สอนชีวิตด้วยชีวิต
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในบ้านเมืองเรา
โรงเรียนหลายแห่งในเมืองหลวงต่างหยุดการเรียนการสอน เพื่อรอดูสถานการณ์
ในช่วงระหว่างนี้เองมีวันสำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นคือ “วันครู” เลยได้หยุดกันยาวต่อเนื่อง
พูดถึงเรื่องครู ทำให้นึกย้อนว่าในชีวิตเราที่ผ่านมา จำครูคนไหนได้บ้าง ใช่หรือไม่
ครูที่เราจำได้ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ดุ คนที่เข้มงวด เจ้าระเบียบ
และใส่ใจดูแลเราในทุกๆเรื่อง มีจิตวิญญาณของผู้อภิบาล
ทำให้นึกถึงเรื่องของครูคนหนึ่งในบทความอันงดงาม ที่ถูกแบ่งปันกันทางอินเตอร์เน็ต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
คุณครูทอมป์สัน
โกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกของการเรียนเลย ด้วยการบอกว่า “ครูรักเด็กๆเท่ากันหมดเลย”
แต่...มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์
ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีหนึ่งแล้ว
สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่เสื้อผ้าของเขาสกปรกและก็ตัวเหม็น ครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้
ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ
โรงเรียนที่
ครูทอมป์สัน สอนอยู่นั้น
คุณครูทุกคนต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคน แต่ครูทอมป์สัน ก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อตรวจ
ครูทอมป์สันก็แปลกใจเมื่อพบว่า ….
ครูชั้น
ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
“น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี
เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว”
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน
ป. 2 เขียนว่า
“เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่กำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ”
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน
ป. 3 เขียนว่า
“เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน
ป. 4 เขียนว่า
“เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน และชอบหลับในห้องเรียน”
ตอนนี้
คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนมาก และรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้
ห่อด้วยกระดาษสีสดสวย พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้
ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่อ ด้วยกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิดกล่องของเท็ดดี้ดู ท่ามกลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำหอมอยู่ก้นขวดแก่ครู แต่ครูทอมป์สัน ก็พูดขึ้นว่า กำไลเส้นนี้สวยมากเมื่อสวมมัน
และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่า “ครูทอมป์สันครับวันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ”
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว
ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ
เลิกสอนการเขียน และเลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ
เมื่อครูพยายามช่วยเขา ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้นเท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และได้กลายไปเป็น “ศิษย์โปรด”
หนึ่งปีต่อมา
คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตูจากเท็ดดี้ บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่า
เขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต สี่ปีหลังจากนั้น
คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่อ
จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย
จดหมายนั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์
เรื่องยังไม่จบแค่นี้
ในงานแต่งงาน ครูทอมป์สันก็มา และใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น
เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า
แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบข้างหูคุณครูทอมป์สันว่า “ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม” ครูทอมป์สันก็กระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า “หมอเท็ด
เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้
ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
การสอนให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนคุณภาพหาใช่การสั่งสอนทางวิชาการเท่านั้น
แต่เป็นการสอนชีวิต สอนให้เด็กเป็นคนดีมีคุณค่าต่อสังคม
วันนี้ยุคนี้เราตกเป็นทาสของทุนนิยม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เงินซื้อ
เราจึงวัดค่าคนด้วยเงิน หาซื้อความรู้ด้วยการใช้เงินว่าจ้าง
ผลักใสให้เด็กๆตกอยู่ในกระแสด้วยการแห่ซื้อใบปริญญา และตำแหน่งนำหน้า เราในฐานะผู้ปกครองเราก็เป็นครูคนสำคัญของลูกหลาน
วันนี้เราสอนอะไรให้พวกเขาแล้วเราสอนเป็นหรือเปล่า
ใช้ชีวิตสอนให้พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์สมค่าได้มากน้อยเพียงใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น