วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แรงส์...กว่า


แรงส์...กว่า
จากข่าวอุกกบาตตกลงมาที่ประเทศรัสเซียเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แรงระเบิด ทำให้เกิด คลื่นแรงกระแทก  หรือแรงอัดรุนแรง จนกระจกตามอาคารที่พักต่างๆ แตกกระจุยกระจาย มีชาวรัสเซียได้รับบาดเจ็บประมาณพันกว่าคน เกิดหลุมใหญ่ในทะเลน้ำแข็ง ภาพที่เราเห็นอย่างกับภาพที่สร้างขึ้นในภาพยนตร์ ภาพเหล่านั้นสะท้อนมุมมองออกมาในหลายๆแง่ ที่เอาเข้าจริงมนุษย์ก็มิอาจจะหยั่งรู้ฟ้าดินได้ แน่ล่ะ...ในด้านความเชื่อเราอาจจะมองเห็นสัญญาณที่เบื้องบนเตือนเราว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในทุกเสี้ยววินาที
หากช่วงที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราได้ปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามกระแส ไม่มีหลักยึดมุดปักหรือเปล่า เวลาใดเวลาหนึ่งหากเกิดเหตุการณ์เพียงชั่วพริบตาขึ้นอย่างไม่มีวันรู้ล่วงหน้า แล้วเราจะกลับสู่ถิ่นฐานเดิมได้อย่างไร? จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ช่วงเวลา 40 วัน ของมหาพรต เป็นการรำพึงไตร่ตรองถึงวิถีชีวิตเราได้เป็นอย่างดียิ่ง เห็นเครื่องหมายเพื่อย้ำเตือนให้เราพร้อมเสมอ พร้อมที่จะจากภาวะแห่งโลกนี้ไปด้วยความดีด้วยความสมบูรณ์ และมอบความดีที่มีไว้เพื่อคนอื่นได้สานต่อ สร้างความเมตตาต่อสรรพสิ่งไว้ในโลก

แม้ว่าโลกนี้จะกว้างใหญ่ แต่จักรวาลยิ่งใหญ่กว่า แล้วเรา...ผู้ที่ยังยึดมั่นในความยิ่งใหญ่ของตัวเองนั้นหล่ะ แท้จริงแล้วก็แค่เพียงเศษธุลีในห้วงจักรวาล แต่โดยอาศัยความยิ่งใหญ่ของความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา จึงทำให้ชีวิตวันนี้ของเรามีคุณค่า
ใช่... การดำเนินชีวิตของเราในวันนี้อาจจะไม่ได้คำนึงถึงวันข้างหน้าเพราะ เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนมันย่อมมีแรงส่งผลถึงวันข้างหน้าได้อย่างมหาศาล การทำวันนี้ให้ดีที่สุด คงไม่ใช่คำพูดที่เป็นเพียงการทำเพื่อตัวเองเพียงเท่านั้น หากแต่ว่า เราทำดีที่สุดในวันนี้เพื่อให้โลกรอบข้างได้ดีขึ้นในวันข้างหน้าด้วย
อุกกบาตชนโลกส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นมิใช่น้อยต่อแผ่นดินโลก แต่...มีแรงบางอย่างที่ทำให้โลกสั่นคลอนได้ นั่นคือ แรงอาฆาตแค้น แรงบาป แรงโลภ แรงเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่พุ่งใส่โลกในทุกๆวันนั้น มันส่งผลต่อโลกมามากแบบไม่รู้ตัว แบบไม่ให้เห็นความเสียหายภายในพริบตา แต่มันค่อยๆกัดกินฐานรากแห่งคุณธรรมที่ย้ำยันโลกให้สั่นคลอนลงทีละน้อยๆ หากเรายังไม่รู้ตัว โลกอาจจะพังลงโดยไม่ต้องรอวันที่อุกบาตก้อนใหญ่พุ่งชนโลกก็ได้
การกลับใจวันนี้ เพื่อสร้างพลังคุณธรรมย้ำยันโลก เป็นสิ่งที่เราต้องเรียกให้กลับเข้าสู่หัวใจของเราทุกคน การจะสอนคนอื่นให้กลับตัวกลับใจอาจจะเป็นสิ่งที่ยาก หากเรามิได้กลับตัวกลับใจเราก่อน ความอ่อนแอตามภาษามนุษย์ย่อมมี ย่อมเกิดขึ้นได้ในทุกคน อาศัยการภาวนาจะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้น และสิ่งที่งดงาม คือ ถ้าเราต่างช่วยเหลือกัน เป็นพลังให้กัน เป็นแรงผลักดันให้เกิดการกลับใจ ให้เกิดการหันกลับมาทำความดีเยียวยาสังคมที่อ่อนแอลง ย่อมเกิดแรงที่มองไม่เห็น ที่เป็นกำแพงอันแข็งแรง เสริมฐานรากให้มั่นคง ทำให้เราแต่ละคนมีภูมิพลังใจในการต่อสู้กับสิ่งล่อลวงในแต่ละวันได้
ในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่เกเร ติดเหล้า ติดการพนัน และจมปลักอยู่ในความเลวหลากหลายชนิด กระทั่งว่า แม่ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนปัญญาจะทำให้กลับตัวเป็นคนดีได้ 
ลุงของเขาที่ย้ายไปอยู่ยังอีกเมืองหนึ่ง และเป็นคนเดียวที่เขายอมเชื่อฟังพอทราบเรื่อง จึงรีบเดินทางกลับมายังบ้านน้องสาวและพำนักที่บ้านหลังนั้นหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าในขณะที่กำลังจะเดินทางกลับ ลุงของเขา ทำเป็นหารองเท้ามาสวมด้วยอาการงกๆเงิ่นๆ เจ้าหนุ่มที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาเหล้า และเพิ่งกลับจากบ่อนเมื่อใกล้รุ่ง จึงกุลีกุจอเข้าไปช่วยผูกเชือกรองเท้าให้ ลุงของเขายืดตัวขึ้นพลางลูบหัวเขาเบาๆพร้อมกล่าวว่า
หลานเอ้ย! ลุงต้องขอโทษด้วยที่รบกวนหลาน ดูเอาเถอะ คนเราวันหนึ่งก็ต้องแก่เหมือนลุงนี่แหละ พอแก่แล้วทำอะไรก็ไม่สะดวก หูตาฝ้าฟางลงทุกที นี่แค่ผูกเชือกรองเท้ายังต้องพึ่งคนอื่นเลย ลุงขอโทษเธอจริง ๆ นะ เฮ้อ! ไม่น่าเกิดมาสร้างภาระให้ใครเลย
ไม่พูดเปล่า น้ำตาของลุงร่วงพรูลงบนหลังมือเจ้าหลานชาย นาทีนั้นเอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเขาทอดทิ้งลุงของเขามาเป็นเวลานาน แล้วใจก็เชื่อมโยงถึงผู้เป็นแม่ ซึ่งต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาวันแล้ววันเล่า โอ... เขากลายเป็นภาระของแม่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หยาดน้ำตาบนหลังมือ พลันให้เขาเกิดสามัญสำนึกถึงความไม่ได้เรื่องของตน จึงบอกว่า
ลุงครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมละเลยทั้งแม่และลุงมาโดยตลอด จากนี้ไปผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขอลุงให้อภัยผมด้วย
จากนั้นเป็นต้นมา แม่ก็ได้ลูกชายคนใหม่มาด้วยกุศโลบายในการทำให้หลานชายรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งจากลุงของเขานั่นเอง
การให้อภัย การกลับใจอย่างแท้จริงนั้น ต้องมาจากการที่คนทำผิดเกิดจิตสำนึกขึ้นมาอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด แล้วอยากเริ่มต้นใหม่ อยากแก้ไขตัวเองจึงจะเป็นการกลับใจที่มีความหมาย และด้วยแรงแห่งการกลับใจของแต่ละคนนี้แหละ ที่จะเป็นแรงพลังสร้างให้โลกมั่นคง แข็งแรงยิ่งขึ้น ต่อให้แรงอุกกบาตรชนโลกหนักหนาสักแค่ไหน ก็มิอาจจะทำให้แรงแห่งความดีจากการกลับใจของเราสูญสลายหายไปได้ และพระเจ้าจะทรงเมตตาต่อเราทุกคน เพราะเราคือบุตรของพระองค์ อย่าลืมที่จะกลับใจในแต่ละวัน ...

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สุภาพ บุรุษ อย่างนี้นี่เอง


สุภาพ บุรุษ อย่างนี้นี่เอง
เย็นของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแสง สี เสียง ในงานเลี้ยงของคนแปลกหน้า ในห้องประชุมขนาดใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตา ที่มาอาศัยห้วงเวลาเดียวกัน ในพื้นที่เดียวกัน อยู่ๆสัญญาณสั่นของโทรศัพท์ก็สั่นขึ้น เพียงแวบแรกที่เห็นเพื่อนฝูงในกลุ่มเครือข่าย line ได้ส่งข้อความสอบถามถึงข่าวใหญ่ของโลกข่าวหนึ่งว่าจริงหรือเปล่าเพราะเหตุใด ??? หลังสิ้นภารกิจออกจากพื้นที่ตรงนั้น จึงได้ตรวจสอบข่าว และได้ทราบเหตุผลของเหตุการณ์นั้น พี่น้องก็คงทราบข่าวนี้จากทั้งทางโซเชี่ยลมีเดีย และทางสื่อหลักวิทยุโทรทัศน์ ที่ได้รายงานข่าวกันอย่างรวดเร็ว  เป็นข่าวช็อกไปทั่วโลก เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลทางสุขภาพ
ช่วงระยะเวลาในการรอตรวจสอบข้อมูลอยู่นั้น ข่าวลือก็แพร่สะพัด นี่แหละหนาข่าวลือมักจะไปเร็วกว่าข่าวดี และไม่นานในเพจของ Pope Report ก็ได้ถอดความ พระดำรัสที่พระสันตะปาปาที่ได้แจ้งแก่คณะพระคาร์ดินัล ถึงการสละสมณสมัยของพระองค์ มีใจความว่า
 พี่น้องที่รัก
.....หลังจากไตร่ตรองความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าพระเจ้า พ่อได้บทสรุปที่แน่นอนเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง ด้วยเหตุที่อายุมากขึ้น มันจึงเป็นเรื่องไม่คู่ควรที่จะปฏิบัติหน้าที่พระสันตะปาปาได้เต็มความสามารถ ประกอบกับความสำคัญฝ่ายจิต พ่อตระหนักดีว่าการอภิบาลต้องได้รับการลงมือปฏิบัติไม่ใช่แค่ทางวาจาและการกระทำ แต่สิ่งที่ต้องทำไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือการสวดภาวนาและการพลีกรรม อย่างไรก็ตาม โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีเรื่องมากมายที่สั่นคลอนชีวิตความเชื่ออย่างลึกซึ้ง 
เพื่อให้การปกครองนาวาของนักบุญเปโตรและการประกาศพระวรสารเป็นไปด้วยดี ความเข้มแข็งทางความคิดและร่างกายจึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่ความเข้มแข็งที่ว่านี้ ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาได้อ่อนแรงลงมากในตัวพ่อ พ่อจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองถึงการขาดคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่อภิบาลได้อย่างเต็มความสามารถ
ด้วยเหตุนี้ อาศัยการพิจารณาถึงความสำคัญของการกระทำที่จะเกิดขึ้น และอาศัยอิสรภาพในการตัดสินใจ พ่อขอประกาศว่า พ่อขอสละตำแหน่งพระสังฆราชแห่งกรุงโรมและพระสันตะปาปาผู้สานงานต่อจากนักบุญเปโตรซึ่งคณะพระคาร์ดินัลได้มอบความวางใจให้พ่อทำหน้าที่นี้ ...
.....ขอให้เรามอบพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ไว้ในความดูแลของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา อาศัยการเสนอวิงวอนของแม่พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ แม่พระจะช่วยเหลือคณะพระคาร์ดินัลในการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ส่วนตัวพ่อเอง พ่อปรารถนาที่จะอุทิศชีวิตในอนาคต ด้วยการรับใช้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางการสวดภาวนา
                                                                 ให้ไว้ ณ นครรัฐวาติกัน 10 กุมภาพันธ์ 2013
                                                                     สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16

ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่กล้าพอที่จะน้อมยอมรับความจริง และไม่ยึดติดกับตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ กว่าที่พระองค์ท่านจะผ่านมาถึงจุดนี้ พระองค์ท่านได้สนทนากับพระเจ้านับครั้งไม่ถ้วน การใช้ความสุภาพและในฐานะบุรุษที่โลกรู้จักมากที่สุดคนหนึ่ง ได้ทำให้โลกจดจำความเป็นสุภาพบุรุษของพระองค์ท่านอีกครั้ง เป็นการสั่งสอนอำลาตำแหน่งอย่างงดงามให้กับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ทะนง ความเป็นตัวตนอย่างล้นเหลือ การใช้ความสุภาพที่ยอมรับว่าสิ่งใดทำไม่ไหว สิ่งใดที่ไม่อาจจะกระทำได้ สิ่งใดไม่รู้ก็น้อมยอมรับมัน แล้วเดินอยู่บนสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่พระเจ้าสร้างสรรค์เรามาเพื่อบางสิ่งไม่ใช่ทุกสิ่ง นี่ต่างหากสิ่งที่โลกขาดแคลน วันนี้พระองค์ท่านได้เติมในสิ่งที่ขาดหายไป โลกสั่นสะเทือนเพราะข้อเตือนใจนี้ อย่ายึดติดกันมากนะ ยอมรับอย่างสุภาพบุรุษ จะมีคนยกย่องมากกว่าการดันทุรังทำไปทั้งๆที่กายและใจไม่พร้อม
ในขณะที่โลกวันนี้เราเห็นการยึดแย่งแข่งขันกันอย่างกว้างขวาง เมื่อได้มาก็กอดรัดไม่ให้มันพลัดพรากจากไป ทั้งๆที่ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้สังคมรอบข้างหมดความเชื่อถือ เราจะทำแบบนั้นกันทำไม ความกล้าที่จะลุกมาบอกว่า ฉันไม่สามารถทำได้ ฉันอยากให้คนอื่นทำ ฉันจะเป็นพลังหนุนให้คนรุ่นใหม่ๆก้าวขึ้นมา หาไม่ค่อยได้ในสังคมวันนี้ คนรุ่นใหม่จึงไม่เคารพคนรุ่นก่อน คนรุ่นก่อนก็ดูแคลนคนรุ่นใหม่ ต่างฝ่ายต่างก่อกำแพง ที่เคลือบด้วยความยโส แต่ข้างในก็เป็นเพียงอิฐบล็อก อิฐมวลเบาที่มีช่องว่างมากมาย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้กลับมาคิดทบทวนตัวเองว่า เส้นทางที่ผ่านมาเราได้ทำทุกอย่างนั้นเพื่ออันใดเล่า เพียงเพื่อตัวเองหรือ??? ทำดีเพื่อต่อยอดกิเลสหรือเปล่า ความน้อมยอมรับในสิ่งที่ไม่รู้ ในสิ่งที่ทำไม่ได้ อย่างสุภาพบุรุษเคยเกิดขึ้นมาบ้างไหมในชีวิต ???ทำดีมิต้องสร้างภาพ ทำดีเพื่อสร้างภาพ คือ ความด้อยค่าของความดี
ความสุภาพนบนอบต่อเสียงภายในของพระองค์ท่าน เป็นแบบอย่างของนักแสวงหาบุญกุศล หลังจากพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ลาออกอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์จะเสด็จไปพำนักที่พระราชวังฤดูร้อน คาสเตล กันดอลโฟ พระองค์ตัดสินใจจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษแบบนักพรต โดยจะสวดภาวนาอย่างเงียบๆตามลำพังไปตลอดชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจาก Fan Page : Pope Report

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฐานนี้ยังมั่นคงอยู่หรือ???


ฐานนี้ยังมั่นคงอยู่หรือ???
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เราคิดถึงอะไรในวันตรุษจีน แน่นอนแหละหลายคนคงตอบว่า คิดถึง แต๊ะเอีย อั่งเปา สิ่งนี้นั้นมีรากฐานมาจาก ความกตัญญู ที่เรามีต่อผู้ใหญ่ผู้ที่มีพระคุณ เมื่อถึงวันตรุษเราก็ไปไหว้ ไปอวยชัยให้พรท่าน แล้วผู้ใหญ่ท่านก็มีเมตตา ด้วยการให้สิ่งตอบแทนกลับมา ขณะเดียวกันคนเชื้อสายจีนก็ยังสอนให้ลูกๆหลานรำลึกถึงบรรพบุรุษผู้เป็นต้นตระกูลมีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ 
ความกตัญญูนี้เป็นเหมือนรากฐานของความดี คนที่กตัญญูนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นคนดี ใครที่มีคุณธรรมข้อนี้ย่อมนำพาให้ชีวิตเดินไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ คนรุ่นก่อนจึงให้ความสำคัญกับคุณธรรมข้อนี้อย่างยิ่งยวด แต่เราผู้สืบสานบรรพชนคนรุ่นก่อน เรามักเห็นเพียงเปลือก เห็นเพียงผลลัพธ์ปลายแถวเท่านั้น ในวันเวลาที่เราเป็นทาสของระบบเงินทุนหมุนเวียน ความกตัญญูถูกพูดถึงน้อยลง ประเพณีการไหว้กลายเป็นช่วงแห่งการจับจ้องเงินที่จะได้รับ และไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร ใจคนจงอย่าหยุดที่จะกตัญญูต่อบุคคล ต่อสรรพสิ่งในโลก ต้องกล้าที่จะใช้ความกตัญญูมากลบลบความกลัวที่มีอยู่ในใจเรา เช่นนิทานสอนใจเรื่องนี้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
อภัยอาศัยอยู่กับปู่ชราในกระต๊อบท้ายหมู่บ้าน เขาเป็นเด็กชายที่มีความกตัญญูกตเวที วันหนึ่งในฤดูหนาว ปู่ของอภัยป่วยหนักด้วยโรคทางเดินหายใจและปวดข้อกระดูก อภัยจึงไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะต้องคอยปรนนิบัติบีบนวดปู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายแต่อย่างใด อภัยเต็มใจที่จะทำ เขาสงสารปู่มากเวลาที่เห็นปู่ต้องทรมานด้วยโรคปวดข้อ
         “ถ้าเรามีเงินก็ดีสิ เราจะได้เอาเงินไปซื้อเสื้อหนาวหนาๆ ดีๆ มาให้ปู่ใส่ แล้วก็จะได้พาปู่ไปหาหมอกระดูกมือหนึ่งที่หมู่บ้านใกล้เคียงด้วย อภัยได้แต่นั่งคิดอย่างเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะหาเงินจำนวนนั้นมาจากไหน        ทันใดนั้น มีชายชราหนวดยาวเฟื้อย แต่ท่าทางใจดี แต่งกายด้วยชุดขาวทั้งชุด กำลังจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ อภัยจึงถามชายชราว่า  “ตามีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ชายชราชุดขาวตอบอย่างอารมณ์ดี ได้ยินมาว่าเจ้าอยากได้เงินมากๆ เพื่อเอาไปซื้อเสื้อหนาวเนื้อหนา และพาปู่ของเจ้าไปหาหมอมือหนึ่งอย่างนั้นเรอะ
ข้ามีงานให้เจ้าทำ ถ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้ทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่เอาไปรักษาปู่ของเจ้า” “งานอะไรครับตาอภัยรีบถาม เขาดีใจมากจนทิ้งความหวาดระแวงในตัวชายชราชุดขาวไปชั่วขณะ งานง่ายๆ แต่ไม่รู้จะยากเกินไปสำหรับเจ้าไหมนะชายชราชุดขาวพูดหยั่งเชิงไม่ครับตา งานอะไรก็ได้ ผมทำได้ทั้งหมดเลยอภัยรีบตอบ
 “งานของเจ้าก็คือ นำเมล็ดพืชที่ข้าให้ไปปลูก...” “แค่นั้นเอง!อภัยร้อง ผมปลูกพืชได้งดงามมากเชียวครับ”   “ข้ารู้อยู่ว่าเจ้ามีดีด้านการเพาะเมล็ดพืช แต่เมล็ดพืชของข้านั้นไม่เหมือนกับเมล็ดพืชอื่นๆ หรอกนะ มันจะออกดอกแค่ครั้งเดียวแล้วจะไม่มีดอกอีกต่อไป เมล็ดพืชของข้าจะขึ้นได้ดีหากได้หว่านลงในดินตรงป่าช้าท้ายวัดในยามค่ำคืนที่มืดสนิท และจะเติบโตอย่างรวดเร็ว หากได้รับการรดน้ำพรวนดินในเวลามืดเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเจ้าไปดูแลมันในเวลากลางวัน มันจะเหี่ยวแห้งตายในทันที”  “ได้ครับตา ผมทำได้อภัยรีบตอบเพราะอยากได้เงินไปรักษาปู่มากจนลืมไปว่าตนเองเป็นคนกลัวความมืด
       เมื่ออาทิตย์ตกดิน อภัยจึงออกเดินไปยังป่าช้าท้ายวัดทันที แต่เมื่อเดินมาได้สักพักและเห็นว่าทางข้างหน้ามืดทึบมากขึ้น อภัยก็เริ่มหวาดกลัวอย่างหนักจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า อภัยนึกอยากหันหลังวิ่งกลับบ้านอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะมีเสียงร้องอันเจ็บปวดทรมานของปู่เข้ามาทำให้จิตใจกล้าหาญขึ้น อภัยก็รีบขุดดินเพาะเมล็ดสีดำของชายชราอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงวิ่งเร็วปร๋อกลับบ้านโดยไม่ยอมหันไปมองข้างหลังอีกเลย
คืนวันที่หนึ่งผ่านไป ย่างเข้าวันที่สอง อภัยมาพร้อมกับฝักบัวรดน้ำและส้อมพรวนดิน อาการหวาดกลัวทุกอย่างยังคงปรากฏเช่นเดิม เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่จนกระทั่งย่างเข้าคืนที่หก อภัยเริ่มชินกับความมืดและรู้สึกว่าความมืดไม่ได้น่าหวาดหวั่น วันนี้ต้นไม้มีบางอย่างแปลกไปจากที่เคย อภัยมองเห็นประกายวิบๆ วับๆ เล็ดลอดออกมาจากดอกไม้ที่กำลังตูม แสงนั้นสวยงามราวกับแสงอัญมณีล้ำค่า ในวันที่เจ็ด อภัยจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวที่จะไปหาต้นไม้ในความมืดอีก เพราะความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กของเขา ทำให้อภัยหมดความกังวล และรอคอยเวลาพลบค่ำเพื่อไปหาต้นไม้อย่างใจจดใจจ่อ แล้วคืนนั้น อภัยก็ได้เห็นในสิ่งที่เกินกว่าจะเชื่อได้ ต้นไม้ของชายชราชุดขาวออกดอกเป็นเพชรนิลจินดาจำนวนมาก เขาก็รีบเก็บดอกเพชรนิลจินดาทั้งหมดลงในถุงที่เตรียมมาเพื่อนำไปให้ชายชราชุดขาวตามที่เขาได้สั่งไว้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
        อภัยจึงรีบวิ่งเข้าไปหาหน้าตาตื่นพร้อมกับละล่ำละลักบอกถึงสิ่งที่ตนพบเห็นแก่ชายชราชุดขาวว่า  “รู้ไหมตา ต้นไม้ของตาน่ะเป็นต้นไม้วิเศษนะ มันออกดอกเป็นของมีค่าล่ะ...ดูนี่สิ ข้าเก็บมันมาให้ตาแล้ว”  ชายชราชุดขาวรับถุงมาเปิดดูแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับพูดว่า นั่นปะไร ผลดีของความกล้า เมื่อเจ้ากล้า เจ้าก็จะได้พบกับสิ่งที่เจ้าต้องการ...นี่คือผลจากความกล้าหาญของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ จงเอามันไปใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด(บางส่วนจากนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
จากความกตัญญูสู่ความกล้าหาญที่จะทำความดี ที่นำไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่น ความกตัญญูจึงเป็นฐานรากของความดีงาม แล้ววันนี้ฐานนี้ยังมั่นคงดีหรือเปล่าในตัวเรา อย่าปล่อยให้ตรุษจีนปีนี้ผ่านไปเพียงแค่นับเงินในกระเป๋าว่าได้มาเท่าไหร่ แต่ควรมีใจรำลึกถึงผู้ที่มีบุญคุณต่อเราและเราได้ตอบแทนอะไรกลับไปบ้าง....

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความดีมิได้หายไปไหน


ความดีมิได้หายไปไหน





ในวันๆหนึ่งเรามักจะเห็นข่าวคราวมากมายหลายหลากไหลหลั่งออกมา ให้อ่านให้ติดตาม แต่ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องวุ่นๆเสียทั้งนั้น จนบางครั้งก็เกิดอาการเบื่อหน่ายที่จะติดตาม ที่จะอ่านสิ่งเหล่านั้น แต่จะทำไงได้!!! ในเมื่อเราเกิดมาและกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในยุคสื่อสารครองโลกเช่นนี้ ต่อให้ไม่อ่านไม่ติดตาม แต่เมื่อเราได้ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ข่าวคราวเหล่านั้นย่อมเข้ามาหาเองโดยไม่รู้ตัว และการรับรู้อย่างไร้สติกลั่นกรองก็นำมาซึ่งความเข้าใจผิด คิดต่อๆกันไป แล้วก็ขยายออกไปเป็นวงกว้าง จากความจริงกลายเป็นความเท็จ ยิ่งหากไม่ได้รับการชี้แจงแถลงข้อความจริงก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเมามันในการเมาท์ เป็นทั้งอาหารหลักและอาหารว่างในช่วงวันเกิดเหตุสดๆร้อนๆจนกว่าจะมีเรื่องร้อนที่แรงกว่า มาดึงดูดให้กระแสเปลี่ยนทางไป ดูๆแล้วเราก็วนเวียนอยู่ในกระแสอันเน่าเหม็นของข่าวที่ร้ายๆเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกว่า โลกนี้ไร้เรื่องดีงามแล้วหรือ...
โลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่งดงาม และดีงามเสมอ เพราะพระเจ้าสร้างทุกสิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า ทุกอย่างล้วนดี แต่เพียงในวันนี้ ในยุคที่กระแสแห่งความงดงามมักไม่แรงพอที่จะสู้กระแส เดือด ดุ เด็ด เผ็ด แซบ เวอร์ ได้ แต่โลกเราก็ควรมีเรื่องดีๆสวยงามของมนุษย์ผู้อื่นให้เราได้เรียนรู้บ้าง เพื่อย้ำเตือน ยืนยันว่า โลกเรานี้มิเคยหมดเรื่องของความดีงาม 



ทาเคชิ คิตาโนะ เป็นดาวตลกและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ชาวญี่ปุ่น เพิ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติเมื่อไม่นานมานี้       หนังสือพิมพ์ Sankei News ตีพิมพ์ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่น ในหัวข้อคนดังที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจากเว็บไซต์ดัง และชุมชนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมภายในประเทศ รวมแล้วมีผู้ร่วมออกความคิดเห็นถึง 265,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ ทาเคชิ คิตาโนะ ที่คว้าอันดับ 1 ไปครอง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คงไม่ใช่เรื่องของการแสดงหรือการกำกับเสียทีเดียว แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาได้เปิดเผยต่อสาธารณชน
อีกด้านมุมหนึ่งที่ทำให้เขาครองใจคนญี่ปุ่นได้นั้น มาจากเหตุการณ์ที่เขาได้เปิดเผยในวันที่เขาสูญเสียมารดาไป เมื่อไม่กี่ปีก่อน มารดาของเขาสิ้นบุญที่บ้านนอก เขาไปร่วมงานศพ ทั้งๆที่เขาไม่ชอบคุณแม่เลย เพราะคุณแม่ของเขาเอาแต่ขอเงินจากเขา เดือนไหนที่เขาไม่ได้ส่งเงินกลับบ้าน แม่ของเขาจะโทรมา เปิดปากก็ด่าทอโขมงโฉงเฉงเป็นแม่ประเภทที่เอาแต่เงินจริง ๆ ยิ่ง ทาเคชิ ดังมากขึ้นเท่าไร แม่ก็ยิ่งขอเงินมากขึ้นเท่านั้น...แต่วันที่แม่นอนไร้ลมหายใจ เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังอดที่จะร้องไห้โฮออกมาไม่ได้ เพราะเขายังตะขิตตะขวงใจที่ต้องไปทำงานไกลๆ ไม่ได้อยู่ดูแลคุณแม่แม้จะเป็นแม่ที่ เอาแต่เงิน เขาก็ยังอดรู้สึกติดค้างบุญคุณแม่ไม่ได้...
ทาเคชิ คิตาโนะ
หลังงานศพแม่ ก่อนที่ ทาเคชิ จะกลับไปทำงาน พี่ใหญ่ของเขาได้ยื่นซองเล็กๆซองหนึ่งให้เขา บอกว่า คุณแม่สั่งนักสั่งหนาว่าต้องมอบให้เขา ทาเคชิ เปิดซองออกอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีสมุดเงินฝากธนาคารเล่มหนึ่ง และจดหมายฉบับหนึ่ง สมุดเงินฝากเป็นชื่อของเขา มีเงินฝากเป็นหลายสิบล้านเยน ในจดหมายเขียนว่า...
ลูกทาเคชิ ในบรรดาลูกๆของแม่ คนที่ทำให้แม่กังวลมากที่สุด  คือ ลูก ตั้งแต่เล็กลูกไม่ขยันเรียนหนังสือ สุรุ่ยสุร่าย แถมใจกว้างกับเพื่อนฝูง พอลูกจะขอมาสู้ชีวิตลำพังในเมืองหลวง แม่ก็กังวลว่าลูกจะตกระกำ เป็นไอ้จรจัด ดังนั้น แม่จึงบังคับให้ลูกส่งเงินกลับมาให้แม่ทุกเดือน เพื่อจะได้กระตุ้นให้ลูกไปหาเงินให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยลูกเก็บเงินอีกทางหนึ่ง เงินที่ลูกให้แม่ แม่ไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว พี่ชายของลูกดูแลแม่ดีอยู่แล้ว เงินของลูกก็คือเงินของลูก ตอนนี้ลูกเอาไปใช้ให้คุ้มเถิด
พออ่านจบ ทาเคชิ ทรุดลงบนพื้น ทรุดอยู่เช่นนั้นเป็นนานสองนาน...
เชื่ออย่างหมดใจเลยว่าในตัวเราแต่ละคนล้วนมีความดีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าความดีมักซ่อนเร้นอยู่ ไม่ค่อยได้รับการปลุกเร้า ให้ตื่นมาปฏิบัติหน้าที่ อาจเป็นเพราะด้วยสภาพแวดล้อมหรือเปล่า เพราะความ หลง โลภ หรือไม่ หรือเพราะความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ที่มาบดบังแสงแห่งความดีในตัวตน ความดีมิได้หายไปไหน มันอยู่ในตัวเรา เราล้วนแต่เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
ใช่หรือไม่ อีกสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนความดีงามของผู้คน ก็คือการมองข้ามความดีงามของกันและกัน คนที่อยู่ใกล้ บ่อยไปที่ละเลยที่จะชื่นชมความดีงามของกันและกัน แถมมีข้ออ้างที่แสนจะหดหู่ว่า เป็นคนดีจริงไม่ต้องมายกย่องสรรเสริญกันก็ได้ ใช่ บางคนไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมแบบออกหน้าออกตา แต่เราก็มีวิธีที่จะให้กำลังใจกัน หรือนำเรื่องราวเหล่านั้นไปถ่ายทอด เป็นตัวอย่าง ให้กับผู้คน เราชอบที่จะให้เวลาหมดไปกับการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เพียงเพื่อทำให้ตัวเองดูดีเด่นดังขึ้น แล้วมันก็เป็นวัฏจักรในวันหนึ่งสิ่งที่เคยวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นก็ย้อนกลับมาเล่นงาน ทำไปทำมาต่างคนต่างก็คิดว่าโลกนี้หนอมีแต่ตำหนิ ไม่สวยงามดังหวัง ดูสังคมวันนี้ซิเป็นสังคมที่เก่งแต่ปาก ใจอ่อนล้ากันทั้งนั้น
การให้เกียรติกัน การยกย่องกัน ในสังคมเล็กๆในครอบครัวควรเป็นสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง เริ่มต้นได้ด้วยการเล่าถึงความดี ความขยัน หมั่นเพียร ซื่อสัตย์ หรือตัวอย่างที่ดีงามของบรรพบุรุษ ของต้นตระกูล ให้ลูกๆหลานๆได้รับรู้ ให้พวกเขาซึมซับเข้าไปในจิตใจ เพื่อเป็นประกายแสงส่องทาง  เพื่อให้รู้ว่าความดีมิเคยหายไปจากชีวิตเราเลย...