประธานในมิสซาให้พวกเราอย่างสง่างาม คำเทศน์สอนของคุณพ่อให้พวกเราทำกิจการของพระต้องทำด้วยหัวใจ ทุกกิจการที่เราทำให้พระอยู่เหนือกาลเวลาและเหนือกฎเกณฑ์ เหนื่อยบ้าง ท้อได้ แต่ต้องไม่ถอยห่าง พร้อมทั้งส่งพลังใจให้กับพวกเราด้วยเสียงเพลงที่คุณพ่อร้องให้พวกเราฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน


ตลอดสามวันสองคืนที่ใช้ลมหายใจร่วมกัน ช่วยกันทำนั่นทำนี่ให้กัน ปิ้งย่าง เสียบหมูเสียบผักผสมผสานเป็นอาหารมื้อเลิศ ความอร่อยอยู่ที่น้ำใจที่แต่ละคนใส่ลงไปเป็นมื้ออาหารที่ไม่ใช่แค่อิ่มเอมแต่เปรมปรีดิ์มากกว่า นั่งมองสายน้ำในลำธาร ที่มีคลื่นลมให้ผิวน้ำเป็นลอนล่องคลื่น ความงามที่เกิดจากสองสิ่งมากระทบกัน แต่ผสานกันอย่างลงตัว ยิ่งคิดถึงสภาวะของผู้คนในปัจจุบัน ที่ล้วนมีความต่าง และเมื่อมีใครผู้หนึ่งผู้ใดก้าวก่ายข้ามเขตแดนความต่างเข้ามา ต้องแตกหัก เกิดแรงกระแทกแรงปะทะ จึงมีแต่ความขัดแย้ง เพราะเราประเมินค่าผู้คนด้วยสายตา หาได้ใช้หัวใจ เราอยู่ในสังคมที่ใช้ประสาทสัมผัสตัดสินผู้คน โดยไร้หัวใจ ขณะที่เรารู้สึกกับคนหนึ่งที่ไม่ถูกชะตาหรือไม่ถูกจริตกับเรา เมื่อได้มีเวลานั่งฟังด้วยหัวใจกลับรู้สึกว่าการตัดสินของเราที่ผ่านมามันใช้เพียงอารมณ์ เป็นคลื่นที่ซัดสาดให้เกิดแรงกระแทกมากกว่า เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์คนอื่นด้วยหัวใจ เรากลับพบคลื่นบนผิวน้ำนั้นช่างพลิ้วไหวและนิ่มนวลสวยงาม ก่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นเป็นอยู่ บางทีเราต้องใช้หัวใจจึงเกิดศรัทธาในชีวิตของคนอื่นมากขึ้น

ก่อนกลับพวกเราได้ทำกิจกรรมสุดท้ายด้วยกัน เริ่มต้นด้วยการจับคู่คนที่เราอยากจะพูดคุยมากที่สุด แล้วให้แต่ละคนวาดสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคนที่อยู่ตรงหน้าเรา เมื่อเสร็จแล้วมีการแบ่งปันกันว่าทำไมจึงเลือกวาดออกมาเป็นอย่างนั้น บางทีในตัวเราแต่ละคนมีมุมงดงามที่คนอื่นมองเห็น แต่เราอาจจะไม่รู้ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมองผู้อื่นในมุมที่งดงามให้เป็น ต้องมองให้เห็นพระที่สถิตในเราแต่ละคนให้ได้ ชีวิตกลุ่มจึงจะเกิดขึ้น
จากนั้นพวกเราก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม นั่งแถวตอนลึกเป็นกิจกรรมบอกต่อ ให้คนแรกบอกสีของลูกปัดให้คนที่สอง แล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนถึงสองคนสุดท้ายให้ช่วยกันร้อย ให้เหมือนต้นแบบที่อยู่ด้านหน้า ครั้งแรกทั้งสองกลุ่มทำไม่ประสบผลสำเร็จ แต่พอมีเวลาพูดคุย ตกลงกันว่าควรทำอย่างไร เพียงรอบที่สองก็สามารถที่จะร้อยเรียงลูกปัดให้ออกมาเหมือนต้นแบบได้อย่างถูกต้อง การรู้จักฟังอย่างตั้งใจและจริงจังนำมาซึ่งความถูกต้องเสมอ ชีวิตจริงในปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ไม่ค่อยจะฟังกัน ต่างฝ่ายต่างตั้งแง่ ตั้งมาตรฐานตามใจตัวเอง จะบอกจะกล่าวอะไรไม่ฟังกัน ปัญหาเล็ก ๆ ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ นำความแตกแยกมาสู่ความสัมพันธ์เก่าก่อนให้ล่มสลายไป และแน่นอนทีเดียว การฟังที่ดีก็ต้องฟังด้วยหัวใจ



กิจกรรมสุดท้ายที่เราทุกคนต้องร่วมกันทำเป็นกลุ่มใหญ่คือการลำเลียงน้ำจากถังผ่านท่อที่มีขนาดแตกต่างกัน จากท่อหนึ่งสู่ท่อหนึ่งส่งไปให้น้ำเต็มขวดภายในเวลาที่กำหนด เช่นเคย รอบแรกทั้งกลุ่มทำไม่ได้ แต่พอตั้งหลัก มีการบอกกล่าวจัดการพูดคุยรับฟังกันและตั้งใจทำตามที่ตกลงกัน ไม่นานน้ำก็เต็มขวดและทันเวลากำหนด สิ่งสำคัญของชีวิตกลุ่ม ชีวิตหมู่คณะคือการยอมรับความคิดของคนส่วนใหญ่ ไม่ถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความร่วมมือตามความสามารถของเรา ไม่เกี่ยงงอน ความแตกต่างของเราแต่ละคนเมื่อนำมารวมกัน นำมาผสมผสานกันได้เมื่อไรความลงตัว ความสวยงามก็จะบังเกิดตามมา เฉกเช่นการขับร้องประสานเสียง หากมีการฟังกัน มองตากัน เข้าใจกัน บทเพลงที่ออกมานั้นย่อมไพเราะ และเหมาะสมที่จะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับพี่น้องทุกคน นี่คือเป้าหมายสูงสุดของคณะนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์ของเรา

ไม่มีความคิดเห็น: