วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บางคนมองข้าม แต่...บางคนโหยหา

บางคนมองข้าม แต่...บางคนโหยหา
ช่วงนี้มักได้ยินเสียงบ่นลอยมาว่า สัปดาห์หน้า...โรงเรียนเริ่มเปิดแล้ว รถราก็จะเริ่มติดหนักหน่วงเหมือนเดิม หลังจากที่เดินทางไปไหนมาไหนได้คล่องตัวมาเกือบเดือน หลายคนบอกว่าต้องปรับตัวอีกแล้ว คือ ต้องตื่นเช้า ออกจากบ้านเร็วขึ้นอีกเป็นชั่วโมงๆ เด็กๆก็ว่า ยังไม่อยากไปเรียนเลย ยังอยากหยุด อยากอยู่บ้านสบายๆไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน เมื่อได้ยินเสียงของเด็กๆในวัยเรียนพูดเช่นนั้นแล้วก็อดที่จะย้อนคิดไปในสมัยวัยเรียนแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นก็รู้สึกขี้เกียจไปเรียนอย่างมากอย่างนี้แหละ เพราะอะไรเล่า? เด็กในวัยเรียนจำนวนไม่น้อยไม่อยากตื่นเช้าไปโรงเรียน เป็นเพราะไม่ชอบตื่นเช้าๆแล้วไปนอนต่อในรถหรือเปล่า หรือไปเรียนแล้วไม่พบกับความสุข หรือไม่ชอบที่ต้องอยู่ในกรอบ ในกฎ ถูกระเบียบและการควบคุมบังคับ หรือเป็นเพราะเด็กๆไม่ชอบการที่ต้องแข่งขันกันเรียน แข่งขันกันทำคะแนน ทำลำดับ ก็คงมีเหตุผลข้ออ้างอีกมากมาย ที่ทำให้เด็กๆตกอยู่ในห้วงอารมณ์แบบนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
จนกระทั่งเมื่อเติบโตได้การได้งานทำ บ่อยครั้งไป... ที่แอบเสียดายโอกาสที่ว่าทำไมตอนนั้นไม่รู้จักขยันเรียน ขยันอ่านหนังสือ ทำไมไม่ชอบวิชานั้นวิชานี้ เพราะทุกๆวิชาที่เรียน สามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ทำได้ทั้งสิ้น หลักสูตรหนังสือที่เรียนที่อ่าน ไม่ใช่การตอบโจทย์ปัญหาที่พบเจอได้อย่างตายตัว แต่บางส่วนนั้นเป็นการนำหลักการมาใช้ในการแก้สมการชีวิต บทเรียนรายวิชาเป็นต้นตอสำหรับการริเริ่มใหม่ต่อยอดให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ทุกภาคส่วนของวิชาที่เรียนคือประโยชน์ทั้งสิ้น
แต่...โลกนี้มักมีอะไรที่แปลกๆ ในบางสิ่งที่เรามี เราอยู่ เราเห็น เรากลับเพิกเฉยในคุณค่า แต่เมื่อวันหนึ่งเราไม่มี เราไม่ได้อยู่ เราไม่ได้เห็น เรากลับโหยหา และไขว่คว้าให้ได้มา ฉะนั้นแล้ว...อะไรที่เรามีเราเห็นเราอยู่จงรักษามันไว้ เราลองมาดูตัวอย่างของเด็กผู้หญิงคนนี้ เธอไม่มีโอกาสเหมือนเด็กๆในวัยเรียนทั่วไป เธอจึงพยายามแสวงหาโอกาส แล้วเธอก็ใช้มันเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าความ อยุติธรรม และ ความไม่เท่าเทียมนั้นมีมากเหลือเกินในโลกนี้ ด้วยปากกาและบทความที่เธอเขียน
หลังจากช่วงสงครามในประเทศปากีสถาน มาลาลา ยูซาฟไซ ได้เป็นประธานของสภาเด็กเรียกร้องให้มีอิสรภาพทางการศึกษาในประเทศ เธอทำการเรียกร้องท่ามกลางการข่มขู่เอาชีวิตจากกลุ่มตอลิบาน จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2555 มาลาลาถูกยิงขณะเธอกำลังกลับบ้าน เธอถูกยิงที่ศีรษะ และต้นลำคอ ทำให้เธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส แต่เธอรอดตายจากการพยายามถูกสังหารในครั้งนั้น ความโหดร้ายของมนุษย์เราน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆยังยิงหมายชีวิตกันได้
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลังถูกส่งตัวไปรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษ มาลาลา ก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ และยังมีโอกาสเดินทางไปหลายประเทศในฐานะทูตด้านสิทธิเยาวชน ในวันฉลองอายุครบรอบวันเกิด 16 ปีของเธอ เธอมีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ในสมัชชาเยาวชนโลกที่ยูเอ็น เรียกร้องให้ผู้นำของชาติต่างๆ หันมาปกป้องสิทธิการเท่าเทียมและด้านการศึกษาให้กับเด็กผู้หญิงในปากีสถาน
เราเรียกร้องให้ทุกรัฐบาลในโลกนี้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย เพื่อที่จะปกป้องเด็กและเยาวชนจากอันตราย เราเรียกร้องให้ยูเอ็นขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กทุกคนในโลกนี้ และ ความปรารถนาของข้าพเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งความหวังและความฝันที่ข้าพเจ้ามียังคงเดิมเธอกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นปรปักษ์กับผู้ใด หรือการที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้ต้องการกล่าวเป็นปรปักษ์กับกลุ่มตอลิบานหรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นแต่อย่างใด ข้าพเจ้ามายืนในที่นี้เพียงเพื่อต้องการพูดแทนเด็กทุกคนในโลกในการขอโอกาสทางการศึกษาให้กับทั้งเขาและเธอเหล่านั้น
มาลาลากล่าวย้ำท้ายสุดว่า ให้เราได้มีโอกาสหยิบสมุดและปากกาของพวกเราขึ้นมา เพราะพวกมันเป็นอาวุธสำคัญที่พวกเรามี เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน และหนังสือหนึ่งเล่ม สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ การศึกษาเป็นคำตอบ การศึกษาต้องมาก่อน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ซึ่งในที่ประชุมในระหว่างที่มาลาลากล่าวสุนทรพจน์ ผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นผู้หญิงต่างต้องปาดน้ำตาเพราะประทับใจในสุนทรพจน์ของเธอ สภายุโรปได้มอบรางวัลด้านสิทธิมนุษยชน ชาคารอฟ แก่ มาลาลา โดยเธอยังเป็นตัวเต็งสำหรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้ด้วย แต่เธอไม่ได้รับรางวัลนี้ อย่างไรก็ดี มาลาลา ชี้ว่ารางวัลที่แท้จริงสำหรับเธอคือการได้เห็นเยาวชนทุกคน ไม่ว่าผิวขาวหรือผิวสี คริสต์หรือมุสลิม ได้มีโอกาสไปโรงเรียนอย่างเท่าเทียมกัน และหนูจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสิ่งนั้น

เรื่องราวของเธอน่าสนใจ น่าติดตามต่อไป แต่สิ่งที่นำมาให้อ่านวันนี้ ก็เพียงเพื่ออยากบอกว่า ในวันเวลาที่เรามีโอกาสเรียนก็จงเรียนอย่างมีความสุข ในวันที่เรามีโอกาสได้ทำงานก็จงอยู่กับงานอย่างมีความสุข หยุดที่จะไขว่คว้าหาสิ่งที่ไกลเกินฝัน ทำสิ่งที่มีอยู่อย่างดี ให้มีคุณภาพในทุกวัน อย่ามองข้ามสิ่งที่มีอยู่ เพราะโลกนี้ยังมีอีกหลายล้านคนไม่มีโอกาสอย่างเรา พรุ่งนี้เช้าตื่นไปโรงเรียน ไปทำงานอย่างคนที่เห็นคุณค่าของวันเวลา เพียงเท่านี้ความสุขก็บังเกิดขึ้น เมื่อเราเปี่ยมสุขในการกระทำ ความสุขก็จะแผ่กว้างออกไป พ่อแม่เห็นลูกกระตือรือร้นที่จะเรียน ก็หายเหนื่อยและภาคภูมิใจในตัวลูกๆ สำหรับผู้ที่อยู่วัยทำงานมองเห็นความสุขในการทำงาน เพื่อนร่วมงานก็ได้รับความสุข ความเบิกบานไปด้วย ใช้ชีวิตอย่างรู้ค่ากับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เพียงเท่านี้เราก็เห็นความรักของพระเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว...

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน
ใครก็ตามที่ได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้เลย นั่นคือการไปเยี่ยมชมแม่ภูฟูจิ หรือ ภูเขาฟูจิ    เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก เพราะมีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ ด้วยความสูงและความใหญ่เช่นนี้ จึงสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลๆ แม้กระทั่งจากเมืองโตเกียวและเมืองโยโกฮาม่า ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง 
ในช่วงเวลาที่ได้ขึ้นไปนั้นเป็นตอนสายๆของวัน เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการนัดหมายให้ตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อออกเดินทางจากที่พัก และถ้าอากาศดี ฟ้าเปิด รถที่ไปส่งก็จะสามารถนำพาไปถึงชั้น 5 ได้ ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้ายที่รถสามารถขึ้นไปถึง และถ้าใครอยากจะขึ้นไปสุดยอดเขา ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไป ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าใครที่เดินเลยจากชั้น 5 จนไปถึงชั้น 10 ถือว่าได้ขึ้นสวรรค์ บังเอิญเราคงยังไม่อยากขึ้นสวรรค์ตอนนี้ จึงขออยู่แตะชายปลายเท้าสวรรค์ที่ชั้นห้าก็แล้วกัน รอบๆ ภูเขาฟูจิ เต็มไปด้วยธรรมชาติแสนงดงาม ป่าไพร ต้นไม้เขียวขจี และเป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนสี จึงมีบ้างที่ใบออกไปทางสีส้มๆเหลืองๆแดงๆ มีอุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ ถึง 5 แห่ง 
ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฎอยู่ในทังขะ หรือ บทกลอนญี่ปุ่น หรือ อุคิโยเอะ หรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และในทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า ชื่อนักซูโม่ และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ รวมทั้งร้านอาหารอันลือชื่อที่คนไทยชื่นชอบไปรับประทานอาหารญี่ปุ่น ภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
เชื่อกันว่ามีผู้ปีนเขาฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของพลเมืองชาวญี่ปุ่น และมิได้ห้ามหญิงสาวขึ้นไปเยี่ยมชมแล้ว ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟูจิ
ในปี พ.ศ. 2556 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ภูขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 13 และเป็นมรดกโลกแห่งที่ 17 ของประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ ฟุจิซัง เพื่อยกย่องให้เป็นหญิงงาม
เมื่อไปถึงชั้นห้าอย่างที่กล่าวไว้แล้ว นับว่าเป็นโชคดีไม่น้อยที่ฟ้าเปิดให้ยลโฉมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ อะไรที่มันใหญ่โตเวลาเรามาอยู่ใกล้ๆ เราจะมองเห็นความสวยงามคนละแบบกับตอนที่เรามองเห็นจากที่ไกลๆ แล้วเราผู้คนละ...บางสถานะเราอาจจะเป็นคนยิ่งใหญ่คนสูงส่ง มีผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้เห็นความงามของเรามากน้อยแค่ไหน หรือมีเฉพาะภาพที่คนอื่นที่อยู่ไกลๆจึงจะเห็นความงาม มีผู้รู้ในกลุ่มเล่าให้ฟังว่า แม่ภูฟูจินี้ ถ้าวันไหนที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก จนมองไม่เห็นแสดงว่า ผู้หญิงที่ไปเยี่ยมชมนั้นสวยกว่าแม่ภูฟูจิ แต่วันนี้เราไปถึงและได้เห็นภูฟูจิเต็มๆ ใหญ่โตและตระหง่าน แสดงว่า ผู้หญิงที่ไปชมในเวลานั้นสวยน้อยกว่าแม่ภูฟูจิเป็นแน่แท้ แต่...คงไม่ใช่...เพราะสักพักใหญ่ ทั้งภูก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก้อนใหญ่ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวมาบดบัง แสดงว่า...หญิงสาวที่เดินวนเวียนแถวนั้นมีคนที่งามกว่า แม่ภูฟูจิจึงต้องอายแอบหลบไป ก็เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อล่อเล่นกัน เลยทำให้ภูเขาไฟฟูจิดูมีชีวิตชีวาขึ้น

และยิ่งมองลึกลงไป ก็ทำให้ได้ข้อสอนใจไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ เราทุกคนใช่ว่าจะต้องยิ่งใหญ่ตลอดไป ใช่ว่าจะต้องสวย ต้องเก่ง เป็นที่หนึ่งตลอดกาล แต่จะทำอย่างไรให้ความยิ่งใหญ่ ความสวย ความงาม ความเก่ง ความดี ดำรงกับเราอยู่อย่างมั่นคงตลอดไป และส่งมอบให้ผู้อื่นได้ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นได้ มิใช่มีเพื่อตัวเราเองเท่านั้น นี่สิคือสิ่งที่เราต้องทำให้ได้
ในวันนี้เรามักจะเห็นผู้คนมากมายที่แย่ง แข่งขัน กันเป็นใหญ่ ก้มหน้าก้มตาหาความเก่ง หาความสำเร็จให้กับตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ค่อยเห็นใครแย่งกันทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เราต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นให้สูง ไปให้เด่นกว่าคนอื่น พยายามเดินนำหน้าผู้คน มีบ้างบางครั้งเบียดเพื่อนร่วมทางให้กระเด็นตกไปตามข้างทาง แล้วก็ไปยืนเดียวดายอยู่บนยอดเขาสูงอันแสนเหน็บหนาว เพื่ออะไรเล่า...

ภูเขาฟูจิใหญ่สูงข้างหน้านี้ได้ย้ำเตือนว่า ชีวิตของเรานั้น เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องยิ่งใหญ่ในสายตาผู้อื่นในทุกวัน แต่ต้องยิ่งใหญ่ด้วยคุณค่าในตัวเองทุกๆวัน แล้วนำสิ่งนั้นออกไปเพื่อผู้อื่น ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คือ สิ่งที่คนอื่นเขามองเห็น หาใช่สิ่งที่เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเห็น แล้วถึงขั้นไปบังคับข่มให้มอง อย่างนี้มีแต่ไร้ค่า สรุปรวมความแล้วเราก็เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆในสรรพสิ่งสร้างอันกว้างใหญ่ไพศาล เรามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวเรา นั่นคือหัวใจของความเป็นมนุษย์ แล้ววันนี้เราทำให้มันมีค่าที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เราไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ยิ่งใหญ่ทุกๆวัน แต่หัวใจเรานั้นต้องยิ่งใหญ่ในทุกๆวัน เราไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาสูงเพื่อพิชิตมัน เพียงเราเก็บกวาดก้อนหินก้อนเล็กๆที่อยู่ข้างหน้าเราให้เข้าที่เข้าทาง ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ...

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บนทางที่ไม่รู้


บนทางที่ไม่รู้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้ออกเดินทางเพื่อท่องไปยังดินแดนต่างถิ่น ต่างวิถีความเป็นอยู่ เพื่อนๆ คนคุ้นเคย ต่างออกปากทักทายว่า เที่ยวอีกแล้วเหรอ นั่นเพราะว่าระยะหลังๆนี้มักจะเดินทางไปที่นั่นที่นี่อยู่บ่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานอิสระที่ทำอยู่นั้น มีอันที่จะให้เดินทางได้บ่อยๆ และในบางที่ที่ไปนั้น ก็ถือโอกาสได้เที่ยวชมสถานที่นั้นไปด้วย สิ่งเหล่านี้เองได้ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาเปิดใจ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆและนำมาทบทวนหาความเหมาะสมและความสอดคล้องในการมีชีวิตอยู่ ได้อย่างรู้คุณค่าและนำมาแบ่งปันบ้างในบทความแห่งนี้
ยอมรับว่าเมื่อก่อนนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบการท่องเที่ยวไปไหนไกลๆ แถมยังเกลียดการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้นอนไม่หลับ ในการที่จะต้องนั่งรถไปนานๆ ขึ้นเครื่องบินไปไหนไกลๆ บางครั้งต้องเข้าพักอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเล็กๆนอนไม่สบายเหมือนนอนอยู่ที่บ้าน เรียกว่า เป็นคนไม่กล้าที่จะก้าวไปไหนเป็นโรคเจอคนเยอะแล้วเวียนหัวไม่ชอบการแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว บ่อยครั้งเกิดความรู้สึกรำคาญหงุดหงิด  ทำให้การท่องเที่ยวไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร พอเริ่มเติบโตขึ้นและปรับเปลี่ยนทัศนคติในการท่องเที่ยวต่างแดนต่างที่ต่างถิ่น จึงทำให้รู้ว่ามีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าเดิมย่ำอยู่ในที่เดิมๆ 

สำหรับครั้งนี้คือ การเดินทางไปญี่ปุ่น เป็นเวลาอันเหมาะเจาะกับการที่รัฐบาลทั้งสองประเทศประกาศยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของกันและกัน ทำให้สะดวกขึ้นมาในระดับหนึ่ง แผนการเดินทางถูกจัดตารางเวลาไว้เรียบร้อย แต่แล้วก่อนเดินทางไม่กี่วันมีงานด่วนเข้ามา คิดแล้วว่าน่าจะพอมีเวลาทำได้ทัน ครั้นพอเริ่มรับงานทำ ก็ต้องมีอุปสรรคอีก แต่เป็นอุปสรรคที่ภูมิใจอย่างมากที่มีโอกาสได้ทำไป นั่นคือ แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสามครั้ง ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ เวลาส่วนหนึ่งจึงมอบให้แม่เพื่อดูแล ใช้เวลายามค่ำคืนบ้างเพื่อทำงาน จนก่อนเดินทางแม่อาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาล งานก็เสร็จทันเวลาแบบเฉียดฉิว จากตรงนี้เองร่างกายจึงอ่อนเพลียจนเกิดอาการท้องร่วง ลามไปจนกระทั่งอยู่ในระหว่างการเดินทาง คิดว่าคงหมดสนุกและเสียเวลาแล้วล่ะในครั้งนี้ เปล่าเลย... เรากลับได้เห็นอีกมุมหนึ่งในดินแดนต่างถิ่นแห่งนี้ ที่ถูกเรียกว่าแดนปลาดิบ แดนซามูไร แดนซากุระ แดนอาทิตย์อุทัย ได้อย่างดียิ่ง เพราะการที่ต้องหาห้องน้ำ ห้องสุขาเข้าบ่อยๆ เข้าทุกที่ที่แวะชม ทำให้เห็นว่า ทุกที่ที่ไปมีแต่ความสะอาดและสะดวกสบาย ห้องน้ำสาธารณะมีมากพอในทุกที่ มีอุปกรณ์ทันสมัยที่ช่วยชำระล้าง เป็นการเข้าห้องน้ำที่เรียกว่า ห้องสุข(า) อย่างแท้จริง สิ่งที่เป็นกังวลนั้นลดลงไปมาก จนอาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในวันที่สองของการเดินทาง อีกทั้งยังได้สัมผัสกับความสุภาพน่ารักของชาวเมือง ความสะอาดสะอ้าน ความมีระเบียบวินัย และความมีจิตสาธารณะ นอกจากนี้บ่อยครั้งยังมีสีสันพิเศษที่สาวๆ ชาวญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ชุดประจำชาติ ด้วยการสวม ชุดกิโมโนสีสันสวยงามมาเดินอวดโฉมตามสถานที่ต่างๆ หลายคนเห็นแล้วอดใจไม่ได้ต้องไปขอถ่ายรูปคู่กับพวกเธอ

ในความคิดเห็นตั้งแต่แรกนั้น คิดไว้ว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศแห่งการพัฒนาสุดๆ ทั้งเรื่องเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นประเทศที่มีผู้คนอยู่มากในบางเมืองเรียกว่าแทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับผู้คนเลย ผู้คนในประเทศนี้คงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เร่งรีบ การทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย แย่งกันกินแย่งกันอยู่ คงจะวุ่นวายไม่ใช่น้อย และคงเต็มไปด้วยปัญหาสารพัดสาระพัน รถราคงติดมากกว่าถนนสาทรหน้าวัดเรา... แต่สิ่งที่คิดไว้นั้นกลับตาลปัตรหมดเลย ทุกที่ที่ไปมีแต่ความสะอาด ผู้คนมีวินัย มีความอ่อนน้อมและคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยที่สูงมากๆ ไม่มีการแซงคิว ร้านค้าร้านขายไม่ต้องใช้คนบริการสอดส่องลูกค้าให้มาก เพราะไม่มีการขโมยของ บ้านช่องไม่มีรั้วขอบกำแพงที่สูง เพราะคนในชุมชนต่างจะช่วยกันดูแล ใครทำสิ่งผิดกฎหมาย เพื่อนบ้านจะเป็นผู้นำไปแจ้งให้ทางการรับทราบ ซึ่งไม่ใช่การกลั่นแกล้งกัน เป็นจิตสาธารณะที่คอยใส่ใจกันและกัน แต่ทำจนเป็นเรื่องปกติ และชินกับการหมั่นตรวจตราความเรียบร้อยของชุมชน ไม่มีการจอดรถแบบมั่วซั้วตามท้องถนน และนิยมการปั่นจักรยาน และการเดินเท้าไปยังที่ต่างๆ เพื่อช่วยกันลดมลพิษ คนที่สูงอายุหน่อยก็ไม่ปล่อยให้ตกเป็นภาระใคร เห็นคนสูงอายุมากมายที่เดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง หิ้วถุงสัมภาระขึ้นรถไฟ ขึ้นรถเมล์ 
ในย่านกลางเมือง ย่านที่มีหนุ่มสาวมารวมตัวกันอย่าง เช่น ย่านชินจูกุ แหล่งช้อปปิ้งในเมืองโตเกียว หนุ่มสาวก็แต่งตัวกันได้น่ารัก ตามประสาวัยใส ใส่กระโปรงสั้นแต่มักจะสวมทับถุงน่องยาวหรือทับกางเกงรัดรูปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนหนุ่มสาวชาวไทยที่บอกว่ารับวัฒนธรรม เจป๊อป มา แต่กลับมาใช้แต่งกายที่เรียกว่า สั้นเสมอหูจนกลายเป็นสื่อที่บอกถึงความเสื่อมของจริตคนเมือง และสิ่งใดที่มันไม่งามตางามใจนัก ก็จะถูกจัดให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ตรวจสอบกันง่าย อาทิ ร้านขายดีวีดีสำหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น 
ใช่หรือไม่ มีหลายเส้นทางที่เรารู้แต่เราไม่ได้รู้แจ้งรู้จริง จนกว่าเราจะได้ไปสัมผัส และอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ เราจึงจะเข้าใจ คนเราก็เหมือนกัน กับบางคนนั้นเป็นเหมือนเส้นทางที่เราไม่เคยรู้ เราเพียงเห็นเพียงได้ยิน แต่ไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตของเขา เราจะเข้าใจคนเหล่านั้นได้อย่างไร เราไปตัดสินเขาได้อย่างไร การท่องเที่ยวไปบนเส้นทางที่ไม่รู้ หากเปิดใจ ไม่นานเราก็จะได้รู้ บนเส้นทางชีวิตก็เช่นกัน เปิดใจเรียนรู้แล้วเราจะพบเห็นความน่ารักและความสุขของผู้คนผู้ร่วมใช้เส้นทางเดียวกับเรา...

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำด้วยตัวเองหรือทำเพื่อตัวเอง


ทำด้วยตัวเองหรือทำเพื่อตัวเอง
D.I.Y. Do It Yourself
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะชะงักงันเพราะหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯบางส่วนต้องปิดทำการในวันอังคารที่ 1 ต.ค. นับเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯไม่สามารถประนีประนอมยุติศึกงบประมาณประจำปีได้   ประธานาธิบดีโอบามา แถลงจากทำเนียบขาวและถ่ายทอดทางทีวีทั่วประเทศเตือนว่า การปิดหน่วยงานรัฐอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เข้าที่เข้าทาง ภายหลังจากการถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ  
การปิดหน่วยงานรัฐเพียงไม่กี่วัน ไม่น่าจะสร้างปัญหาใหญ่โตอะไรให้แก่เศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จำนวนมาก  ประเมินว่า หากสถานการณ์นี้ยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์ จะทำให้อัตราการเติบโตของสหรัฐฯ หายไป 0.3% การปิดหน่วยงานรัฐยังส่งผลร้ายแรงต่อลูกจ้างที่ถูกพักงาน ซึ่งอาจต้องนำเงินออมมาใช้ ระงับการจ่ายหนี้บ้าน การผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลกนี้เป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนเริ่มวิตกว่าระบบเศรษฐกิจของโลกจะตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ลงหรือเปล่า อดคิดไม่ได้ว่า ที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ต้องกลับมาสู่จุดเดิม นั่นคือ การทำอะไรด้วยตัวเอง ปลูกพืชผักกินเอง ประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยเอง สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อหลายปีก่อน จนกระทั่งกลายเป็นกระแสที่เรียกว่า D.I.Y. = Do it yourself แปลว่า ทำมันด้วยตัวคุณเอง อะไรที่พอจะทำได้ก็ทำด้วยตัวเอง ประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ด้วยตัวเอง 
D.I.Y. เป็นที่นิยมนั้นเริ่มมาจากในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผู้คนเริ่มที่จะทำอะไรด้วยตนเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลง เช่น ปลูกผักกินเอง นำสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆมาซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่  ประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นใช้เอง
กระแสของ D.I.Y. ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก เมื่อระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนตกอยู่ในทุนนิยมและบริโภคนิยม กระแสการทำสินค้าขึ้นเองหรือทำจากมือ ก็กลายเป็นทางเลือกในการผลิตสินค้าเพื่อการค้าขาย และพัฒนารูปแบบขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นค่านิยม เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนมั่นใจในตัวเอง และต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่าพึ่งพาคนอื่น และเมื่อทำอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยการลองผิดลองถูกได้แล้ว มันก็ก่อให้เกิด “จินตนาการ ที่นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์และการพัฒนาสิ่งใหม่ๆในโลกตามมา อย่างที่เราเห็นๆอยู่ว่ามีสิ่งเกิดใหม่เกิดขึ้นแทบทุกวินาที แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่เราไม่ต้องพึ่งพาใคร ทำอะไรก็ได้ไม่ง้อใคร หาข้อมูลเอง คิดเองเออเอง ใช้เพียงเครื่องมือล้ำสมัยเป็นผู้ช่วย แล้วก็คิดเลยไปว่า คงไม่มีใครเก่งกว่า เหนือกว่าเราอีกแล้ว ค่อยๆกลายเป็นความยโส และความเห็นแก่ตัวก็ครอบงำ นี่จึงเป็นที่มาของสังคมสมัยใหม่ที่เป็นสังคมตัวใครตัวมัน ไม่สนใจคนอื่น ไม่ใส่ใจคนรอบๆข้าง
ยิ่งในยุคที่มีเวทีที่จะให้แสดงตัวตนอย่างเต็มที่ด้วยการอ้างถึงสิทธิ อ้างถึงความเป็นประชาธิปไตย ในสังคมเครือข่าย สังคมเสมือนจริงจึงเต็มไปด้วยคนอวดรู้ อวดเก่ง วิพากษ์วิจารณ์ แสดงอารมณ์อย่างไร้กรอบ อยากโชว์อะไรที่ตัวเองทำได้ ก็แค่โพสต์ ผู้คนที่เต็มไปด้วยการอยากแสดงออกก็จัดให้เต็มที่ มีบ้างถึงขั้นตั้งตนเป็นคนตัดสิน เป็นผู้พิพากษา แถมเมื่อมีบางสิ่งที่อ่านที่เห็นแล้วไม่ตรงกับจริตตัวเองก็ใส่ไม่ยั้ง ถึงขั้นหยาบคายก็เยอะ สภาพสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงแบบที่เราไม่รู้ตัว แล้วเราเองก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นที่แสดงอะไรออกไป ใช่...สิ่งนั้นมันแสดงความเป็นตัวเราแต่มันกลับไปทำร้ายคนอื่น ในสภาพแบบนี้เราเสมือนหนึ่งปล่อยให้มารร้ายครอบครองเราโดยไม่รู้ตัว
D.I.Y. มีข้อดีมากมาย เป็นการทำให้เราเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น มีความเป็นตัวตนอย่างสมบูรณ์ ไม่เป็นลูกแหง่ที่ทำอะไรก็ไม่เป็น ปล่อยให้ถูกคนอื่นชักจูงได้ง่าย ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เดินตามความฝันความถนัดของตัวเอง ไม่เป็นภาระกับใคร นำไปสู่การพัฒนาต่อยอด  
การทำอะไรด้วยตัวเองนั้นเป็นต้นธารของการเติบโตขึ้น การพัฒนาความเป็นคน แต่การที่จะไปสู่ความเป็นคนครบบริบูรณ์นั้น เราต้องนำต้นธารมาทำให้ กลางธาร ปลายธารนั้นได้รับประโยชน์ด้วย นั่นคือ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน การเติบโตขึ้นของแต่ละคนย่อมมีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป แต่มันคือความสวยงาม หากว่าเรานำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และนี่เองเป็นการฝึกฝนการควบคุมอารมณ์ การยอมรับในผู้อื่น พระเจ้าทรงสร้างเรามาให้มีความสมดุลเสมอ เพื่อไม่ให้เราหยิ่งผยองเกินไป พระองค์ก็ใส่มโนสำนึก เพื่อให้เป็นเครื่องย้ำเตือนตน เท่านั้นยังไม่พอยังทรงให้เรามีคนรอบข้างที่คอยกระตุ้นเตือน คอยฉุดรั้ง ไม่ให้เราหลงระเริง แน่นอน ในคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น มีบ้างที่อาจจะแรงด้วยอคติของคนคนนั้น เราต้องรู้รับฟัง และคัดกรอง อย่างมีสติ อาศัยพระจิตนำทาง เรียนรู้เลือกรับฟังรับติรับชม นำมาปรับปรุงตัวเอง แล้วเลือกเดินทางธรรมอย่างมั่นใจ 
สำหรับเรา ผู้ที่มีความเชื่อ เราก็ต้องปลูกฝังความเชื่อให้อยู่กับตัวตลอดไป และสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเสมอๆคือ เป็นการดีไม่น้อยที่เราจะทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง แต่เราต้องทำสิ่งเหล่าเหล่านั้นเพื่อพระเจ้า โดยผ่านทางผู้คนรอบข้างด้วย เราทำด้วยตัวเองแต่หาใช่เพื่อตัวเอง นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นบุตรพระเจ้า และการมีชีวิตที่งดงามบนโลกใบนี้