ฉลาดแบบไหน?
ในยุคที่สังคมมีแต่ความฉาบฉวย
อวยคนสวยใส หลงใหลในดราม่า ไม่ค้นหาความจริง เชื่อง่าย ขายความโลภ สร้างโลกส่วนตัว
กลัวตกเทรน และโชว์ความฉลาดที่ขาดเฉลียวได้อย่างเชี่ยวชาญอย่างเช่นทุกวันนี้
เราจึงเห็นการดูถูกความเห็นคิดของผู้อื่นเต็มบ้านเต็มเมือง สิ่งที่คนอื่นทำนั้นไม่ดี
ความคิดคนอื่นนั้นโง่ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยึดโยงความเก่งกาจแต่เพียงผู้เดียว
หากเราก้าวเข้าสู่ความฉลาดสำเร็จรูปแบบนี้ นับเป็นความอ่อนด้อยทางจิตวิญญาณโดยแท้
ใช่หรือไม่ สิ่งที่พัฒนามาถึงวันนี้ได้ย่อมมาจากฐานรากที่มั่นคง
เป็นการต่อยอดความฉลาด ต่อยอดความสร้างสรรค์ของคนเก่าก่อนทั้งสิ้น คนเรามิได้เกิดมาเพื่อความยิ่งใหญ่
แต่เราเกิดมาเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในใจผู้อื่นต่างหาก
เราทุกคนจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่มีความโง่ความฉลาดเหนือกว่ากัน
มีเพียงหัวใจที่พร้อมจะสร้างความดีงามให้เกิดขึ้นในทุกลมหายใจ
และทุกย่างก้าวที่เราเดินไปเหมือน ๆ กัน
ในการประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่ง
ในขณะที่คุณครูให้สัญญาณขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
ประตูที่พึ่งถูกปิดลง ก็ค่อย ๆ เปิดออกอีกครั้ง ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
แสดงตัวอยู่หน้าประตู ทั้งตัวคลุกไปด้วยฝุ่น ใบหน้ายิ้มเจื่อน ๆ ใช้สำเนียงแหบแห้งพูดกับคุณครูว่า
“ขออภัยครับ”
“ผู้ปกครองท่านนี้
ลูกของท่านคือ....” “ผมเป็นพ่อของ หวังจื้อห้าว” คุณครูแสดงความแปลกใจออกมาทางสีหน้า แล้วพูดว่า “รบกวนคุณพ่อเซ็นต์ชื่อรายงานตัวด้วย
ปากกาอยู่นี่แล้ว” “คุณ....คุณครูครับ คือ..ผม..ผมอ่านหนังสือไม่ออกครับ” พูดจบ พ่อของหวังจื้อห้าวก้มหัวลงต่ำมาก ๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังทั่วห้องประชุม
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมเซ็นแทนแล้วกัน เรียนเชิญคุณกลับไปนั่งที่ของหวังจื้อห้าว”
“ผู้ปกครองทุกท่าน
การประชุมผู้ปกครองในวันนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของเทอมแล้ว
ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนกิจกรรมตลอดมา
และในตอนนี้ใคร่ขอเรียนเชิญผู้ปกครองของเด็กผลการเรียนดีที่สุด ขึ้นมาบอกเล่าวิธีการและเคล็ดลับในการอบรมสั่งสอนเด็กของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
แล้วคุณครูก็เรียกชื่อผู้ปกครองของ “หวังจื้อห้าว” ขึ้นเวที ห้องประชุมก่อนหน้าที่มีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็เงียบลงในทันใด
“เอ่อ อืม.....”
พ่อของหวังจื้อห้าว เริ่มด้วยเสียงแหบแห้ง สายตาไม่กล้ามองไปทางผู้ปกครองคนอื่นๆที่นั่งอยู่ด้านล่าง
“ปะ.....ประสบการณ์ผมไม่รู้จักหรอกครับ
ผมเพียงแต่ชอบนั่งมองดูลูกทำการบ้านทุกวันหลังเลิกงาน ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงใด
ผมก็จะนั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วดูเขาทำการบ้าน”
พ่อของจื้อห้าวหยุดชั่วครู่
หันไปมองคุณครู คุณครูยิ้มตอบแสดงท่าทางให้เขาพูดต่อ “มีวันหนึ่ง ลูกชายถามผมว่า พ่อ ทุกวันนั่งอยู่ข้างผม แล้วดูผมทำการบ้าน
การบ้านนี้พ่อดูเข้าใจหรือไม่? ผมตอบว่า ไม่เข้าใจ ลูกชายถามอีกว่า ในเมื่อพ่อดูไม่รู้เรื่อง
ไม่เข้าใจ แล้วพ่อรู้ได้อย่างไรว่าผมทำได้หรือไม่ได้? ผมตอบว่า หากลูกทำอย่างรวดเร็ว
จับปากกาขึ้นมาแล้วเขียน เขียน เขียน ก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำได้ และทำได้โดยง่าย
หากลูก ต้องเดินไปเปิดพัดลม ไปดื่มน้ำ พ่อก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำยาก
ผมมีอาชีพทำงานก่อสร้าง ปกติแล้วงานยุ่งมาก”
“ผมเองไม่เคยเรียนหนังสือ
ไม่รู้จักหนังสือสักตัว หาเหตุผลลึกซึ้งมาอบรมสั่งสอนเด็กไม่เป็น
ได้แต่อาศัยเวลายามทำงาน เห็นอะไรก็คุยกับลูกอย่างนั้น
เมื่อเห็นลูกพยักหน้าไม่หยุดผมก็จะดีใจมากเมื่อผมดีใจก็ชอบที่จะลูบหัวเขา พูดถึงประสบการณ์
ผมไม่มีจริง ๆ ผมเพียงแค่ชอบคลุกคลีกับลูก ชอบดูเขาทำการบ้าน ชอบที่จะลูบหัวเขา
ชอบบอกเขาว่า รู้จักขอบคุณโรงเรียน ต้องขอบคุณคุณครูที่อบรมสั่งสอน ลูกของผมได้ดีเช่นนี้
เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ คุณครูต้องลำบากมากแล้ว”
พูดจบเขาหันไปโค้งคำนับคุณครูหนึ่งครั้ง
การโค้งคำนับของเขาครั้งนี้สะเทือนเข้าไปในหัวใจของกลุ่มผู้ปกครองที่อยู่ในห้อง!
ทำให้พวกเขาคิดได้ว่า พวกเราที่เป็นผู้ปกครอง
ไหนเลยจะเคยคิดโค้งคำนับให้กับคุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ “ขอบคุณ” แก่คุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ “ลำบาก” คุณครูมากแล้ว ผลการเรียนของลูกไม่ดี
เรามักโทษคุณครูอบรมสั่งสอนไม่ดี ผลการเรียนลูกดี ความดีทั้งหมดมักเข้าหาตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ปกครองของหวังจื้อห้าวที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว
พวกเราที่มีการศึกษา ช่างน่าละอายใจยิ่ง ขณะที่คุณพ่อของหวังจื้อห้าว
เดินกลับไปถึงที่นั่งของตนแล้วภายในห้องประชุม ก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง
ฉลาดแบบไหนเล่าที่เราโหยหากัน ฉลาดแบบหยิ่งผยองหรืออ่อนโยน
ฉลาดแบบดูถูกคนอื่นหรือโค้งคำนับผู้อื่น
คนฉลาดที่โอ้อวดไม่มีวันที่จะอยู่ในหัวใจคนได้ กษัตริย์หรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่นั่งอยู่ในใจคนตลอดกาลได้นั้น
ส่วนมากมักมีจิตใจที่งดงาม เมตตา เสียสละ และไม่เคยดูถูกคนอื่นใช่หรือเปล่า…..