วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

เงาในน้ำนั้น


เงาในน้ำนั้น
เป็นความชอบส่วนตัวอย่างหนึ่ง ที่ชอบมองเงาที่สะท้อนบนสายน้ำ ยิ่งยามเย็นๆอากาศกำลังสดชื่นยืนดูอยู่เป็นนานสองนานก็ไม่เบื่อ ประจวบเหมาะกับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปพัก ณ ที่แห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง ที่แวดล้อมไปด้วยลำธาร แม้ว่าจะเป็นลำธารที่สร้างขึ้นมา แต่เป็นการขุดคลองที่ดูเหมือนเป็นธรรมชาติยิ่ง...เคยเห็นภาพเงาในน้ำไหม เวลาถ่ายภาพออกมามันทำให้ภาพถ่ายมีชีวิต ด้วยการสั่นไหวของคลื่นน้ำ ทำให้ภาพมีความผิดเพี้ยนไปตามรอยกระเพื่อม รอยคลื่น เมื่อมองดูเงาสะท้อนวัตถุในสายน้ำแล้วรู้สึกถึงความจริงที่ว่า คนเรามักจะคิดว่าตัวเองเป็นภาพจริงๆ ที่มั่นคงแข็งแรง สามารถยืนโต้แรงเสียดทานได้ แต่ก็มีเงาแห่งความอ่อนแอแฝงอยู่เสมอ บางครั้งบางเวลาเมื่ออยู่ในอาการสั่นไหวแรงๆ ก็ทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงกระเพื่อมไปตามแรงนั้นได้เหมือนกัน


สังเกตไหมว่าในวันนี้หลายคนรู้สึกว่าชีวิตมีความมั่นคงในด้านวัตถุมากขึ้น แต่กลับไหวเอนทางด้านจิตใจ มักพ่ายแพ้แก่ใจตัวเองง่ายดาย มักโหยหาคนคอยปลอบประโลม แต่มองไม่เห็นใครเลย เพราะว่าเราต่างก็ถือตัวตนเป็นใหญ่ มั่นใจในตัวเองอย่างล้นเหลือ จนไม่เหลือพื้นที่ให้ใครได้มาพักร่มเงาในชีวิตเรา เมื่อเป็นดังนี้ในวันที่อ่อนล้าทางจิตใจจึงมองหาใครไม่พบ ในวันที่ไร้กำลังใจแล้วไม่มีใครเหลียวแล มันก็เหมือนภาพเงาที่สั่นไหวในสายน้ำนั้น
สิ่งหนึ่งซึ่งกำลังระบาดไปทุกพื้นที่ของสังคม นั่นคือ การขาดกำลังใจ ขาดความอบอุ่น ทำให้สังคมไทยดูจะขาดๆเกินๆ โดยเฉพาะเด็กๆเยาวชนคนหนุ่มสาว ที่มีกำลังซื้อสินค้า มีเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาใด ติดต่อกับเพื่อนฝูงได้ตลอดเวลา แต่ทำไปทำมามักเห็นเขาหรือเธอต่างพร่ำเพ้อว่าขาดกำลังใจในการดำรงชีวิต พวกเขาหรือเธอ ไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้เลย เที่ยวเรียกร้องหากำลังใจ ใช่หรือไม่ ในยุคสมัยที่ผู้คนแสนจะอ่อนแอไร้หลักยึด ไม่มีใครจะดูแลใคร เมื่อต่างคนต่างพร่อง ใครจะเติมเต็มให้ใครก็ไม่ได้ เพราะเราอยู่ในยุคที่เป็น ใครสักคนชั่วคราว ที่พร้อมจะโบกมือลา ในวันอ้างว้างพวกเขาจึงใช้ชีวิตนิ่งไม่เป็น บางครั้งก็เรียกร้องกำลังใจจากผู้อื่นโดยไม่ใส่ใจต่อชีวิตจิตวิญญาณของตนเอง
แน่นอน กำลังใจจำเป็นและเป็นพลังที่สร้างโลก สร้างบุคคลมาแล้วนักต่อนัก หลายๆ ครั้งในชีวิตเรา เคยเห็นบางคนประสบเคราะห์กรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเป็นโรคร้าย จนหมอบอกว่าไม่มีทางรอด แต่เขาเหล่านั้น กลับสามารถยืนหยัดต่อสู้จนประสบความสำเร็จในชีวิต หรือมีอายุขัยที่ยืนยาวต่อมาได้ ทำไมนักกีฬาพิการ จึงสามารถเอาชนะความไม่สมประกอบของตน จนคว้าเหรียญทองมาได้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเรา มีความมานะบากบั่น และมีความตั้งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ สิ่งนั้น คือ กำลังใจ ของแต่ละคน
กำลังใจ แม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ กำลังใจนั้นเราสามารถก่อให้เกิดขึ้น หรือสร้างขึ้นด้วยตัวเองได้   การที่จะรู้ว่าใครมี กำลังใจ หรือไม่ ย่อมต้องมีเหตุแสดงให้เห็นออกมา เช่น เมื่อเกิดปัญหาชีวิต เกิดโรคภัยไข้เจ็บ คนที่มีกำลังใจ จะไม่กลัวและพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้อุปสรรคเหล่านี้หมดไป หรือสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ย่อท้อ ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ มักจะมีอาการตรงข้าม อันเนื่องมาจากเกิดความกลัวที่จะเผชิญปัญหา จึงเกิดวิตกจริต รู้สึกหดหู่ซึมเศร้า มองเห็นแต่ปัญหา หาทางออกไม่เจอ การขจัดความกลัวหวาดวิตก ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพ และความคิดให้ได้นั้น เราจะต้องหัดมองโลกในแง่ดี ในแง่แห่งความเป็นจริง คิดในทางบวก คิดว่าต้อง ทำได้อยู่เสมอ เพราะหากเรามัวแต่กลัวปัญหาอุปสรรค และคิดว่าทำไม่ได้ ก็จะเกิดวิตก และทอนกำลังใจตนเอง
กำลังใจอีกแบบหนึ่ง คือ กำลังใจจากการที่เราให้ผู้อื่น ในโลกในสังคมที่มุ่งเน้นความเป็นเอกบุรุษ เอกสตรี จนไม่มีสายตาแห่งความห่วงใย มีแต่ความหวาดระแวง การให้กำลังใจกันจึงขาดหายไป เราเริ่มจากคนใกล้ๆตัวเรา ให้กำลังใจปลุกปลอบใจกัน วันหนึ่งเธอทุกข์มาฉันให้กำลังใจเธอ วันไหนฉันทุกข์มาประจันฉันก็มีเธอที่เป็นพลังหนุน สังคมแห่งความเอื้ออารี สังคมแห่งการแบ่งปัน สังคมชุมชนศิษย์พระคริสต์ คือ สังคมที่หล่อรวมความต่าง เติมเต็มความพร่องให้กัน จะเป็นสังคมที่แข็งแรง
ด้วยความที่เราอยู่ในสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยม เรื่องของจิตใจก็เลยถูกตีค่าเป็นวัตถุไปหมด นายจ้าง เจ้าของกิจการ ก็เป็นเพียงผู้มีเงินเยอะกว่าที่จะจ้างใครก็ได้ให้มาทำตามคำสั่ง เราคิดแบบนี้หรือเปล่า พนักงานบริการก็มีหน้าที่บริการตามคำร้องขอยามที่เราต้องการ เคยเป็นแบบนี้หรือไม่  สังคมที่ไร้ใจก็เป็นเพียงสังคมกายภาพพิการ วันนี้เราพบเห็นสภาพแบบนี้มากมาย อีกฝ่ายเรียกร้อง อีกฝ่ายขัดขืน อีกฝ่ายยื่นคำขาดอีกฝ่ายพร้อมทำลาย สังคมที่เคยหลอมรวมก็หลุดสลาย กลายเป็นชิ้นส่วนชำรุดทางจิตวิญญาณกันไป
เงาในสายน้ำก็เป็นเพียงเงาสะท้อน แต่มันก็ทำให้เราได้ย้อนมามองถึงสิ่งที่เป็นอยู่นี้ เรามีชีวิตเพื่อสิ่งใดเล่า วันนี้จะมีใครไหมที่พร้อมจะให้กำลังใจในวันที่เราอ่อนล้า นั่นก็ต้องกลับไปดูว่า แล้ว...ที่ผ่านมาเราให้กำลังใจคนอื่นมามากน้อยแค่ไหน แค่กำลังใจ เพียงเท่านี้ เราให้กับใครบ้าง มีไหม ถ้ามีเราจงมั่นใจเถอะว่า เราจะไม่มีวันหมดกำลังใจเด็ดขาด ภาพเงานั้นแม้จะอ่อนไหว แต่มันเป็นภาพที่อ่อนโยน สงบและนุ่มนวล ที่สุดเราต่างก็ต้องเอื้อเฟื้อเกื้อกูล พึ่งพากันและกัน อย่าละเว้นที่จะทำดี ด้วยการให้ กำลังใจ อันเป็นพลังผลักดันให้ชีวิตของทุกผู้คนประสบความสำเร็จ

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ความง่ายที่เราทำกันได้ยาก


ความง่ายที่เราทำกันได้ยาก
วิถีจากชีวิตของคนอื่นบางครั้งก็ทำให้เราได้คิดต่อยอด หรือไม่ก็ได้คิดไตร่ตรองทบทวน และนำมาเป็นบทสอนแบบอย่างกับเราได้ ในทุกๆการเดินทาง ทุกการพูดคุย ทุกการมองเห็น ทุกการสัมผัส นั่นคือ บทเรียนบทใหม่ๆ
ก๋วยเตี๋ยวชามขนาดกลาง อิ่มทั้งวัน
ในครั้งที่เดินทางไปยังเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือที่เรียกสั้นๆว่า ประเทศลาว ด้วยการนั่งรถจากเมืองอุดร ผ่านเข้าด่านหนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงของลาว ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเศษก็เข้าสู่กลางเมืองหลวงแห่งนี้ เวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงแห่งเดียวในโลกที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และเนื่องจากการเดินทางมาในครั้งนี้มิได้มาเพื่อท่องเที่ยว แต่เป็นการมาทำงาน ทางคณะผู้จัดงานจึงจัดการส่งรถตู้มารับรอง โดยมารับตั้งแต่สนามบินอุดรเพื่อนำเข้าสู่เวียงจันทน์ โดยช่วยดำเนินการทุกอย่างทางด้านเอกสารผ่านแดน และที่สำคัญได้ผู้นำทางที่เต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรีงดงามยิ่ง
ด้วยความชำนาญและความนิ่งที่ก่อให้เกิดสมาธิ รถตู้จากฝั่งตรงข้ามโขงที่มีลักษณะการขับขี่ที่ตรงข้ามกับประเทศไทย รถพวงมาลัยซ้ายขับเข้าประเทศไทยก็ต้องวิ่งแบบพวงมาลัยขวา ถามว่าสับสนไหม??? เพราะเพียงแค่ผ่านทาง ผ่านด่านก็ต้องเปลี่ยนเลนถนนในการขับขี่ คนเรานี่ก็ช่างคิดให้แปลกแตกต่างกัน เพียงแค่ข้ามแม่น้ำก็แตกต่างกันเสียแล้ว แต่...สำหรับมิตรภาพนั้นเกิดขึ้นได้เสมอแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างขวางกั้นนั่นมิใช่ปัญหา และยิ่งภาษาที่สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่องด้วยแล้ว การพูดคุย ความสนุกสนานในมิตรภาพใหม่ก็ปรากฏกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 
ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในระหว่างภารกิจงานในเวียงจันทน์ทั้งสามวันนั้น รถตู้คันนี้จะเป็นพาหนะที่นำเราไปตลอดเวลา และด้วยความเป็นเจ้าถิ่น ผู้นำทางของเราก็มีเรื่องเล่าที่ผสมผสานความเฮฮาได้ทุกช่วงยามที่ได้พูดคุย เช่น เมื่อผ่านเรือนจำ ผู้นำทางของเราก็เล่าว่า การติดคุกที่ฝั่งลาวจะเรียกว่า การสัมมนา ดูหรูมากในภาษาไทย เขาเล่าถึงประวัติว่าที่เรียกว่าสัมมนานี้ก็เนืองมาจากสมัยก่อน คนที่ต้องคดีส่วนมากเป็นคดีทางการเมือง เมื่อถูกตัดสินส่วนใหญ่จะถูกพาไปปล่อยยังเกาะใดเกาะหนึ่ง แล้วให้ลูกมะพร้าวไปหนึ่งลูก ให้ข้าวสาร ส่วนอย่างอื่นหากินกันเอง ส่วนเวลาต้องโทษของแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครปลูกมะพร้าวให้งอกงามและได้ผลมะพร้าวก่อนก็พ้นโทษก่อน ใช้เวลาที่ต้องดูแลต้นมะพร้าวเพื่อสำนึกผิด จะจริงหรือเปล่าไม่ทราบได้!!!! แต่ก็เป็นความคิดที่มีแง่งาม การลงโทษให้ได้สำนึกดีกว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงเพิ่มรอยแค้นและความเกลียดชัง ยังไม่ทันจะได้หยุดยิ้มผู้นำทางก็ส่งเรื่องขำขำมาอีกในทันที เขาบอกว่า ที่ประเทศของเขานี้โทษเกี่ยวกับการละมิดทางเพศเด็กนั้นโทษติดคุกเพียงสามวัน ก็ถามต่อว่า อ้าว...ทำไมมันเบาอย่างนั้นล่ะ  ผู้นำทางตอบมาในทันใดว่า วันที่สี่ก็ประหารชีวิต เล่นเอาฮากันทั้งรถ
ร้านอาหาร ครัวลาว อาคารแบบฝรั่งเศส
ลักษณะของเวียงจันทน์นั้นเป็นเมืองที่กำลังค่อยๆพัฒนา เริ่มมีรถรามากขึ้น แต่คนยังใจเย็นใจดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยในการใช้ถนนหนทางร่วมกัน แม้ว่าประเทศลาวจะเปลี่ยนไปมากตลอดช่วง 30 กว่าปี ที่ตกอยู่ใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ แต่เวียงจันทน์ก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณของเมืองโบราณในเขตชายแดนเอาไว้ได้ คือ เป็นเมืองที่ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปตามวิถีทางของมัน แต่...ช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เวียงจันทน์มักต้องรับศึกและต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ไทย พม่า เขมร หรือแม้แต่ฝรั่งเศสกับอเมริกา
บรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงบ
การเข้ามาแทรกแซงของต่างชาติ ส่งผลให้นครเวียงจันทน์ในปัจจุบัน มีสภาพหลากหลายทางด้านสถาปัตยกรรม อาหารการกิน และวัฒนธรรมอยู่มาก โดยมีอิทธิพลของลาว ไทย จีน เวียดนาม ฝรั่งเศส อเมริกา และแม้กระทั่งโซเวียตปะปนให้เห็นกันอยู่ทั่วไป เวียงจันทน์มีประชากรเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ แต่กลับมั่งคั่งรุ่งเรืองไม่น้อย การพัฒนาความเจริญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โฉมหน้าของเวียงจันทน์ในปัจจุบันแตกต่างไปจากเวียงจันทน์ในสมัยหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่สองมาก ทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่ไฟฟ้าเท่านั้น แม้แต่อินเตอร์เน็ตก็มีให้ใช้ แถมเริ่มแซงหน้าไทยไปโดยมี 4Gใช้ ในขณะที่ประเทศเรายังโต้เถียงเรื่อง 3G ยังไม่จบไม่สิ้น
สิ่งที่น่าประทับใจแกมหน้าชานิดๆ คือ ตอนที่ได้ถามไถ่ไปว่า รถตู้คันนี้ดูใหม่และสะอาดดีจัง ซื้อมานานหรือซื้อในราคาเท่าไหร่  คำตอบคือ ซื้อมาได้ปีกว่าๆในราคาคิดเป็นเงินไทยก็ล้านกว่าๆ ถามต่อว่า ซื้อด้วยเงินผ่อนเหรอ ผ่อนเดือนละเท่าไหร่ ผู้นำทางหยุดสักครู่แล้วบอกว่า เงินสดๆ เริ่มงง คนที่นี่ส่วนมากซื้อของด้วยเงินสดทั้งนั้น แสดงว่าพี่รวยนะซิ ไม่รวยครับ แต่ขยัน เก็บเงินมาเรื่อยๆสี่ห้าปี มีครบเมื่อไหร่ก็ซื้อ ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยว มีเงินเหลือเก็บ พี่ทำได้ไง ผมใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ครับ คนไทยในรถเงียบกริบ เขายังพูดต่ออีกว่า คนลาวรักในหลวงของคนไทยมาก ทุกวันนี้ผมยังเก็บเงินจากการขับรถรับส่ง ไปซื้อที่ ปลูกมันปลูกอ้อย มีเวลาก็แวะไปดูบ้าง กำลังจะได้เก็บเกี่ยว
"พี่เค" คนต้นเรื่องกับรถต้นแบบ "พอเพียง"
ใช่หรือไม่ สิ่งที่เรามีเรามักไม่เห็นคุณค่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงในสังคมไทยไม่อยู่ในความคิด เพราะวันนี้ถูกกระแสวัตถุนิยมครอบงำ ถูกกลอกใส่หัวกันทุกวันให้มีเครดิตติดตัว เพิ่มหนี้เพิ่มสินนี่แหละต้นทุน ชักชวนให้ใช้เงินที่มองไม่เห็นในอนาคตมาซื้อปัจจุบัน ขยันสะสมสิ่งของที่ซื้อมาเก็บมากกว่าซื้อมาใช้ นั่งอึ้งนั่งทบทวนคำพูดพี่ผู้นำทางที่ไม่ได้นำทางอย่างเดียว แต่กลับนำให้กลับมาทบทวนในหนทางเก่าๆที่คุ้นชินที่เราไม่ค่อยได้นำพา  ชีวิตที่เรียบง่าย มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น คือ ชีวิตที่ผาสุก ทำไมเราดิ้นรนค้นหาอะไรกันมากมายนักเล่า ...

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เลี้ยงลูกเพื่อโลก...


เลี้ยงลูกเพื่อโลก...
ความสนุกสนานของเด็กๆนั้น สร้างความเบิกบานใจให้แก่ผู้ที่มีวันสะสมในชีวิตที่ผ่านมามากกว่าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความสนุกสนานจากการได้มีโอกาสได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ในวันเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาออกไปยังสถานที่แปลกหูแปลกตา มองในมุมหนึ่ง เอ๊ะ...มันน้อยไปไหมสำหรับเด็กวัยอยากรู้อยากเห็นที่มีโอกาสเพียงปีละครั้ง ทุกๆวันควรเป็นวันของพวกเขา ถ้าเราคิดว่าความสดใสของเด็กๆ คือ แสงสว่างของวันใหม่ เราคงต้องมานั่งทบทวนกันดูว่า แล้วเราเลี้ยงดูเขาให้พบกับความร่าเริง ให้พบกับสิ่งแปลกใหม่ ให้มีความหรรษา นำไปสู่ความสุขใจสุขกายให้แก่เด็กๆของเรามากน้อยแค่ไหน คงไม่ใช่ปีละครั้งเป็นแน่แท้ …
สถานที่สำคัญอันเป็นที่คุ้นชิน คือ บ้าน ควรเป็นที่ที่เพาะความเบิกบานสดใสในวัยเด็กให้กับพวกเขา เพราะว่า “บ้าน คือ สถานที่ที่เด็กได้รับการอบรม เลี้ยงดู โดยมีพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ในบ้าน ที่เป็นเสมือนครู เป็นต้นแบบต้นธาร เป็นศูนย์กลางที่เด็กจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิต การปฏิบัติต่อกันภายในครอบครัว เป็นโรงปฏิบัติตัวปฏิบัติธรรม รวมถึงมารยาทในสังคมก่อนที่เขาจะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน เพื่อว่าพวกเขาจะได้ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ถูกกาลเทศะ เป็นที่ชื่นชมยินดีของผู้พบเห็น บ้านจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่น่าอยู่ สำหรับตัวเด็กเองก็จะมีความรู้สึกภูมิใจ มั่นใจในตนเอง และจะเติบโตเป็นคนดีของสังคมไทยต่อไป
ลองมาสำรวจตรวจสอบว่าบ้านเราวันนี้เป็นสถานที่แบบใด เป็นเพียงที่พักชั่วคราวหรือไม่ เย็นกลับมาต่างคนต่างมุดเข้าห้องหับของตัวเอง เช้ามุดออกไปทำงาน ไม่มีแม้เวลาจะบอกกล่าวทายทัก หรือ...บ้านเป็นแหล่งสร้างสงคราม เป็นคลังเก็บความรุนแรง ที่พร้อมจะระเบิดเพื่อระบายใส่กัน เป็นคลังอาวุธยุโธปกรณ์ที่เด็กๆไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวต่อแถวเข้าชมตามกองทัพต่างๆในวันเด็ก หรือ...บ้านเป็นเพียงสวนสัตว์ที่เพ่นพ่านออกจากปากผู้อาศัย บ้าน...ที่แท้จริง ควรเป็นแหล่งเพาะหน่อความหวังของสังคมของโลกนี้ต่างหาก
และหากว่า  เด็ก เป็นอนาคตของชาติที่เราๆท่านๆในวันนี้ต่างก็ฝาก ความคาดหวัง ไว้ แต่...ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้นบีบรัด กดดัน มีการแข่งขัน และเทคโนโลยีก็เติบโตอย่างรุดหน้ารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงินทองและเร่งรัดบังคับด้านการเรียน จนลืมและละเลยในการสร้างปัญญา สร้างมโนสำนึกขั้นพื้นฐานจากบ้าน หลงลืมคุณค่า ค่านิยมแบบสังคมไทยๆที่ทำให้เกิดต้นทุนชีวิต มีภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจ มีแรงต้านทานทางอารมณ์และยืนอย่างมั่นคงไม่โอนเอนตามกระแสสังคม เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กไทยในวันข้างหน้าจะมีความสุขได้อย่างไร ..
วิถีชีวิตเด็กวันนี้จำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิต กินข้าว นอน เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนรถและหมดเวลาไปกับการเดินทางเป็นส่วนใหญ่ แถมยังมีห้างสรรพสินค้าเป็นสนามวิ่งเล่น วิถีชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับความเจริญทางด้านวัตถุและการค้าขาย เติบโตมาท่ามกลางระบบทุนนิยม หัวใจของเด็กถูกจับจองตีตราขึ้นค่าแขวนราคาไว้เสียแล้ว แน่หละ...เราหลีกหนีการเจริญเติบโตแบบโลกไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างเด็กๆให้เป็นผู้ที่มีหัวใจแห่งความดีงามท่ามกลางยุคสมัยนี้ได้มิใช่หรือ อย่างแรกเราต้องมีความคิดที่ว่า พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกเพื่อโลก มิใช่เพื่อเรา อยากให้โลกเป็นอย่างไรก็เลี้ยงลูกให้เป็นอย่างนั้น การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือ การลงทุนให้เด็ก ดังนั้นเราต้องสอนให้เด็กเผชิญหน้ากับระบบสังคมแบบใหม่ให้ได้และการที่เด็กจะรอดได้ต้องเริ่มจากการสอนให้เด็ก เป็นผู้ให้ เด็กต้องรู้จักเผชิญหน้ากับความจริงและพึ่งพาตนเองให้ได้ เด็กต้องมีหัวใจไฮเทคที่ต้องเป็นเด็กที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและกล้าน้อมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตในทุกรูปแบบ
เด็กเป็นอนาคตของสังคม ของโลก เราผู้ใหญ่ก็เป็นอนาคตของเด็กด้วยมิใช่หรือ ผู้ใหญ่จึงเป็นความสำคัญที่สุดของสังคมของโลก อนาคตของสังคมโลกอยู่ในมือของเด็กและอนาคตของเด็กอยู่ในมือของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างอย่างไรให้เด็กๆดูให้เด็กๆรู้ให้เด็กๆเห็น จนฝังจิตฝังใจ จนรับไว้เป็นนิสัยใจคอการปฏิบัติของเด็กไปโดยไม่รู้ตัว
 ผู้ใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตของชาติจะเป็นเช่นนั้น โดยมีเด็กในปัจจุบันนั่นเองเป็นผู้สืบสาน และตรงนี้เองควรจะเป็นสิ่งที่เราต้องย้ำเตือนตนเสมอๆว่า เราจะเลี้ยงดูแลลูกๆหลานๆเด็กๆของเราเพื่อให้โลกงดงาม เลี้ยงลูกเพื่อโลกไม่ใช่เพื่อให้ได้โล่ มิใช่เลี้ยงเพื่อเรา ถ้าเราเลี้ยงเพื่อเราแล้วการเลี้ยงลูกหลานแบบนี้ก็เป็นการเลี้ยงแบบเห็นแก่ตัว ใช่...ในบางครั้งบางคราว อาจจะมีแอบๆออกนอกเส้นทางไปบ้าง ก็ต้องรีบกลับมายืนอยู่บนหนทางนี้ให้ได้ ในเมื่อสภาพแวดล้อมมีความกดดัน มีแต่ความเห็นแก่ตัวไปเกือบทุกภาคส่วน เราก็ทำส่วนแรก ส่วนที่สำคัญ ให้เป็นส่วนที่สร้างความสดใส สร้างความเบิกบานหรรษา เพื่อเยียวยารักษาบาดแผลที่สังคมได้สร้างเอาไว้ อย่าไปเพิ่มความกดดันให้กันและกันโดยเฉพาะเด็กๆ
ใช่หรือไม่ ระหว่างที่เด็กคนหนึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับสังคมที่เขาอยู่ ทุกคนในสังคมย่อมภาคภูมิใจ เราเห็นเด็กๆเข้ามาช่วยงานวัดของเรา เป็นเด็กช่วยมิสซา เป็นคนเล่นดนตรี หรือเพียงเข้าร่วมมิสซาอย่างตั้งใจ เราก็อดที่จะภาคภูมิใจในพวกเขาไม่ได้ เราเห็นภาพเหล่านี้แล้วเราก็มีความสุข แล้วเราจะไม่ให้ความสุขนี้บังเกิดในใจของทุกคนหรือ ร่วมกันสร้างสังคมให้เด็กๆเดินไปเพื่อสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่อาศัยต่อไป แล้วทุกคนจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรสุดที่รักของพระเจ้า เป็นที่โปรดปรานของพระองค์...

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

อาบแสงแห่งวันใหม่


อาบแสงแห่งวันใหม่
ในช่วงวันหยุดรอยต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ ดูเหมือนว่าเวลาจะเอื้ออำนวยอย่างยิ่งในการทำหลายสิ่งหลายอย่าง ให้เป็นไปตามที่ได้คาดหวังเอาไว้ การได้กลับคืนสู่บรรยากาศครอบครัว ได้พูดคุย กินข้าว หยอกล้อเล่นหัวกันระหว่างพี่ๆน้องๆหลานๆ ที่เป็นเหมือนสายโยงยึดความรักและความอบอุ่นที่เรามีต่อกันเสมอมา นอกจากนั้นก็ยังมีเวลาแห่งมิตรภาพ ให้แก่เพื่อนๆร่วมชายคาวัดเซนต์หลุยส์ มีเวลาได้ร่วมหัวเราะมีเวลาได้ร่วมสวดโมทนาคุณพระเจ้าเพื่อต้อนรับวันใหม่ของปีใหม่ตามปฏิทินสากล ใช่หรือไม่ เวลาในปฏิทินอาจจะเป็นเรื่องกฎเกณฑ์เพื่อเป็นกรอบกำหนดหมายร่วมกัน เป็นเข็มทิศชี้ทางสากลให้ก้าวเดินไปอย่างมีระบบมีระเบียบ แต่...สำหรับมิตรภาพบางครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันในปฏิทินที่มีวันครบบรรจบ มีวันหยุดที่ชัดเจน มิตรภาพที่แท้มีแต่ยั่งยืน มีแต่แข็งแรงมากยิ่งขึ้นไป ไม่มีวันหยุดพัก...
และแม้ว่าค่ำคืนสู่วันใหม่ปีใหม่ที่ผ่านมานั้นจะสั้นนัก สำหรับการนอนหลับพักผ่อน แต่ร่างกายกลับถูกปลุกให้ตื่นมารอรับแสงแรกแห่งวันตั้งแต่เช้า ในบรรยากาศบ้านริมคลองที่แสนจะเป็นใจ ความสดชื่นที่ได้มายืนรับแสง อาบไออุ่นยามเช้า ทำให้จิตใจรู้สึกกระปี้กระเป่าอย่างบอกไม่ถูก จึงหยิบกระดานฉนวนดิจิตัล จรดจดบนทึกไว้เป็นความงดงามแห่งความทรงจำ
วันเวลาผ่านไปเร็วขึ้นเมื่อเรามีภารกิจแห่งวัยที่มากมาย การเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหาอย่างสุขุม การเรียนรู้ที่จะรู้จักข่มอารมณ์และการมีวินัยในชีวิตย่อมมีมากขึ้น มีเวลาเรียนรู้วิถีชีวิตของคนสมัยใหม่มากขึ้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน เวลาเป็นของประทานที่พระเจ้ามอบมาอย่างยุติธรรม เพียงแต่ว่า..เราๆคนที่ใช้เวลานั้นต่างหาก ที่จะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์???
ในทุกยามเช้าเราเห็นแสงสว่างที่ส่องผ่านมา และการที่ได้มานั่งรับลมเย็นๆแสงแดดอ่อนๆมันทำให้เรารำลึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เป็นเหมือนกับการได้อาบน้ำชำระร่างกาย แต่นี่เป็นการชำระด้วยแสงแดดทำให้มีเวลาที่จะขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา มีเวลามานั่งรำพึงถึงห้วงปีที่ผ่านไป ความดีความงามเกิดขึ้นก็มากมี พอๆกับความไม่ได้เรื่อง ความพลาดพลั้งเผลอไปกับวันเวลาก็มากมาย ยามเมื่อแสงแดดมากระทบร่างกาย ทำให้ได้ตระหนักรู้ว่า เรายังมีลมหายใจอยู่ เรายังลืมตาได้และมีกำลังกายเพื่อสร้างกำลังใจในวันใหม่ต่อไป
ขอบคุณพระผู้สร้างวันเวลา ผู้สร้างฤดูกาล ผู้ที่ให้โอกาสเราในทุกยามเช้า ขอบคุณผู้คนที่ผ่านมา อาจเพียงพบพานและผ่านไป อาจจะต่อเติมเพิ่มมิตรภาพให้ยาวไกล ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ย่อมมีบ้างที่กระทบกระทั่ง ฉันผิดเธอถูก เธอผิดฉันถูก ต่างก็ให้ผลเกื้อเอื้อต่อกัน ไม่มีผิดและจะรู้ว่าอะไรถูกต้องเล่า
ขอบคุณความรักและการทรยศหักหลัง การหลอกลวง เพื่อให้รู้โลกที่แท้จริงว่า ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ เราคิดว่าเรารักพอแล้ว แต่อีกคนก็เรียกร้องตามใจของตัวเอง นี่แหละคือสัจจะของมนุษย์เรา รักก็สุขเลิกราก็ทุกข์ หากผ่านพ้นไปได้โดยไม่ยึดติด ยึดมั่นถือครอง สนองความต้องการฝ่ายเดียว สันติย่อมมีในจิตใจและก็สามารถ รัก ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสบายใจชื่นอารมณ์ไม่งมจมอยู่ในทุกข์ แต่ใครเล่าจะผ่านไปโดยมิต้องผ่านหนทางเยี่ยงนี้ได้...
ขอบคุณความทุกข์ลำเข็ญที่เป็นเหมือนพลังแฝงแรงผลักดันให้ก้าวผ่านไปอย่างมั่นคง ขอบคุณความสุขที่ทำให้หัวใจโป่งพอง และอิ่มเอม เพื่อสร้างชีวิตและสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ เพื่อให้รู้ว่าโลกนี้งดงามเพียงใด
ขอบคุณคำติฉินนินทาทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา ที่ทำให้รู้ว่าเรายังคงเป็นที่ห่วงใยและที่สนใจใส่ใจของผู้คน เรื่องราวของเรายังคงสร้างความบันเทิงปากให้อีกหลายคนได้ สิ่งที่เราเป็น เราทำ ได้สร้างสิ่งต่อยอด ด้วยการพูดต่อกันไป และมีบ้างบางครั้งที่เรื่องราวเรานั้นให้ฉุดกระชากความหยิ่งทะนงของเราให้ลดลง ให้มีความรู้สึกสำนึกต่อผู้คนอื่น
ขอบคุณความอวดรู้ อวดเก่งและการไม่น้อมยอมกันของเรา ที่ทำให้รู้ว่ายิ่งเป็นอย่างนี้ ผู้คนจะทยอยหนีหาย ความเดียวดายก็จะมาเป็นเพื่อนแท้แทนที่ ขอบคุณความอวดรู้อวดเก่งที่ผู้อื่นแสดงต่อเรา ทำให้เราเห็นภาพสะท้อนของเราได้ง่ายขึ้น ขอบคุณจริงๆ
วันแรกในรอบปี ดูเหมือนก็เป็นอีกเช้าวันหนึ่ง แต่วันนี้มีความต่าง ความต่างที่เราได้มานั่งไตร่ตรองย้อนมองชีวิต ยิ่งได้เห็นเด็กๆเล็กๆวิ่งเล่นด้วยกัน งอนกัน ทะเลาะกัน แล้วก็ดีกันรักกัน แล้วก็วิ่งเล่นกันอีก ไม่นานก็วนเวียนมาเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ ชีวิตเราก็เช่นนั้น ชีวิตเด็กชีวิตผู้ใหญ่แก่นแท้แล้วคือสิ่งใดเล่า ทะเลาะกัน ตีกันและรักกัน ใช่ความเป็นผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่การกระทำแต่ละอย่างต้องมีเหตุและผล ต้องมีการตระหนักรู้ ต้องมีสำนึกแห่งตน ไม่ใช่ใช้เพียงอารมณ์พาไป เห็นคนอื่นไม่ให้ความสำคัญกับตนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเรียกร้องสิทธิ เห็นคนอื่นไม่เชื่อฟังตนก็เข้าขู่ข่มให้น้อมรับและพร้อมรบหากขัดขืน
จะมีประโยชน์อันใดเล่าที่เราอาบแสงชำระแล้ว ยังกลับไปคลุกฝุ่นแห่งความพลาดจำเจแบบเดิมๆ แต่ละวัน แต่ละปีผ่านไป มีสิ่งใดบ้างในหนทางจิตวิญญาณที่มีการพัฒนาขึ้น มีความช่วยเหลือใดบ้างที่ให้กับผู้คนรอบข้าง หรือมีแต่การกระทำที่สร้างรอยบาดแผลบาดเจ็บให้แก่ผู้อื่น หรือมีรอยยิ้มให้กับทุกทุกข์และก็ทุกคน แล้ววันใหม่ แสงแดดเดิม ๆจะช่วยให้ชีวิตแห่งการอภัยเกิดขึ้นปรากฏแสงในหัวใจเราบ้างไหม อภัยในความอ่อนแอของตัวเอง อภัยในความอ่อนด้อยของผู้อื่น ชีวิตนี้ดำเนินไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับคนที่พร้อมที่จะพัฒนา เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปในปีนี้อย่างผู้ที่ได้รับการชำระล้างแล้ว...