วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ดอกใบในตัวเรา

ดอกใบในตัวเรา
เวลาที่ผู้คนในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน ก็มักจะเป็นเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานพื้นเพของคนกลุ่มนั้น ๆ แม่ค้าพ่อขายในตลาดคงหนีไม่พ้นละครหลังข่าว บนรถแท็กซี่ก็ไม่พ้นเรื่องการบ้านการเมือง ร้านตัดผมเรื่องหวยเรื่องบอล พนักงานห้างร้าน คงเป็นเรื่องดัง ๆ  ในตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องของพี่ตูนกับการวิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” แล้วชุมชนวัดเราคุยเรื่องอะไรกัน...????  (ตอบในใจ)



ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้นั่งคุยปรึกษาหารือเรื่องที่จะทำให้เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ได้เดินตามความฝันของพวกเขาอย่างมีความสุข เป็นเด็กกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใช้เสียงดนตรี เครื่องดนตรีที่พอจะหาได้ มาประกอบกันเป็นวงแล้วร่วมกันบรรเลงเพลงต่าง ๆ นอกจากเรื่องดนตรีแล้วยังมีการสอนเรื่องที่ในโรงเรียนไม่มีสอน คือสอนการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงที่เป็นรูปธรรม โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง
และด้วยเวลาไม่มากนักที่ได้ฟังเรื่องราวของโรงเรียนนี้จากครูลี่ (คีตา วารินบุรี) หนุ่มร่างเล็กผิวเข้ม แต่เป็นเรื่องราวที่ทำให้หัวใจของเราพองโต และมีความรู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์ที่พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เพาะหว่าน มาบัดนี้ค่อย ๆ ผลิดอกออกผล ใช่หรือไม่ หากเราลองดูดี ๆ วันนี้เราได้เห็นคนไทยหลายคนออกมาทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และที่สำคัญทุกคนทำด้วยหัวใจ ความงดงามของสังคมไทยกำลังหวนคืนมาอีกครั้งแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป การที่พระองค์ท่านจากพวกเราไปนั้นเป็นเพียงทางกายภาพ แต่สิ่งที่จะดำรงคงอยู่คือบทสอนและวิถีทางที่พระองค์ท่านทรงมอบไว้ให้เราคนไทย ตรงกับพระวาจา ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก(ยน.22:24)



ในขณะที่รถตู้พาคณะนักดนตรีรุ่นจิ๋ววิ่งเลียบทางด่วนรามอินทราอยู่นั้น ครูลี่ก็กล่าวขึ้นมาว่า แถวนี้คือแหล่งที่ทำมาหากินและแหล่งเพาะความหยิ่งทนงในตัวผมครูลี่เป็นนักดนตรีที่เก่งมาก ๆ คนหนึ่ง เคยเล่นตามร้านอาหาร เคยเล่นเป็นแบ็คอัพให้กับนักร้องดังหลายคน ก็เลยคิดว่าตัวเองนี่สุดยอดมนุษย์คนดนตรี ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม ใช้ชีวิตสุขสนุกสบายไปวัน ๆ แต่ภายในมิได้มีความสุขเลย จนวันหนึ่งออกตามหาความหมายของชีวิต และพบจุดเปลี่ยนที่เชียงใหม่ จึงกลับมาที่บ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ ลองทำสิ่งที่ในใจเรียกร้อง และนำบทเรียนในชีวิตที่ผ่านมา เป็นบทสอน เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ ตกอยู่ในวังวนที่ครูเคยประสบมา



ครูลี่ จึงก่อตั้งโรงเรียนและหาวิธีให้เด็ก ๆ หันกลับมาดูใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่มีความงดงามไม่ให้เลือนหายไป ปลูกฝังให้เด็กสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงาม ผ่านการถ่ายทอดดนตรี นอกจากนี้แล้วยังจะได้ให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตดั้งเดิม และซึมซับความเป็นธรรมชาติทั้งท้องทุ่งนา ป่าเขา ลำธาร เพื่อให้เด็กลืมกับสิ่งยั่วยวนในสังคมสมัยใหม่ โดยการใช้ดนตรีเป็นสื่อกลาง เด็กที่มาเรียนที่นี่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะสถานที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นธรรมชาติ เครื่องดนตรีก็ประยุกต์จากวัสดุเหลือใช้ หรือสิ่งของที่หาได้จากท้องถิ่นนำมาดัดแปลง แต่ก็มีเสียงไพเราะไม่ต่างจากเครื่องดนตรีราคาแพง เด็กจะมาเรียนที่นี่เฉพาะช่วงเย็น ๆ  มีเด็กมาขอเรียนเพิ่มอีกแต่ก็ไม่สามารถรับเพิ่มได้
ในช่วงแรก ๆ ทุกคนในหมู่บ้านมองครูด้วยสายตาแปลก ๆ แม้กระทั่งแม่ของครูก็คิดว่าลูกชายตัวเองบ้าหรือเปล่า แต่ที่สุดวันนี้ครูก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ทำให้เกิดพลังชุมชนช่วยเหลือกัน พ่อแม่เด็กมักจะนำข้าวปลาอาหารมาช่วยครูในการเลี้ยงเด็ก ๆ ครูบอกว่า หากทำอะไรแล้วเอาเงินเป็นที่ตั้งเราก็จะไม่พบความสุขและความงาม เราก็ได้แค่กำไรขาดทุน แต่ถ้าหากเราทำด้วยความรักและจิตวิญญาณ เราจะได้อะไรมากกว่าที่เราคิดหวังไว้เสียอีก ครูลี่สอนเด็กไม่มีหลักสูตร มีเพียงจิตวิญญาณ จะเล่นดนตรีต้องเล่นด้วยจิตวิญาณ ไม่ใช่ตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ แล้วคนฟังก็จะรับรู้ถึงความสุขที่เราส่งผ่านไป ความงดงามที่ครูปลูกฝังให้เด็ก ๆ เริ่มมีการส่งผ่านออกมาสู่โลกภายนอกมากขึ้น สิ่งที่ครูสอนเด็กคือไม่ให้หลงไปกับชื่อเสียง ในวงจะผสมผสานกันไม่ใช่ใครต้องเด่นต้องดังกว่าใคร พยายามสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ความฝันแบบสังคมทุนนิยมมาทำลายคุณค่าในความเป็นเด็กไป





และสิ่งนี้จึงเป็นที่มาของการจัดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อให้เด็กมีเวทีแสดงออก จะมีขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ที่หอประชุมครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งมาร่วมกันด้วยหัวใจ แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่กำลังช่วยเตรียมงานนี้อยู่ แต่กลับได้เรียนรู้และซาบซึ้งในหัวใจของหลายต่อหลายคน ก็อดไม่ได้ที่กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่า วันนี้ดอกใบกิ่งก้านในตัวเราได้เติบโตให้ร่มเงากับผู้อื่นมากน้อยเพียงใดหรือเราได้ทำให้ชีวิตจิตวิญญาณของเราเติบโตขึ้นเพียงแค่เพื่อปกคลุมตัวตนเอง!!!! หากเรามีชีวิตที่กำลังรอการสลายไป แล้วสิ่งที่จะเจริญในเมล็ดที่เปื่อยเน่าของเราจะมีอยู่มากน้อยเพียงใด ความเก่งกาจหรือความยโสที่ท่วมท้นอาจจะเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างมลายหายไป วิถีเด็ก ๆ ในโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างได้เปิดจิตใจน้อย ๆ ให้ค่อย ๆ เปิดกว้างขึ้น นี่คือแก่น ดอกใบ ที่กำลังเจริญเติบโตในสังคมไทยที่จะคงอยู่ตลอดไป....

ไม่มีความคิดเห็น: