ใครเล่าใส่สีสัน
หากเรามองดูสถานการณ์ของสังคมวันนี้ มีข่าวความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งในวันนี้ที่แทบทุกลมหายใจคือข่าวสาร
เรายิ่งพบความขัดแย้งและนำมาซึ่งความขัดแย้งในตัวเราด้วย ฉะนั้นแล้วการอ่าน การดู
การฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ ต้องเพิ่มวิจารณญาณไตร่ตรองกรองให้สะเด็ดก่อนที่จะเชื่อ
ท่ามกลางความขัดแย้งนั้นหากมองให้ลึกลงไปสักหน่อย เราก็จะพบบทเรียนบทสอนสำหรับเราด้วยกันทั้งสิ้น
อะไรที่เป็นของเทียมวันหนึ่งก็ย่อมเสื่อมสลายต่อให้พยายามสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่สักเพียงใด
หากจิตใจมิได้มุ่งสู่ทางธรรมเสียแล้ว ย่อมมีวันดับสูญไปได้ ...
มีผู้สันทัดกรณีเคยกล่าวไว้ว่า
“โลกใบนี้คือ โลกแห่งสีสันของชีวิต” มีทั้งทุกข์ สุข หัวเราะ ร้องไห้ สำเร็จ ล้มเหลว ยกย่อง เหยียบหยาม และอื่น ๆ
แล้ววันนี้ชีวิตเรามีสีสันอยู่ในโทนแบบใด ???วันเวลาแห่งความสุขเป็นวันที่มีสีสันสวยงาม
สดใส สบายกายสบายใจ มักเคลื่อนผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะฉุดรั้งเอาไว้ได้
ตรงกันข้ามกับห้วงเวลาแห่งความอึมครึม เวลาแห่งทุกข์ที่ทับโถม
ยากยิ่งนักที่จะพลักดันให้ออกไปให้ห่างไกลจากเราได้ หากเราจำแนกโทนสีแห่งความทุกข์ในความรู้สึกเราออกมา
มันก็จะอยู่ในโทนทึม ๆ มืด ๆ และถ้าลองมาจำแนกแยกความทุกข์ของเราออกมาอีกขั้นหนึ่ง
จากสิ่งที่เราประสบพบเจอมาตลอดนั้น เป็นทุกข์ที่มาจากตัวเราและกับสิ่งที่คนอื่นกระทำที่ส่งผลกระทบมายังเรา
ประเด็นแรก
ทุกข์ที่เริ่มต้นจากการผสมสีของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอิงเอาเรื่องปัจจัยภายนอกมาเป็นเครื่องกำหนดทิศทาง
เรื่องปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ เรื่องการมีข้าวของเงินทองไว้ในครอบครอง ในโลกทุกวันนี้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการพูดคุยกันแต่เรื่องทางเศรษฐศาสตร์
ค่านิยมของคนเราจึงมุ่งสู่การหาให้มีมาก เพื่อทำให้การดำรงอยู่มีความสะดวกสบายและปลอดภัยเป็นที่ตั้งพอยิ่งหามาได้กลับยิ่งไม่เพียงพอ
ยิ่งมียิ่งอยากได้ให้มากขึ้น เกิดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ นำมาซึ่งการแข่งขันและความขัดแย้ง
เห็นคนอื่นมีก็อยากมีบ้าง มิได้มองว่ามีไว้เพียงเพื่ออะไร มีบ้านเพื่ออาศัยอยู่
มีรถเพื่อขับขี่ แต่นี่เรามีเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อให้ดูดี วัตถุประสงค์แห่งความต้องการมีเพื่อดำรงอยู่
ถูกใส่สีสันเพื่อเพิ่มบารมีและก็บังเกิดความยึดมั่นถือมั่น นับถือตัวเองจนเกินงาม
นี่จึงเป็นที่มาของการดิ้นรนขวนขวาย แต่....ท้ายที่สุดแล้ว ในแต่ละคนก็มีสีสันของตนเอง ฉะนั้นจึงอย่าเพียรทำอย่างคนอื่นเพียงเพื่ออยู่เหนือคนอื่นเลย
ประเด็นต่อมาคือสีสันที่คนอื่นมาป้ายใส่เรา
มาโยนใส่เรา ก่อให้เกิดความเกลียดชังดังขึ้นในใจตลอดเวลา หลายครั้งสีสันในชีวิตเรามีผู้คนหยิบยื่นให้
เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญชน
เพราะเราต่างก็ถูกสร้างมาเพื่อให้เราได้หยิบยื่นสีสันของชีวิตให้กันและกันอยู่แล้ว
บางสีอาจเป็นสีที่ถูกใจ บางสีอาจเป็นสีที่เราไม่ชอบนัก
แต่บ่อยครั้งเราปล่อยให้สีที่เราไม่ชอบมาทำให้ความรู้สึกเราเปลี่ยนไป แล้วก็กลับไปโทษคนที่ยื่นสีนั้นให้กับเราจนเกิดเป็นความบาดหมางในใจ
แน่ล่ะในการเกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมหนีไม่พ้นการถูกนินทากล่าวร้ายป้ายสี
ใครบ้างเล่าจะรอดพ้นจากสิ่งเล่านี้ได้!!!!
ต่อให้เป็นคนแสนดีสักปานใดก็มิอาจจะรอดพ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ รู้แบบนี้
เป็นเราเองนั่นแหละที่จะต้องมีวิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านี้
เพื่อไม่ให้ชีวิตไปติดขัดกับอุปสรรคเหล่านี้
โทมัส
เอ.เอดิสัน เขาไม่ได้เรียนจบจากสถาบันการศึกษา หลายคนบอกว่าเป็นอุปสรรค
แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่ เอดิสัน เขาต้องทนทรมานจากการหูหนวกของตัวเขาเอง จนหลาย ๆ คนคิดว่ามันคืออุปสรรค
แต่สำหรับเขาแล้ว... มันก็ไม่ใช่อีก มีอยู่วันหนึ่ง
มีนักข่าวคนหนึ่งไปถามเขาว่า การที่เขาหูหนวก มันเป็นอุปสรรคต่อการทำงานไหม???
เขากลับตอบกลับ
จนนักข่าวต้องตะลึงว่า “การที่เขาหูหนวกเป็นสิ่งที่ดี ต่อการทำงานของเขา เพราะเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งฟังคำพูดที่ไร้สาระของบุคคลต่าง
ๆ ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยว่าตนเองต้องการอะไรในชีวิต แต่การที่เขาหูหนวก
ทำให้เขาได้ยินเสียงจากภายในใจของเขาเอง”
แท้จริงแล้ว...สีสันของชีวิตใกล้ชิดกับอุปสรรค
วิธีการง่าย ๆ เราต้องรู้จักที่จะก้าวข้ามมันไป และเราต้องไม่ไปใส่สีสันด้วยการก่ออุปสรรคให้กับคนอื่น
ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่
19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปอภิบาลสัตบุรุษและถวายมิสซาที่วัดซานตา มารีอา
โยเซฟา แห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า “เราทุกคนต่างมีศัตรูด้วยกันทั้งนั้น
เราทุกคนเจอคนที่ชอบพูดนินทาลับหลังเรา นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้เราเริ่มคิด
หยุดคิดสักครู่ว่า พวกเขาก็เป็นลูกของพระบิดาเหมือนกัน ถ้าเราคิดแบบนี้ได้
มันก็จะเปลี่ยนจิตใจของเราได้เช่นกัน จงอวยพรเขา จงภาวนาให้คนที่ไม่ชอบท่าน
ภาวนาแบบง่ายๆ ถ้าทำได้ดังนี้ ความเคียดแค้นบางส่วนจะถอยห่างออกไป
และเรากำลังจะใส่ความพยายามลงไปบนหนทางของความศักดิ์สิทธิ์”(Pope Report)
ในโลกปัจจุบันที่มักบอกกล่าวให้ชีวิตเรามีสีสัน
ด้วยการแต่งเติมเสริมด้วยเปลือกนอกอยู่ทุกวัน
เท่านั้นยังไม่พอเราต่างก็พยายามไปเสริมเติมแต่งให้กันและกัน ด้วยค่านิยมที่บูชาวัตถุภายนอกเป็นที่ตั้ง
ยิ่งเสริมยิ่งเติมยิ่งแต่ง ก็ยิ่งหนาจนยากที่จะค้นพบสีสันที่สวยงามตามธรรมชาติ
สิ่งที่ขาดหายไปจากวงจรชีวิตของคนรุ่นใหม่คือการไม่รู้จักใช้วันเวลาเพื่อขัดเกลาตัวตนบ้าง
ใช่หรือไม่ สีสันที่ทาลงไปกับพื้นที่ถูกการขัดเกลาก่อนย่อมติดทนนานกว่าสีที่ถูกทาทับไปบนสีเดิม
ๆ สีสันในชีวิตเราก็เช่นกัน หากเราต้องการสีสันที่สว่าง สุข สงบ สันติ
เราก็ต้องขัดเกลานิสัยที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว
ฝักใฝ่เสพติดกับสิ่งภายนอกออกเสียบ้าง เพื่อให้ใจของเรานั้นเต็มไปด้วยสีสันแห่งความดีที่คงนาน
ที่ใครพบเห็นแล้วสบายใจ ใครเล่าจะเป็นคนใส่สีสันอันนี้
เป็นเราเองใช่หรือเปล่า....