วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เลี้ยงลูกเพื่อโลก...


เลี้ยงลูกเพื่อโลก...
ความสนุกสนานของเด็กๆนั้น สร้างความเบิกบานใจให้แก่ผู้ที่มีวันสะสมในชีวิตที่ผ่านมามากกว่าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความสนุกสนานจากการได้มีโอกาสได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ในวันเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาออกไปยังสถานที่แปลกหูแปลกตา มองในมุมหนึ่ง เอ๊ะ...มันน้อยไปไหมสำหรับเด็กวัยอยากรู้อยากเห็นที่มีโอกาสเพียงปีละครั้ง ทุกๆวันควรเป็นวันของพวกเขา ถ้าเราคิดว่าความสดใสของเด็กๆ คือ แสงสว่างของวันใหม่ เราคงต้องมานั่งทบทวนกันดูว่า แล้วเราเลี้ยงดูเขาให้พบกับความร่าเริง ให้พบกับสิ่งแปลกใหม่ ให้มีความหรรษา นำไปสู่ความสุขใจสุขกายให้แก่เด็กๆของเรามากน้อยแค่ไหน คงไม่ใช่ปีละครั้งเป็นแน่แท้ …
สถานที่สำคัญอันเป็นที่คุ้นชิน คือ บ้าน ควรเป็นที่ที่เพาะความเบิกบานสดใสในวัยเด็กให้กับพวกเขา เพราะว่า “บ้าน คือ สถานที่ที่เด็กได้รับการอบรม เลี้ยงดู โดยมีพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ในบ้าน ที่เป็นเสมือนครู เป็นต้นแบบต้นธาร เป็นศูนย์กลางที่เด็กจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิต การปฏิบัติต่อกันภายในครอบครัว เป็นโรงปฏิบัติตัวปฏิบัติธรรม รวมถึงมารยาทในสังคมก่อนที่เขาจะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน เพื่อว่าพวกเขาจะได้ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ถูกกาลเทศะ เป็นที่ชื่นชมยินดีของผู้พบเห็น บ้านจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่น่าอยู่ สำหรับตัวเด็กเองก็จะมีความรู้สึกภูมิใจ มั่นใจในตนเอง และจะเติบโตเป็นคนดีของสังคมไทยต่อไป
ลองมาสำรวจตรวจสอบว่าบ้านเราวันนี้เป็นสถานที่แบบใด เป็นเพียงที่พักชั่วคราวหรือไม่ เย็นกลับมาต่างคนต่างมุดเข้าห้องหับของตัวเอง เช้ามุดออกไปทำงาน ไม่มีแม้เวลาจะบอกกล่าวทายทัก หรือ...บ้านเป็นแหล่งสร้างสงคราม เป็นคลังเก็บความรุนแรง ที่พร้อมจะระเบิดเพื่อระบายใส่กัน เป็นคลังอาวุธยุโธปกรณ์ที่เด็กๆไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวต่อแถวเข้าชมตามกองทัพต่างๆในวันเด็ก หรือ...บ้านเป็นเพียงสวนสัตว์ที่เพ่นพ่านออกจากปากผู้อาศัย บ้าน...ที่แท้จริง ควรเป็นแหล่งเพาะหน่อความหวังของสังคมของโลกนี้ต่างหาก
และหากว่า  เด็ก เป็นอนาคตของชาติที่เราๆท่านๆในวันนี้ต่างก็ฝาก ความคาดหวัง ไว้ แต่...ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้นบีบรัด กดดัน มีการแข่งขัน และเทคโนโลยีก็เติบโตอย่างรุดหน้ารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงินทองและเร่งรัดบังคับด้านการเรียน จนลืมและละเลยในการสร้างปัญญา สร้างมโนสำนึกขั้นพื้นฐานจากบ้าน หลงลืมคุณค่า ค่านิยมแบบสังคมไทยๆที่ทำให้เกิดต้นทุนชีวิต มีภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจ มีแรงต้านทานทางอารมณ์และยืนอย่างมั่นคงไม่โอนเอนตามกระแสสังคม เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กไทยในวันข้างหน้าจะมีความสุขได้อย่างไร ..
วิถีชีวิตเด็กวันนี้จำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิต กินข้าว นอน เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนรถและหมดเวลาไปกับการเดินทางเป็นส่วนใหญ่ แถมยังมีห้างสรรพสินค้าเป็นสนามวิ่งเล่น วิถีชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับความเจริญทางด้านวัตถุและการค้าขาย เติบโตมาท่ามกลางระบบทุนนิยม หัวใจของเด็กถูกจับจองตีตราขึ้นค่าแขวนราคาไว้เสียแล้ว แน่หละ...เราหลีกหนีการเจริญเติบโตแบบโลกไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างเด็กๆให้เป็นผู้ที่มีหัวใจแห่งความดีงามท่ามกลางยุคสมัยนี้ได้มิใช่หรือ อย่างแรกเราต้องมีความคิดที่ว่า พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกเพื่อโลก มิใช่เพื่อเรา อยากให้โลกเป็นอย่างไรก็เลี้ยงลูกให้เป็นอย่างนั้น การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือ การลงทุนให้เด็ก ดังนั้นเราต้องสอนให้เด็กเผชิญหน้ากับระบบสังคมแบบใหม่ให้ได้และการที่เด็กจะรอดได้ต้องเริ่มจากการสอนให้เด็ก เป็นผู้ให้ เด็กต้องรู้จักเผชิญหน้ากับความจริงและพึ่งพาตนเองให้ได้ เด็กต้องมีหัวใจไฮเทคที่ต้องเป็นเด็กที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและกล้าน้อมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตในทุกรูปแบบ
เด็กเป็นอนาคตของสังคม ของโลก เราผู้ใหญ่ก็เป็นอนาคตของเด็กด้วยมิใช่หรือ ผู้ใหญ่จึงเป็นความสำคัญที่สุดของสังคมของโลก อนาคตของสังคมโลกอยู่ในมือของเด็กและอนาคตของเด็กอยู่ในมือของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างอย่างไรให้เด็กๆดูให้เด็กๆรู้ให้เด็กๆเห็น จนฝังจิตฝังใจ จนรับไว้เป็นนิสัยใจคอการปฏิบัติของเด็กไปโดยไม่รู้ตัว
 ผู้ใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตของชาติจะเป็นเช่นนั้น โดยมีเด็กในปัจจุบันนั่นเองเป็นผู้สืบสาน และตรงนี้เองควรจะเป็นสิ่งที่เราต้องย้ำเตือนตนเสมอๆว่า เราจะเลี้ยงดูแลลูกๆหลานๆเด็กๆของเราเพื่อให้โลกงดงาม เลี้ยงลูกเพื่อโลกไม่ใช่เพื่อให้ได้โล่ มิใช่เลี้ยงเพื่อเรา ถ้าเราเลี้ยงเพื่อเราแล้วการเลี้ยงลูกหลานแบบนี้ก็เป็นการเลี้ยงแบบเห็นแก่ตัว ใช่...ในบางครั้งบางคราว อาจจะมีแอบๆออกนอกเส้นทางไปบ้าง ก็ต้องรีบกลับมายืนอยู่บนหนทางนี้ให้ได้ ในเมื่อสภาพแวดล้อมมีความกดดัน มีแต่ความเห็นแก่ตัวไปเกือบทุกภาคส่วน เราก็ทำส่วนแรก ส่วนที่สำคัญ ให้เป็นส่วนที่สร้างความสดใส สร้างความเบิกบานหรรษา เพื่อเยียวยารักษาบาดแผลที่สังคมได้สร้างเอาไว้ อย่าไปเพิ่มความกดดันให้กันและกันโดยเฉพาะเด็กๆ
ใช่หรือไม่ ระหว่างที่เด็กคนหนึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับสังคมที่เขาอยู่ ทุกคนในสังคมย่อมภาคภูมิใจ เราเห็นเด็กๆเข้ามาช่วยงานวัดของเรา เป็นเด็กช่วยมิสซา เป็นคนเล่นดนตรี หรือเพียงเข้าร่วมมิสซาอย่างตั้งใจ เราก็อดที่จะภาคภูมิใจในพวกเขาไม่ได้ เราเห็นภาพเหล่านี้แล้วเราก็มีความสุข แล้วเราจะไม่ให้ความสุขนี้บังเกิดในใจของทุกคนหรือ ร่วมกันสร้างสังคมให้เด็กๆเดินไปเพื่อสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่อาศัยต่อไป แล้วทุกคนจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรสุดที่รักของพระเจ้า เป็นที่โปรดปรานของพระองค์...

ไม่มีความคิดเห็น: