วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 2


บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 2
การเดินทางไม่สิ้นสุดแท้จริงแล้วมันก็คือความจริงของชีวิต การมีชีวิตก็คือการเดินทางมาสู่โลกนี้เพื่อกลับไปบ้านเก่าด้วยความอิ่มเอม ...คณะของเราออกจากวาติกันมุ่งหน้าสู่เมืองปิซ่า ที่มีสัญลักษณ์หอเอน เมืองของนักวิทยาศาสตร์ก้องโลก กาลิเลโอ ผู้พลิกประวัติศาสตร์แห่งความจริง แต่ในเวลานั้นเขาก็ต้องทรมานกับการคิดไม่เหมือนคนอื่นและยืนอยู่บนความจริงที่ค้นพบ  กาลิเลโอ  เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่าลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้  ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่” “บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์และ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่
และเพราะการเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีข้อมูลสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน ทำให้ศาสนจักรต้องออกกฎให้แนวคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม กาลิเลโอถูกบังคับให้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในบ้านกักตัวในความควบคุมของศาลศาสนา
อย่างไรก็ตาม ใน ปี ค.ศ. 1939 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ Pontifical Academy of Sciences หลังจากทรงขึ้นรับตำแหน่งไม่กี่เดือน โดยเอ่ยถึงกาลิเลโอว่าเป็น วีรบุรุษแห่งงานค้นคว้าวิจัยผู้กล้าหาญที่สุด ... ไม่หวั่นเกรงกับการต่อต้านและการเสี่ยงภัยในการทำงาน ไม่กลัวเกรงต่อความตาย
วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1992 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีกาลิเลโอ  ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอโดยสร้างอนุสาวรีย์ของเขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกันเมื่อเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงเอ่ยยกย่องคุณูปการของกาลิเลโอที่มีต่อวงการดาราศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่งกาลิเลโอเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ตัวยง  ท่านเขียนหนังสืออธิบายความรู้เรื่องจักรวาลหลายร้อยหน้า  โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา  
 รุ่งขึ้นคณะของเราก็เข้าสู่เมืองเวนิส เมืองแห่งลำน้ำ เมืองแห่งนักบุญมาระโกผู้นิพนธ์พระวรสาร เมืองที่ไม่มีรถวิ่งสักคันแต่มีร้านโชว์ของรถหรูเฟอรารี่...
จากนั้นเดินทางสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดินแดนแห่งความเขียวขจี ทุกพื้นที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนแล้วแต่สบายสายตาก่อให้เกิดความสุขทางจิตใจ ใช่หรือไม่ หากว่าเราแต่ละคนเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นความร่มรื่นให้กันและกัน สันติสุขแห่งจิตใจคงกลายเป็นเพื่อนสนิทของเราตลอดกาล มีโอกาสใช้เส้นทางรถไฟอันเก่าแก่กว่า 100 ปี ขึ้นสู่ยอดภูเขาหิมะ ที่เมืองจุงฟราวเป็นยอดเขาที่อยู่ใจกลางของเทือกเขาแอลป์ ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของยุโรป มีความสูงประมาณ 4,158 เมตรจากระดับน้ำทะเล  ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี  เป็นความสูงที่ร่างกายของบางคนอาจจะรับไม่ได้หากขึ้นไปโดยไม่ได้มีการปรับสภาพร่างกาย ดังนั้นแล้ว รถไฟจึงมีสถานีจอดเพื่อให้เราได้ลงไปผ่อนคลายพร้อมกับปรับความสมดุลของร่างกาย เพื่อรับกับความกดดันบนความสูงและความหนาวระดับติดลบบนภูเขาหิมะได้ คนเราจะขึ้นสู่ระดับสูงก็ต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ใครคิดก้าวกระโดดโดยไม่มีการปรับระดับก็อาจจะถูกแรงกดดันบีบคั้นให้กลายเป็นคนไร้สภาพได้ แม้ว่าหลายคนปรับแล้วพอขึ้นมาสู่สภาพนั้นจริงๆก็แทบเอาตัวไม่รอด จนเวียนหัว ลมใส่ลมจับ เกิดอาการอ่อนเพลีย นี่แหละชีวิตที่ต่างแข่งขันกันขึ้นไปให้สูงๆ บางคนก็ย่ำแย่เมื่อไปถึงยังจุดนั้น แต่ใครๆก็อยากจะขึ้นไปลิ้มลองดูสักครั้ง...จากนั้นคณะของเราก็เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปยังเมืองลูร์ด
การเดินทางสู่เมืองลูร์ด เพื่อหาแม่พระ เป็นเหมือนลูกๆที่วนเวียนกลับมาเยี่ยมแม่อีกครั้ง ...และการได้นัดพบกับ คุณพ่อเกรียงชัย ตรีมรรคา (คุณพ่อแมน) ทำให้คณะของเราได้ซาบซึ้งถึงความศรัทธาต่อพระแม่ ผู้นำเสนอคำวิงวอนของพวกเรา และรับรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคุณพ่อแมน คุณพ่อพูดภาษาได้เป็นอย่างดีจนสามารถทำพิธีและเทศน์เป็นภาษาฝรั่งเศสได้ คุณพ่อยังฝากความระลึกถึงมายังลูกวัดเซนต์หลุยส์ทุกๆคน...
คริสตชนยังคงหลั่งไหลไปเยี่ยมและไปหาแม่ที่เคยประจักษ์มาหานักบุญแบร์นาแด็ตอย่างมากมายเช่นเคย การได้ร่วมขบวนแห่โคม ท่ามกลางความหนาวเย็นแต่กลับอบอุ่นด้วยคลื่นศรัทธาของผู้คน ต่างคนต่างภาษาแต่สวดบทภาวนา วันทามารีย์ ร่วมกัน วันรุ่งขึ้นเราเห็นเหล่าบรรดาอาสาสมัครนำผู้ป่วยแถวยาวเหยียดเพื่อร่วมมิสซา หลายคนที่เพิ่งมาครั้งแรกต่างยืนมองดูด้วยอาการตื่นตะลึง ตะลึงในความศรัทธาและความเป็นหนึ่งเดียวกัน หลายคนบอกว่านี่คือ ความสุขใจอย่างยิ่งในชีวิต เราลาจากเมืองลูร์ดในเย็นย่ำของวันอาทิตย์ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก บนรถไฟเราต่างมาร่วมกันสวดภาวนาเพื่อร่ำลาพระแม่ ในใจมีสิ่งหนึ่งกังวลและได้พูดกับบางคนว่า กลัวว่าน้ำจะท่วมเมืองลูร์ด ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ได้รับข่าวว่าเมืองลูร์ดเกิดน้ำป่าเข้าท่วม เลวร้ายที่สุดในรอบสี่สิบปี อาสาสมัครเมืองลูร์ดทำงานรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเคลื่อนย้ายคนป่วยกว่า 500 คนได้อย่างปลอดภัย และเพียงแค่สองสามวันน้ำป่าก็หายไป ชาวเมืองและอาสาสมัครต่างออกมาช่วยกันทำความสะอาดให้กลับมางดงามดังเดิม อย่างไรเสียพระเจ้าก็มีหนทางมีบทเรียนเพื่อสอนเราให้รู้ถึงสัจธรรมว่า ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้แต่พระศาสนจักรก็เคยพลาดพลั้ง แต่เมื่อกลับใจขออภัย ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ย่อมบังเกิดขึ้น แล้วเราหล่ะ ผ่านพ้นความสูง ความสาหัส ผ่านภัยต่างๆมาแล้วก็มาก วันนี้ชีวิตเรามีความเชื่อมั่นคงมากขึ้นและมีสันติสุขหรือเปล่า

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1


บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1
และแล้ววันเวลาที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางสายพระพร ก็ผ่านเข้ามาพบอีกครั้งในชีวิต นั่นคือ การเดินทางไปอิตาลีผ่านสวิตเซอร์แลนด์ และวกกลับมาหาแม่พระที่เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเดินทาง เกือบครึ่งหนึ่งของคณะ คือ บรรดาซิสเตอร์คณะพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าฯ และส่วนหนึ่ง คือ คนมักคุ้น บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความศรัทธา เสียงหัวเราะและความหรรษา ประกอบกับการมองโลกในด้านที่งดงามของผู้จัดการในครั้งนี้ ที่พกพารอยยิ้มและความเฮฮาในทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเวลากว่าครึ่งหนึ่งจะหมดเวลาไปกับการเดินทางที่แสนจะยาวไกล ความเบื่อหน่ายและเมื่อยล้าย่อมมี แต่ด้วยเสียงเพลงย้อนวันวานด้วยสำเนียงเสียงใสๆ ของคนที่ผ่านวันเวลามาก่อนพาให้เพลิดเพลินเจริญด้วยมิตรภาพ และทัศนีย์รอบๆข้างทางๆที่มีความแตกต่างจากสิ่งที่พบเห็นในเมืองไทย ใช่หรือไม่ การมีเวลาเดินทางไกลไปเรื่อยๆ ย่อมดีกว่าเสียเวลานั่งอยู่ในรถกลางถนน ติดยาวเหยียดไม่ขยับเป็นชั่วโมงๆ ข้างทางก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด เห็นแล้วจนต้องหงุดหงิดตาม ....
จุดหมายปลายทางแรกของคณะของเราคือศูนย์รวมของพระศาสนจักร วาติกัน มหาวิหารนักบุญเปโตร ที่รายล้อมไปด้วยเสาใหญ่ๆเป็นกำแพงโค้ง ดุจดั่งการคืนสู่อ้อมกอดของพระเจ้าผ่านทางพระศาสนจักร แถวยาวเหยียดของผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตัวมหาวิหาร ทำให้หลายคนเกิดความท้อขึ้นมาบ้าง แต่อีกมุมมองหนึ่ง ใช่หรือไม่ คนอีกไม่น้อยที่ยังต้องการสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ ความเชื่อของผู้คนยังคงไม่มีเสื่อมคลายลงไป ครั้งนี้รู้สึกว่าต้องต่อแถวไกลกว่าครั้งที่เคยผ่านมา (ตุลาคมปีที่แล้ว) นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าอีกเพียงสองวัน (11 ตุลาคม) จะมีพิธีเปิดปีแห่งความเชื่อที่หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร เรายังเห็นการเตรียมการสำหรับงานนี้ เก้าอี้หลายพันตัวถูกเตรียมไว้ ประรำพิธีเริ่มติดตั้ง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ตารางเวลาของคณะเราไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัว การเริ่มต้นปีความเชื่อ ด้วยการมาเริ่มจากอ้อมกอดของพระเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่เตือนตนให้พยายามมีความเชื่อที่มั่นคงขึ้นเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน....
ไม่นานคณะของเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปในตัวพระมหาวิหาร ความงดงามยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรายังงดงามอยู่เช่นเดิมเป็นนิรันดร์ เมื่อยามที่ข้ามผ่านประตูสู่ภายใน เราได้พบกับบรรยากาศที่มีแสงสลัวๆแต่อบอุ่น ภาพประติมากรรมหินอ่อนชื่อ ปิเอตา (Pieta) แม่พระรับพระศพพระเยซูเจ้าไว้บนตัก ความงดงามของรูปปั้นอันลือชื่อ ที่ศิลปินไมเคิ้ล แอนเจโล (Michael Angelo) สลักหินแกร่ง จนมองเห็นเป็นผืนผ้าอ่อนช้อย เหมือนจริงทั้งอารมณ์และกายภาค ฝากความงามไว้ให้กับเราได้ชื่นชม รูปปั้นเหมือนมีชีวิตถ่ายทอดความทุกข์ของแม่ที่ต้องมารับศพลูกชาย ความทุกข์แสนสาหัสของพระนางนำพาให้มีพระศาสนจักรที่มั่นคง ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนี้ได้นำมาซึ่งธรรมอันล้ำลึกที่เป็นรากฐานแห่งความเชื่อ...เพราะแม่พระเชื่อพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจแม้รู้ว่าจะทุกข์เพียงใด
จากนั้นก็ผ่านมายังหลุมพระศพบุญราศี จอหน์ ปอลที่ 2 พระสันตะปาปาแห่งยุคสมัยใหม่ ผู้เปิดประตูความเชื่อให้แสงสว่างแห่งความรัก ความเมตตาและสันติภาพไปสู่โลกในช่วงที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง การได้มีโอกาสได้สวดต่อหน้าพระศพพระองค์ คือสิ่งปรารถนาในการเข้ามาในพระวิหารแห่งนี้ ขอบคุณสำหรับความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ท่านได้มอบไว้ให้กับโลกนี้ได้จดจำ และเป็นการย้ำว่าความรักของพระเจ้านั้นใหญ่ยิ่งนัก
ผู้คนยังคงหลั่งไหลเข้ามาสวด มาเคารพ ต่อท่านนักบุญเปโตร ผู้ที่เป็นศิลาก้อนแรกที่ได้ทำให้ก้อนหินต่างๆก่อร่างสร้างให้เกิดความแข็งแกร่ง หลุมพระศพท่านใต้พระแท่นเสาเกลียวสี่เสาอันบรรเจิด คือสิ่งที่ท่านได้ค้ำยืนพระศาสนจักรตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน ความงดงามของศิลปะที่ถ่ายทอดออกมารอบๆพระวิหาร สร้างความอิ่มเอมทุกครั้งที่ได้มาสัมผัส เรามีเวลาชื่นชมความงามได้ไม่นานนักก็ต้องออกมาเพื่อไปให้ตรงตามเวลานัดหมาย
เมื่อย่างก้าวผ่านออกมา ภายนอกมีแสงสว่าง แล้วเราล่ะ ก้าวข้ามผ่านความเชื่อมากี่ครั้งกี่หน ได้นำพาความเชื่อให้เป็นแสงสว่างมากน้อยเพียงใด ใช่ว่าวันนี้คนจะมีความเชื่อน้อยลง แต่คนที่บอกว่ามีความเชื่อกลับไม่ได้ทำให้ความเชื่อออกมาเป็นแสงสว่าง ก่อให้เกิดความกระจ่างใสต่อใจผู้คนต่างหากที่มีมากขึ้น ปีแห่งความเชื่อจึงเป็นการแสดงความเชื่อด้วยการปฏิบัติ และต้องปฏิบัติให้ได้ตามความเชื่อ หากเราเชื่อในพระคริสต์ชีวิตเรามีความรักมอบให้กับผู้คนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน เราเป็นภาระให้กับคนอื่นหรือเป็นความสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ 
ในอ้อมกอดแห่งความเชื่อได้รวมเราไว้เป็นหนึ่ง แต่เรามักจะอึดอัดภายใต้อ้อมกอดนี้ มีไม่น้อยพยายามแกะให้หลุดจากความเชื่อ หรือมีไม่น้อยแม้จะอยู่ในอ้อมกอด แต่กลับไม่สนใจใคร ยังคงหลงเชื่อความเป็นตัวตน แอบอ้างว่ามีพระอยู่ในใจ มีบางบ้างคนแสดงความเชื่อเพื่อให้เป็นไปตามระบบระเบียบเพียงเท่านั้น มาวัดเพียงเพื่อสะสมแต้มทำยอด แต่ไร้ชีวิตจิตใจ มาร่วมพิธีแต่ใจยังฝักใฝ่ในเรื่องภายนอก เปิดรับทุกอย่างจากข้างนอกแต่ปิดใจสำหรับพระวาจา เชื่อมต่อกับทุกคนในทุกที่แม้แต่ในวัดวา แต่ต่อไม่ติดกับพระคริสต์ผู้เป็นศูนย์กลาง ความเชื่อเช่นนี้ไม่นานก็กลายเป็นความเบื่อ ไม่เหลือความกระตือรือร้นในการเปิดตนรับฟังข่าวดี ไม่มีจิตใจต้อนรับความอบอุ่นของพระเจ้าที่หยิบยื่นให้ เช่นนี้ก็คงไม่ต่างกับคนที่มาสู่วาติกันสู่นครศักดิ์แห่งนี้เพื่อเที่ยวชมความงาม ไม่นานก็จางหายหลงลืมหมดความตื่นเต้นไป..
ชีวิตแห่งความเชื่อย่อมเดินไปคนเดียวไม่ได้ การได้เดินทางร่วมกับเพื่อนฝูงและร่วมทางกับผู้ที่มีประสบการณ์ความเชื่อมากกว่า ย่อมนำพาความสุขและความอิ่มเอมมาให้ ...

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิทยาศาสน์


วิทยาศาสน์
คำว่า วิทยาศาสน์ นี้ได้มาจากคำว่า วิทยาศาสตร์ และ ศาสนา ที่ผู้คนกำลังสับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ควรมานำยึดถือ  แต่ในยุคนี้สมัยที่วิทยาศาสตร์เจริญรุดหน้าไปไกลมาก  จนทำให้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยออกมาไม่เว้นแต่ละวัน โดยเชื่อกันว่า หากมนุษย์คิดจะทำอะไร มีข้อขัดข้องใจอย่างไรไม่ช้าไม่นาน มนุษย์ก็ค้นพบทางออกและพบความจริง (หรือเปล่า) จนทำให้เกิดความผยอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า จึงไม่ยอมเชื่อเรื่องพระเจ้าที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผลอีกต่อไป หลายคนจึงสรุปเอาอย่างง่าย ๆ และเขลาๆว่า อะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของคริสตชนที่เชื่อว่ามีพระเจ้า และสรรพสิ่งสร้างมาจากพระเจ้า เป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน และไม่สามารถพิสูจน์ได้...  แล้ว หลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นคำตอบเดียวและคำอธิบายเดียวสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างไหม?  หรือว่าเรามีหนทางอื่นที่นอกเหนือจากวิธีของวิทยาศาสตร์ในการอธิบายถึงความจริงของสรรพสิ่งสร้าง
วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นมีขีดจำกัด วิทยาศาสตร์ต้องอาศัยวิชาคำนวณเป็นพื้นฐาน  สิ่งที่จะเอามาพิสูจน์จึงต้องมีตัวตน แต่เราก็ทราบดีว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่วัดไม่ได้ ชั่งไม่ได้ ตวงไม่ได้  แต่ก็เป็นความจริง  นั่นคือ  ความรัก และความยุติธรรม ความศรัทธา   ที่นำพาเราไปสู่ความเชื่อ พูดอีกนัยหนึ่งวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ที่เห็นและสัมผัส และหรือ เห็นผลวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขที่ตั้งอยู่บนฐานได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า ความรัก ความยุติธรรมและความศรัทธามีอยู่จริง  ถึงแม้จะพิสูจน์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเราทุกคนต่างยอมรับว่า วิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์ว่าไม่มีพระเจ้า

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์กำลังช่วยเราให้ค้นพบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลสรรพสิ่งสร้างของโลกอยู่ เช่น จากจักรวาลไปสู่อะตอม พลังงานทางฟิสิกส์และทฤษฎีสัมพัทธ์ ซึ่งมีผลเปลี่ยนแปลงเราดุจดังกลางคืนไปสู่กลางวัน แสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์กำลังค่อยๆนำการเดินทางของเราให้มีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เราได้ครอบครององค์ความรู้มหาศาล แต่ยังมิได้ใช้ให้เกิดประโยชน์มากพอสมควร และบ่อยครั้ง กลับถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เพี่อส่วนตัวจากคนที่มองเห็นแก่ตัว ไม่สามารถนำประโยชน์จากองค์ความรู้นั้นๆออกมาใช้ และไม่สามารถดึงเอาปรีชาญาณขององค์ความรู้ในนามของพระจิตเจ้านั้นออกมาได้ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งถ้าเรานำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อปลุกจิตสำนึกแห่งเผ่าพันธุ์ จิตวิญญาณมวลรวมของเราและของมนุษยชาติจะได้เติบโตขึ้น
การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการทดลองหลายๆ ครั้งติดต่อกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก  เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน  ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดประกาศการค้นคิดใหม่ของตนโดยผ่านการทดลองเพียงครั้งเดียว การที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายการกำเนิดของจักรวาล  จึงไม่ใช่วิธีการทางวิทยาศาสตร์  แต่เป็นความเชื่อดี ๆ นี่เอง  เพราะคงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใด มีโอกาสยืนเฝ้าสังเกตการกำเนิดของจักรวาลว่าเกิดขึ้นอย่างไร เพราะช่วงชีวิตของเราไม่มากกว่าสามหมื่นวัน ฉะนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ การอธิบายของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลจึงเป็นการสันนิษฐาน  พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
การอธิบายหรือพิสูจน์ทฤษฎีใดๆ ของนักวิทยาศาสตร์ จำต้องอาศัยหลักมูลฐาน หรือจุดเริ่มต้นที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐาน หรือเชื่อว่าเป็นความจริง   ข้อสรุปของการศึกษาค้นคว้าย่อมมีความผิดพลาดได้  ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป   มันจึงเป็นเพียงหลักสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นจริง เราจึงเห็นว่า ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งขึ้น  อาจจะไปขัดแย้งหรือหักล้างทฤษฎีเก่าๆ
ความจริงทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ซึ่งผิดกับความจริงในพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าเปิดเผยให้กับมนุษย์นั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ไม่มีทางล้าสมัย  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป  และข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์มีทางผิดพลาดได้   ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนหลักมูลฐาน ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อนั่นเอง
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว ไม่ขัดแย้งกับความจริงของความเชื่อเลย  เพราะทั้งสองอย่างนี้มาจากต้นตอเดียวกัน คือ พระเจ้า   เพียงแต่ว่าการเข้าไปสู่ความจริงของแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน  เพราะใช้คนละวิธีเพื่อเข้าไปสู่ความจริงและคนละด้าน นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าความจริงด้านธรรมชาติ สิ่งสร้างของพระเจ้า  โดยวิธีเฉพาะของมนุษย์  และฝ่ายความเชื่อพบความจริงด้านจิตวิญญาณ ผ่านทางพระวาจาของพระเจ้า  
องค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16 พระองค์ตระหนักในเรื่องนี้ว่า หากมนุษย์ยังหลงใหลไปกับการค้นพบใหม่ๆและก็ทึกทักเอาว่า ทุกสรรพสิ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ จนทำให้วิทยาศาสตร์เป็นศาสนาใหม่ขึ้นมา ทำให้ผู้คนหลงไป เพราะในความเป็นวิทยาศาสตร์มิอาจจะช่วยให้จิตวิญญาณของมนุษย์ยกสูงขึ้น มีแต่ความว่างเปล่า พระองค์จึงทรงย้ำให้เราเข้าถึงความเชื่อที่ต้องพิสูจน์จากความศรัทธาของเรา และพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยการปฏิบัติ หากท่านมีความเชื่อแล้วไม่มีการกระทำ ความเชื่อนั้นก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่ถูกตั้งขึ้นเท่านั้น แล้วความเชื่อของเราหล่ะ เป็นเพียงแค่ข้อสมมุติฐานหรือเปล่า ...

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผลงานจากเมื่อวาน


ผลงานจากเมื่อวาน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสทำงานร่วมกับศิลปินวาดทราย (อ.ก้องเกียรติ กองจันดี) ศิลปะวาดทรายนั้นเป็นการวาดภาพเรื่องราวต่างๆด้วยเม็ดทรายที่ละเอียด ซึ่ง อ.ก้องเกียรติ ได้เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต แล้วค่อยๆหัดทำ คิดสร้างสรรค์ ดัดแปลงอุปกรณ์ให้เหมาะสม โดยผนวกเป็นเรื่องราว สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก ใช้มือลงน้ำหนัก แสง และเงา ระยะใกล้ ไกล ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในหลายๆสถานที่ ในแต่ละงาน ภาพวาดทรายก็จะแตกต่างกันไปแล้ววัตถุประสงค์ของผู้จัดงาน นั่งมองภาพวาดเหล่านั้นผ่านการสรรค์สร้างด้วยหัวใจแห่งศิลปะ ด้วยสมาธิความตั้งใจอันแน่วแน่ของ อ.ก้องเกียรติแล้ว ทำให้ต้องหันมามองคุณค่าชีวิตของเราว่า ในแต่ละวันเวลาผ่านไปนั้น เรามีศรัทธาต่อชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน มีความแน่วแน่ในวิถีชีวิตแห่งความดีแล้วหรือยัง แล้วเราได้วาดภาพสร้างชีวิตให้งดงามเพียงใด
อ.ก้องเกียรติ กองจันดี
ใช่หรือไม่ ทรายกองเดียวกันสามารถนำมาวาดภาพได้หลากหลายรูปแบบ แล้วใครจะไปคิดล่ะว่า ทรายก็สามารถนำมาวาดภาพศิลปะได้อย่างงดงาม นอกจากนำไปเพื่อการก่อสร้างและป้องกันน้ำท่วม....แล้วชีวิตของเรานั้นมีประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากพอแล้วหรือยัง ผลงานที่ผ่านกิจวัตรประจำวัน เอาแค่เมื่อวานนี้ เราได้ฝากความงดงามและสร้างสรรค์ให้กับชีวิตเรา เกิดคุณค่าในความทรงจำที่มีค่าแก่ผู้อื่นบ้างหรือไม่..อย่างไร...
หนทางหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของเรามีคุณภาพ นั่นคือ การฝึกฝนสำรวจตรวจสอบตัวเองเป็นประจำ เพื่อนำเราไปสู่การปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่...เราก็มักพูดว่า ไม่มีเวลา เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดของการแก้ตัว ประมาณว่าถ้าเกิดไฟไหม้ที่ไหน สิ่งแรกที่คาดถึงสาเหตุก็คือไฟฟ้าลัดวงจร…. สาเหตุหนึ่งของคนเราในปัจจุบันที่มักไม่ค่อยมีเวลาสำรวจตรวจสอบตัวเอง หรือเรียกว่าละเลย หรือขลาดกลัวไม่กล้าไตร่ตรองชีวิตประจำวัน ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป อาจจะเป็นเพราะความเร่งรีบหรือเปล่า ก็อดแปลกใจอยู่ไม่ใช่น้อย ชีวิตเมืองที่รีบเร่ง เพื่อไปนั่งจมปลักอยู่ในรถกลางถนนเป็นชั่วโมง ดูเหมือนว่าเราพยายามรีบเร่งเพื่อไม่ให้ต้องเจอกับสภาพเช่นนี้ แต่ก็ไม่เคยพ้นสภาพเช่นนั้นสักที ยิ่งฤดูฝนหล่นฟ้ารั่ว ตกมาเมื่อไรอัมพาตกันทั้งเมือง และเราก็ใช้ความเห็นแก่ตัวเพื่อให้หลุดรอดความทุกข์มวลรวมบนท้องถนนจนกลายเป็นนิสัยติดตัว ทำเช่นนี้ในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต
แล้วไม่ต้องคิดเลยว่า รถอีกห้าแสนคันกำลังรอออกมาอวดโฉมบนถนนนั้น แค่ที่ให้จอดจะมีหรือไม่ ถนนคงกลายเป็นลานจอดรถดีๆนี่เอง แค่นี้กรุงเทพก็ติดอันดับหนึ่งของเมืองที่มีการจลาจรติดขัดมากที่สุดของโลกไปแล้ว เห็นไหมล่ะ จะหาเวลาที่ไหนมานั่งรำพึงรำพันกับชีวิต เช้าติดเย็นติด มีรถคันแรกก็เหมือนได้บ้านหลังแรกอย่างไรอย่างงั้น พอถึงบ้านก็หมดสภาพ นอนหลับแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ต้องตื่นไปผจญบนทางเดิมๆอีกแล้ว เช่นนี้แล้วการไตร่ตรองตรวจสอบชีวิต จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย วันๆหนึ่งเราก็ดำเนินชีวิตไปเหมือนหุ่นยนต์ที่ติดตั้งโปรแกรมไว้ ร่างกายเคลื่อนไหวแต่จิตใจและจิตวิญญาณนั้นอ่อนล้าและหลับใหล 
ใช่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองคนเราจึงไม่ค่อยมีสติ สมาธิสั้นเอาแต่ใจตนเองใครมาขวางหน้าเป็นต้องพุ่งชน ทำอะไรไม่สนขอเพียงให้ได้มาซึ่งสิ่งที่หวัง ไปให้ถึงที่หมายด้วยความเร็วสูงสุด แล้วเมื่อถึงจริงๆก็กลับหมดเรี่ยวแรงที่จะชื่นชมสิ่งที่ปรารถนา 
ความจริงแล้วเรามีเวลาเท่ากัน เพียงแต่ว่าวันนี้ยุคนี้เราจัดสรรเวลากันไม่ค่อยเป็นมากกว่า เวลาว่างๆในรถ ขณะรอเคลื่อนไปข้างหน้า เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เราสามารถย้อนกลับไปถึงผลงานที่ผ่านมาว่าชีวิตเราก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง มีความดีงามผุดขึ้นมาบ้างไหม หรือได้ให้อภัย ได้แบ่งปัน หรือกระทั่งว่าได้สร้างความเจ็บปวดแก่ผู้ใดบ้าง ผลงานการสร้างของเราวันนี้สวยงามหรือดูแย่ๆ เต็มไปด้วยความเลอะเทอะ และเป็นไปได้ก่อนหลับตาลงนอนเคยย้อนถึงเวลาเพียงชั่ววันที่ผ่านมา ว่าเกิดอะไรขึ้น มีทุกข์มีสุขเช่นใดในเรื่องอะไร สร้างบาดแผลรอยด่างไว้ให้ใครบ้าง ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ
ใช่หรือไม่ ชีวิตของเรามันก็เหมือนกับเราได้ดูละครที่ระคนไปด้วยทุกข์สุข มีเงื่อนปม มีคลี่คลาย และก็มีเริ่มต้นปมใหม่สู่การคลี่คลายใหม่ๆเสมอ ในขณะที่เราสุขก็มีหลายคนที่ทุกข์ตรม และในทางตรงข้าม ในช่วงทุกข์ของเราอีกหลายต่อหลายคนก็กำลังอิ่มสุข ฉะนั้นแล้วโลกนี้ไม่เคยขาดความทุกข์-สุข แม้เพียงเสี้ยววินาที ขึ้นอยู่กับว่าเราจะคว้าเอาสุขมาถือครอง หรือจะเพิ่มทุกข์เป็นสมบัติติดตัว เมื่อเรามีสิทธิเลือกแล้วใยกลับเลือกทุกข์มาโหมใส่ ใช่...การพูดเช่นนี้มันเหมือนง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากปัจจัย สภาพแวดล้อมหลากหลาย ซ้ำร้ายบางจังหวะชีวิตยังไม่มีสิทธิเลือกได้ ถ้าเป็นความสุขเข้ามาก็สดชื่นเบิกบานไป แต่ถ้าเป็นพายุทุกข์ก็ต้องตั้งรับและหลบหลีกให้เป็นและด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
เช้าตื่นขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการฟื้นจากหลับตายของวันวานและใช้เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อสร้างผลงานแห่งความดีให้เกิดขึ้น ให้ดีกว่าวันก่อนที่ผ่านมา เริ่มใหม่อย่าให้ความอ่อนแอและอ่อนล้าของเมื่อวานมาลดความสดชื่น จากเมื่อวานส่งผลให้มีการหลับเพื่อ ตื่นขึ้นมาอย่างมีคุณภาพในวันใหม่ ลองเปลี่ยนวิถีชีวิต อย่าจมในความซ้ำซากประหนึ่งหุ่นยนต์ต้องอยู่อย่างเข้าถึงความจริงที่ยิ่งใหญ่ ความจริงที่ว่าชีวิตเราคือผลงานของพระเจ้า แล้วเราจะให้ผลงานนี้งดงามหรือหมองหม่น หากผลงานของชีวิตเมื่อวานดีแล้ววันนี้ก็ขอให้ดีกว่า หากเมื่อวานไม่ได้เรื่องวันใหม่คือโอกาสของการเริ่มต้น...