วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อย่าเยอะและอย่าหยุด

อย่าเยอะและอย่าหยุด
การที่เราได้ทราบข่าวของบุคคลที่เคารพนับถือจากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย ยิ่งเติบใหญ่ข่าวเหล่านี้ก็ย่อมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของความรู้สึกตามปุถุชนธรรมดาย่อมมีบ้างที่เศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ แต่เราก็มีมุมมองมิติทางด้านความเชื่อที่เอื้อให้เราคลายความทุกข์โศกลงได้บ้าง เพราะด้วยอาศัยความเชื่อว่า สักวันหนึ่ง เราก็จะได้พบเจอกันในบ้านนิรันดร์ของพระบิดาผู้อารี ผู้ที่เฝ้าคอยเราให้กลับไปหาพระองค์ อาจดูเหมือนจะเป็นการปลอบโยนในระดับหนึ่ง แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้ว เราทุกคนย่อมต้องมีที่มาที่ไป และที่ไหนเล่า...คือที่ที่เราจะไป ใช่...บ้านพระบิดานั้นหรือ แล้วเราจะกลับไปในฐานะอะไร จะกลับไปเช่นไร จะกลับอย่างภาคภูมิหรือซมซานกลับไป ในหนทางวันนี้แหละที่เราจะเป็นผู้กำหนดทิศระบุท่าทางของการกลับคืนสู่อ้อมกอดพระบิดาเจ้าได้

คุณพ่อปิแอร์ บาแบง 1926-2012
ภาพโดย : ดร.สิขเรศ ศิรากานต์

บ่ายของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้ทราบข่าวการจากไปของท่านอาจารย์ผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึงประเทศฝรั่งเศส ทำให้ความทรงจำที่เมื่อครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสใช้ชีวิตเรียนรู้อยู่กับท่าน คุณพ่อปิแอร์ บาแบง ท่านเป็นสงฆ์ชาวฝรั่งเศส เป็นสมาชิกของคณะธรรมทูตแห่งมารีย์นิรมล (OMI) คุณพ่อเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งสถาบันอบรม Crec Avex ที่เมือง Lyon เป็นสถานที่อบรมเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารความเชื่อ การใช้สื่อเพื่องานอภิบาลและการประกาศข่าวดี มีผู้อบรมจากทั่วโลกหมุนเวียนเข้ามารับการอบรมทุกๆปี ทั้งพระสงฆ์ นักบวชชายหญิง และฆราวาสที่ทำงานด้านการสื่อสารมารับการเรียนรู้จากสถาบันแห่งนี้ (คุณพ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต เจ้าอาวาสของเราก็ได้เข้ารับการอบรมจากที่นี่ด้วยเช่นกัน) คุณพ่อสร้างแนวทางการสอนที่ทันสมัย และเป็นคนแรกๆของโลกที่นำสื่อมาใช้ประกอบการสอนคำสอน
ในครั้งนั้นนอกจากจะได้เข้ารับการอบรมแล้ว ส่วนหนึ่งยังได้ร่วมเป็นทีมทำงานในศูนย์แห่งนั้นด้วย นับว่าเป็นโชคดีที่มีเวลาได้อยู่กับคุณพ่อมากกว่าคนอื่นๆในรุ่นนั้น คุณพ่อมักจะเรียกใช้ เรียกให้ไปไหนมาไหนกับคุณพ่ออยู่บ่อยครั้ง จึงได้มีโอกาสเห็นบุคลิกน่ารักๆที่ต่างไปจากความเป็นอาจารย์ในห้องเรียน คุณพ่อเป็นที่รักของคนทั่วเมืองลียง เพราะท่านเป็นนักเขียนเลื่องชื่อคนหนึ่ง มีผลงานเขียนมากมาย คุณพ่อมักจะทักทายคนผ่านไปผ่านมา ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ไม่เว้นแม้กระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างคาร์ฟูร์ ห้างที่ใกล้ๆบ้านพักคุณพ่อ วันหนึ่งคุณพ่อชวนไปซื้อของในห้าง แต่สิ่งที่ต้องการมันต้องเดินไปไกลมากและเวลาเราก็มีน้อย คุณพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มพูดว่า คิดออกแล้ว จากนั้นก็เดินไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ แล้วก็มายืนรอแบบยิ้มๆไม่ทันไรก็มีพนักงานห้างนำของที่ต้องการมาให้ คุณพ่อมาเล่าให้ฟังตอนนั่งรถกลับว่า ท่านเห็นพนักงานส่วนใหญ่ใส่รองเท้าติดล้อ วิ่งไปตามช่องวางของต่างๆภายในห้างอยู่หลายคน  ก็เลยบอกกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่า ผมเดินหาสิ่งที่ต้องการ (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร) นานมาก แต่หาไม่เจอ...จะทำอย่างไรดี เพียงแค่นี้เขาก็แจ้งไปยังหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ที่ใส่รองเท้าสเก็ตวิ่งไปหยิบมาให้... แล้วท่านก็หัวเราะ.. นั่นเป็นมุมเล็กๆน้อยๆในความน่ารักและความสนุกสนานยามที่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
คุณพ่อได้สอนเรื่องการผลิตงาน การทำรายการโทรทัศน์ การเขียนงานไว้ว่า การเข้าให้ถึง สร้างความประทับใจให้ได้นั้นสำคัญมากกว่าลูกเล่น ภาพเพียงภาพเดียวสามารถสื่อความหมายถึงผู้รับสารได้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการสื่อสาร ความสำคัญอยู่ตรงนี้แหละ จะทำอย่างไรถึงจะได้ภาพเช่นนั้นมาได้ ทุกอย่างต้องมาจากอารมณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ต้องเข้าถึงเนื้อหาก่อนที่จะถ่ายทอดออกไป อย่าใช้ความฟุ่มเฟือยของเอฟเฟ็ค หรือถ้าจะใช้ต้องตอบให้ได้ว่ามันสื่อถึงอะไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใช่เลย...มันตรงกับคำที่เรามักใช้กันในสมัยนี้ว่า อย่าเยอะ เราทุกคนก็เป็นผู้สื่อสารความเชื่อ ถ้าเราสื่อสารแบบเยอะๆออกไป คนที่จะรับเนื้อหาจากเราก็จะงงและเข้าไม่ถึงแก่นของสาร นี่ก็เป็นความล้มเหลวของการสื่อสาร
ในชีวิตเราก็เช่นกัน เราเยอะให้กับสิ่งอื่นมากมายจนหลงลืมแก่นของชีวิตไป บางครั้งตรงที่เยอะของเรา เป็นการเรียกร้องให้ผู้อื่นเข้ามาหาเรา ในสภาวะเช่นนี้มันอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วคนรอบข้างก็จะเบื่อก็จะหน่าย ค่อยห่างหายหน้าไปจากเรา เพราะเราไม่เคยเปิดใจ ไม่เคยเข้าใจเข้าถึงคนอื่น ความเยอะเช่นนี้ก็จะกลายเป็นความแปลกแยก ความเยอะเช่นนี้กลายเป็นความเลอะเทอะ และเมื่อเรียกร้องแล้วไม่ได้ดังใจก็รวน ก็เที่ยวกลั่นแกล้งบ้าง นินทากล่าวร้ายกันลับหลังบ้าง กลายเป็นความเกลียดชังไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนี้แล้วคุณพ่อได้พร่ำสอนกับศิษย์ว่า อย่าหยุดอ่านหนังสือ อย่าหยุดแสวงหาความรู้ อย่าหยุดคิด อย่าหยุดตั้งคำถาม และจงอย่าหยุดแสวงหาคำตอบ เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำเราไปสู่ความจริง จะทำให้เราเป็นคนที่เข้าใจคน เข้าใจโลก โดยไม่หลงไปกับกระแสของโลก และที่สุดแล้วเราต้องไม่นำสิ่งที่เรารู้ เราค้นพบมาใช้เพื่อตัวเอง อย่าโอ้อวดความเก่ง เพราะความรู้ไม่ใช่สมบัติของเราเพียงผู้เดียว เมื่อรู้แล้วก็แบ่งปัน เมื่อรู้แล้วก็ถ่ายทอดด้วยความสุภาพ อย่าเยอะกับความรู้มาก เราก็สามารถเป็นผู้สื่อสารความเชื่อให้กับผู้อื่นได้อย่างมีคุณค่า เราก็จะกลายเป็นผู้เปิดเผยความจริง นั่นคือการเผยพระเยซูเจ้านั่นเอง เพราะพระองค์ คือ ความจริง 
การจากลาของคุณพ่อปีแอร์ บาแบง อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นการจากลาอย่างสง่างามในนามของผู้ที่ได้สร้างคนสื่อสารที่พูดถึงความเชื่อ ที่ยืนยันในความจริง สิ่งนี้จะสถิตในจิตวิญญาณศิษย์ของท่านตลอดไป...

ไม่มีความคิดเห็น: