เราหรือที่ตัดสิน
นี่ขนาดโลกของการสื่อสารวันนี้ว่ารวดเร็วแล้ว ภายในอีกสองปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชนิดที่ว่าเราคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
และเมื่อถึงวันนั้นสังคมไทยเราจะเป็นเยี่ยงไร ?
เรื่องราวข่าวสารไหลหลั่งมายิ่งกว่าสายฝน คำคนคำตัดสินคำวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวร้าย
โอ้อวดความรู้กันบนโลกเสมือนจริงคงจะกลายเป็นกองขยะดิจิตอลกองโตและกัดกินจิตวิญญาณของมนุษย์เราจนไม่เหลือชิ้นดี
การฆาตกรรมด้วยนิ้วและอักษร ความคิดเห็นที่ไร้ความรับผิดชอบ จะทำให้อีกหลายคนแทบอยู่ไม่ได้บนโลกนี้
การพิพากษาด้วยศาลไฮเทคจะทำให้อีกหลายคนกลายเป็นจำเลยแบบจำยอม สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นมาอย่างเงียบ
ๆ แทรกซึมซ้อนทับมาอยู่ในวิถีชีวิตผู้คน
ไม่ต้องอื่นไกลในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์มานี้
สังคมไทยเต็มไปด้วยคำตัดสินจากเหตุการณ์ที่เป็นข่าว
ไม่ว่าจะเป็นข่าวป้าเจ้าของบ้านทุบรถที่จอดขวางหน้าบ้าน ข่าวหวย 30 ล้านอลเวง
หรือกระทั่งข่าวเศรษฐียิงเสือดำ
แค่
3 ข่าวนี้ เราเห็นคนไทยแสดงความคิดเห็นกันเป็นหมื่น ๆ ข้อความ บางคนถึงขั้นทะเลาะกันโดยไม่ต้องเห็นหน้ารู้จักกันมาก่อน
เพราะแค่เห็นต่าง บางคนวิเคราะห์เป็นฉาก ๆ โดยไม่มีหลักการและความรู้ที่มาที่ไป
เช่นนี้แล้วเราจึงกลายเป็นเหยื่อของสำนักข่าวผู้ไร้จรรยาบรรณ ออกมาตั้งหัวข้อให้โหวตลงคะแนนว่าใครผิดใครถูกทางสื่อใหม่กันอย่างเมามัน
เราต่างตั้งตัวเป็นผู้ตัดสินผู้อื่นด้วยเพียงข้อความข่าวเท่านั้นหรือ? สำคัญที่สุด
“เราเป็นใคร”
จึงกล้าหาญที่จะเป็นคนตัดสินผู้อื่นได้ หากเรายังจมอยู่ในกระแสแบบนี้
เราก็กลายเป็นคนที่คิดอะไรง่าย ๆ ตัดสินคนอื่นแบบง่าย ๆ
ที่สุดเราก็เป็นคนมักง่ายและไร้ความรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ ใครผิดใครถูกเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งทุกสังคมย่อมมีกระบวนคัดกรองตัดสินลงโทษตามแต่ละสังคมกำหนด
ใช่ว่า...ทุกเรื่องเราต้องกดดันให้ตัดสินตามเสียงข้างมากลากไป เช่นนี้แล้ว!!! เราก็ไม่ต่างอะไรกับผู้คนที่ตะโกนให้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้าเมื่อครั้งกระโน้นดอกหรือ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีความเป็นมาและมีเหตุผล
มีเบื้องหลังเสมอ เราก็แค่คนรับรู้ แต่จะให้ดีต้องนำไปเรียนรู้ปรับใช้กับหนทางในชีวิตจริงของเรา
การไม่ตัดสินใครง่าย ๆ เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของผู้บรรลุวุฒิภาวะทางศีลธรรม
ฝึกฝนการใช้หัวใจเมตตาเพื่อให้ความกรุณาต่อผู้อื่น อย่าใช้เพียงประสาทสัมผัสเพราะเราจะได้เพียงผิวผ่าน
หากแต่ต้องใช้ใจสัมผัส เราจึงจะพบกับความจริงและความรักในที่สุด
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขอนำตัวอย่างมาร่วมกันไตร่ตรองให้เห็นสักเรื่อง
ในเมืองแห่งหนึ่งมีชายที่มีฐานะร่ำรวย
เขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาโดยที่ไม่มีทายาท อยู่กันเพียงสองคน ในเมืองลือกัน (ข่าวลือขายได้กระจายง่ายกว่าข่าวจริง)
กระฉ่อนว่าเขาเป็นคนใจดำที่ไม่เคยช่วยเหลือคนยากจนเลยสักคนในเมือง ชาวบ้านต่างพากันประณามและสาปแช่งต่อเขา
ตรงกันข้ามต่างพากันชื่นชมคนขายเนื้อในตลาดที่มีจิตใจกุศลชอบแจกจ่ายเนื้อให้กับคนยากจนทุกวัน ที่สุดชาวบ้านจึงพากันไปที่บ้านของคนรวยผู้นี้
พร้อมตำหนิติเตียนต่อว่าต่อขาน “ท่านจะรักษาทรัพย์สินไว้เพื่อใคร
ชาวบ้านในเมืองยากจนและมีความต้องการการช่วยเหลือ”
คนรวยตอบว่า “ความต้องการของพวกท่านไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย
จงไปขอความช่วยเหลือจากคนขายเนื้อ”
มาวันหนึ่ง ชายผู้ร่ำรวยล้มป่วย ไม่มีใครไปเยี่ยมเขาแม้แต่คนเดียว
และท้ายที่สุดเขาจบชีวิตลงโดยมีเพียงภรรยาอยู่ข้าง ๆ พิธีกรรมการฝังศพถูกปฏิบัติโดยภรรยาเขาแต่เพียงผู้เดียว
เพราะคนทั้งเมืองต่างพากันโกรธเกลียดจากพฤติกรรมที่ตระหนี่ถี่เหนียวของเขา
ในวันรุ่งขึ้น เมืองดังกล่าวเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น
เพราะคนขายเนื้อไม่ยอมแจกเนื้อฟรีให้แก่คนยากจน พวกเขาจึงถามขึ้นว่า “ทำไมท่านไม่ยอมแจกเนื้อฟรีให้แก่พวกเราแล้ว”
คนขายเนื้อตอบว่า “หลังจากวันนี้เป็นต้นไป
ฉันจะไม่แจกเนื้อฟรีให้แก่พวกท่านอีกต่อไป เพราะคนที่จ่ายเงินค่าเนื้อให้ฉันมาอย่างยาวนานได้เสียชีวิตไปแล้ว”
ดังนั้น อย่าตัดสินใครที่เปลือกตาเห็นเพราะผู้ศรัทธาย่อมเห็นด้วยหัวใจ
ในสังคมเรา เมื่อเห็นคนอื่นกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ซุบซิบนินทา
โดยไม่ได้ชั่งใจดูเลยว่าเพราะอะไรเขาหรือเธอ จึงกระทำเช่นนั้น เคยสนทนาพาทีกับผู้ที่กำลังทำสิ่งเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า
เป็นเพราะหัวใจเราปิดลงกลอนใครจะพูดอะไรก็ไม่ฟัง
นอกจากต้องฟังคำพูดของฉันหรือผมเพียงคนเดียว เราต่างคนต่างอวดเก่ง
แล้วเบ่งใส่กัน โดยที่ไม่เคารพต่อความสามารถของคนอื่นเลย แล้วหากยังเป็นเช่นนี้
นิสัยแบบนี้ในอีกสองปีข้างหน้าที่โลกจะเปลี่ยนแปลงแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นอกจากอยู่แบบตัวใครตัวมัน
แล้วความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มาเริ่มคำนึงถึงตัวเองบ่อย ๆ ว่า “ฉันเป็นใครมีอำนาจอันใดจึงตัดสินผู้อื่น”
เพื่อว่าเราจะได้ลดความทะนงในความเก่งกาจให้ลดลงบ้าง เปลี่ยนเป็นความสุภาพอ่อนโอน เพราะโลกวันข้างหน้าต้องการความอ่อนโยนมากกว่าคนอวดเก่ง....