วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หลับตาจึงได้เห็น


หลับตาจึงได้เห็น
ทบทวน หลับตาจึงมองเห็น ทบทวน ทบทวน หลับตาจึงได้เห็น บทกวีที่สอดแทรกมาในรายการทีวีที่มิได้ตั้งใจจะดู เพียงกดรีโมตผ่านไป แต่ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะจึงหยุดฟัง เสียงพิณกับเสียงพูดของกวีคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นการพร่ำบ่นอะไรอยู่สักอย่าง สิ่งที่พอจะจดจำได้ ก็มาจากการพูดย้ำประโยคเดิมๆ ประโยคนั้นมันสะกิดใจดีเหลือเกิน เป็นคำง่ายๆแต่ความหมายกับลึกซึ้ง หลับตาจึงมองเห็น
โดยธรรมชาติการมองเห็นต้องเปิดตา ประสาทสัมผัสที่สำคัญคือ ดวงตา ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพของสิ่งต่างๆได้ สามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมได้ สายตาจึงมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างมาก ถึงแม้บางคน บางวัย บางเวลา สายตาฝ้าฟาง เพ่งมองสิ่งต่างๆไม่กระจ่างชัด ก็เที่ยวเสาะหาแว่นตา หาเลนส์มาสวมใส่เพื่อให้มองภาพที่ชัดเจน นั่นเป็นเรื่องทางกายภาพ ที่เป็นรูปธรรมนำมาจับต้องสัมผัสได้  แต่ ใช่หรือไม่.... ในชีวิตมนุษย์ผู้ประเสริฐ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพคุณค่าให้กับชีวิต จึงควรมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมาจากภายในจิตใจด้วย การย้ำเตือนมโนสำนึก นั่นคือ เรื่องของชีวิตภายในนั่นเอง ที่ต้องอาศัย ดวงใจ เป็นส่วนสำคัญ
ผู้คนส่วนใหญ่นั้นมักเคยชินกับสิ่งที่เห็นได้ แต่ไม่เคยชินกับสิ่งที่มองไม่เห็น และมักจะเกิดความกลัว กระวนกระวายเมื่อสายตามองอะไรไม่เห็น  เคยชินกับสิ่งที่อาจสัมผัสแตะต้องได้ แต่ไม่เคยชินกับสิ่งที่ไร้สภาพที่ไม่อาจจับต้อง เราจึงมักแสวงหาไขว่คว้าสรรพสิ่งมาครอบครองเป็นเจ้าของ เคยชินกับการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส แต่ไม่คุ้นชินกับการรับรู้ด้วยใจ เคยชินกับการมองด้วยตา แต่ไม่รู้จักการมองเห็นด้วยใจ ด้วยตัวตน ด้วยจิตสำนึก
ตั้งแต่ปฏิสนธิจากตัวอ่อน ค่อยๆเติบโตอยู่ในโลกภายในครรภ์มารดา ดวงตาปิดสนิท ความงดงามก่อเกิดขึ้นด้วยสายใยแห่งความรักจากแม่สู่ลูก ความอบอุ่นอาทรความห่วงใย จากความสัมพันธ์แห่งความรักของพ่อและแม่ จวบจนถึงเวลาได้ลืมตาสู่โลกภายนอก วันคืนผ่านไปดวงตาเปิดออกเห็นโลกภายนอกทีละเล็กทีละน้อย มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เห็นเปลี่ยนไปตามประสบการณ์และการเรียนรู้ ที่แปลกก็คือ สิ่งดีงามที่พระเจ้าบรรจงสร้างค่อยๆเลือนหายไป ได้แปรเปลี่ยนและซึมซับเอาด้านมืดบอดมาเก็บซ่อนสั่งสมไว้ภายในจิตใจสูงเท่าเทียมภูเขาเลากาแทน...
แต่ละคนในตอนถือปฏิสนธินั้นย่อมไม่เหมือนกัน จึงมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์ ไหนจะกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในตอนเจริญวัย การได้รับการอบรมสั่งสอน การได้เห็นต้นแบบ แม่พิมพ์ ก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก และเมื่อต้องมาอยู่รวมกัน ในสังกัดสังคมของคนหมู่มากด้วยกัน ต่างย่อมแสดงอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจ และการอบรมที่แตกต่างกันออกมา จึงเกิดปัญหา ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างถือเล็กถือน้อย ไม่รู้จักให้อภัย สังคมรอบข้างก็จะมีความทุกข์ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อมองเห็นหน้ากัน และไม่ชอบหน้ากัน ก็ก่อให้เกิดการทำลายทำร้าย เบียดเบียนกันอีก...
หรือบางทีการมองโลกก็ยังเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆก็อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างเรา ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำพูด คิด อย่างเขาเหมือนกัน ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ และถ้าหากเราหันมามองผู้คนด้วยหัวใจ เราฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัย และมีแนวคิดใหม่ว่า เด็กอย่างไรก็เป็นเด็ก หันหน้ามาทำความเข้าใจกัน เห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นได้เช่นนี้แล้ว เรื่องเล็กๆก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจ เข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร
มนุษย์มักจะทำร้ายกันและกัน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม  สิ่งเหล่านี้เราเห็นและเราอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ลองทบทวนและหลับตาลงมองให้ลึกลงไปข้างใน เราจะเห็นว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์เราควรที่จะมอบสิ่งที่ดีต่อกัน มอบมิตรภาพ มอบความรักไม่ต้องมีขอบเขต ไม่มีข้อจำกัดของชนชาติ ศาสนา เพศ อายุหรือฐานะทางด้านเศรษฐกิจจอมปลอมที่สังคมสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ ใจ ในการมอง
ก้มหัวให้ต่ำลง ปิดตาลงบ้าง ทบทวน เพื่อยกจิตใจที่สูงขึ้น ประคับประคองกันและกัน แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และตรงความพยายามนี้แหละ หากเราได้ใส่ความรักลงไป มิตรภาพจะเบ่งบาน ปลดเปลื้องความกลัวออกจากภายในจิตใจ บางครั้งการจะมองหาสิ่งสำคัญที่สุด ไม่อาจใช้สายตามองหาได้ อาจจะต้องมองด้วยหัวใจ
สุดท้าย...เรามักจะชอบอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะมานั่งหลับตา ทบทวนชีวิต มองด้วยหัวใจ แค่เวลาทำงาน เวลาหาเงินยังแทบไม่มี เราจึงมักใช้เวลาไม่นานในการตัดสินคนจากรูปลักษณ์หน้าตาภายนอก จากสิ่งที่เรามองเห็นได้ทางสายตา จากเครื่องประดับ การแต่งกาย และจากรสนิยมความเป็นอยู่ การจะอ้างว่า ไม่มีเวลาทบทวนชีวิต สาเหตุที่แท้จริงนั้น ส่วนมากมักมาจากการไม่ใส่ใจ หรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากกว่า ทำไม??? ในแต่ละวันเราถึงมีเวลาทำอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย นั่นเป็นเพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้นๆ ลองปล่อยให้ จังหวะชีวิต นิ่งๆเงียบๆสักนิด หลับตาลง ทบทวนและให้ความสำคัญเรื่องที่มีความหมายต่อชีวิต และเราจะเห็นความรักและมิตรภาพอันงดงาม ที่ไม่อาจหาซื้อด้วยเงินตราได้ ลองใช้หัวใจมองหาความสุขที่แท้ ให้ชีวิต ทบทวน ทบทวน หลับตาจึงได้เห็น….

ไม่มีความคิดเห็น: