พอเริ่มมีอายุมากขึ้น โรคภัยต่างๆก็เริ่มมาเยี่ยมกราย จะว่าไปอายุเพิ่งผ่านหลักสี่มาหมาดๆ ยังไม่ทันเข้าเขตดอนเมืองเลยด้วยซ้ำ ทำไมหนอร่างกายดูจะไม่เอื้อให้ทำงานเหมือนเมื่อก่อนเอาเสียเลย ลองมานึกๆดู นั่นเป็นเพราะการโหมงานแบบเป็นบ้าเป็นหลังทำงานแบบไม่หลับไม่นอน ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทคิดว่าตัวเจ๋ง ตัวเองเก่ง โอหัง ผลที่ตามมา วันนี้ร่างกายและสมองไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว ร่างกายมักอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง เซื่องซึม ไม่กระปรี้กระเปร่า มีอาการปวดหัว มึนงงอยู่บ่อยๆ นอนหลับก็ยาก บางครั้งยังรู้สึกว่านอนไม่พอ มักปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหรือข้อต่อต่างๆ ขี้ลืม สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออกเหมือนเมื่อก่อน ใครมีอาการอย่างนี้ยกมือขึ้นเป็นเพื่อนกันหน่อย...

มีอยู่หลายสิ่งอันที่เราใช้ร่างกายแบบไม่เคารพ ไม่ว่าจะเป็นการโหมงาน การเที่ยวดื่ม รวมทั้งการกินอยู่ ที่หลายครั้งหลายหนเราก็ละเลยที่จะระมัดระวัง อยากกินอะไรก็กินไม่บันยะบันยัง นำสารพิษ นำสิ่งที่สกปรกไปเก็บไว้ก็มากมาย ใช่... ด้วยความเคยชินคุ้นเคย เราก็เลยละ หรือจะให้ใส่ใจในทุกรายละเอียดซึ่งดูออกจะกระเดียดไปเสียหน่อย และยิ่งในยุคสมัยที่มีแต่การรีบเร่ง การกินก็ต้องเร่งรีบตามไปด้วย ไม่มีเวลาที่จะมาสรรหาคุณประโยชน์จากสิ่งที่กลืนลงไป ได้มาตระหนักรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ตอนที่ได้มีโอกาสเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายด้วยการล้างพิษ ทำให้มองเห็นชัดเจนว่า วิถีการดำเนินชีวิต และพฤติกรรมการกินการอยู่ของคนเราในแต่ละวัน ที่ขาดความใส่ใจต่อร่างกายของเราแล้ว วิถีทางเช่นนั้นยังอาจส่งผลกระทบให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานผิดปกติไปด้วย จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของเสียและสารพิษภายในร่างกายมีมากเกินกว่าที่ระบบการล้างพิษตามธรรมชาติจะสามารถจัดการกับตัวของมันเองได้ ซึ่งหากว่าร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษเหล่านั้นสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา
ตามข้อมูลได้กล่าวไว้ว่า การล้างพิษ คือ กระบวนการกำจัดของเสียและสารพิษแปลกปลอมที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายให้หมดไป (ซึ่งตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาได้ใส่การล้างพิษมาให้อยู่แล้ว)นั่นคือ ระบบขับถ่าย ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มตื่นขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งร่างกายของเราจะพร้อมขับถ่ายภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ตื่นนอน และหากผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้วร่างกายของเรายังไม่ได้ขับถ่ายของเสียออกไป ระบบขับถ่ายก็จะหยุดทำงานลงชั่วคราว
โดยปกติแล้วถ้าภายในร่างกายของเรามีของเสีย และสารพิษสะสมในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงขั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ ร่างกายย่อมจะส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับทราบว่ามันกำลังต้องการความช่วยเหลือและความเอาใจใส่จากเรา เสมือนเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกให้เราทราบล่วงหน้าว่าถึงเวลาที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการล้างพิษเพื่อขับของเสียและสารพิษให้ออกไปจากร่างกาย (ข้อมูลบางส่วนจากวิกิพีเดีย)
ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราเห็นผู้คนป่วยเป็นโรคภัยกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเรื่องของการกินการอยู่ แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดความป่วยไข้ได้ นั่นก็คือ เรื่องของจิตใจที่มีส่วนสอดประสานกับร่างกายอย่างเป็นเอกภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เราละเลยเรื่องภายในกันมากมาย จิตใจไร้ภูมิต้านทาน ร่างกายภายนอกจึงบอบบางและเปราะร้าวง่าย เห็นแต่ผู้คนที่มีแต่ความเครียดสะสม จิตใจก็คับแคบ แอบลอบทำร้ายทำลายกัน ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ความละอายต่อบาปก็หาไม่ได้แล้ว เมื่อสังคมนิยมบูชาความ “มั่งมี” จึงเห็นใครต่อใครก็เลยอยาก “มีมั่ง” ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีเหมือนคนอื่นโดยไม่ได้ศึกษาเลยว่า บางคนที่เขามั่งมีมาได้นั้น เขาได้ผ่านอะไรมาบ้าง ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรพยายามเช่นไร ต้องใช้คุณธรรม มโนสำนึกฝ่ายดีอย่างไรบ้าง คนยุคนี้ชอบที่จะไปทางลัดตลอดเวลา เราจึงใช้ร่างกายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้จิตใจในคราบซาตาน ช่วงชิงยึดครองเพียงเพื่ออยาก “มีมั่ง” ใช่หรือเปล่า..
ในขณะที่มารับการฟื้นฟูร่างกายด้วยการล้างพิษก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ คือ การล้างพิษทางจิตใจที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อจิตวิญญาณเราด้วย จิตวิญญาณอันเป็นที่ประทับของพระจิตเจ้า หากสกปรก หากหม่นหมอง พระจิตเจ้าจะสถิตอยู่กับเราได้อย่างไร แล้วเราจะมีอะไรเป็นที่ชี้นำมโนธรรมประจำตนในหนทางชีวิตประจำวัน เราจะมีอะไรที่จะออกไปสร้างสรรค์ความดีได้เล่า??? ใจอ่อนล้าร่างกายอ่อนแอ หนทางพ่ายแพ้มีให้เห็น ถึงเวลาหาทางช่วยกันชำระล้างพิษทางจิตใจให้หมดไป ด้วยการบำรุงเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิต การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์และไตร่ตรองในทุกๆวัน เมื่อจิตใจเราเข็มแข็ง พระจิตเจ้าก็จะทรงมาสถิตและเป็นพลังกำลังใจให้เราก้าวสู่โลกในวันนี้ ร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เบิกบาน จิตวิญญาณของเราก็จะสูงส่ง มีพร้อมหรือยังในตัวเรา...