วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไปเป็นหมู่สู่สวรรค์



ไปเป็นหมู่สู่สวรรค์
ความเคลื่อนไหวของสังคมโลกเกิดขึ้นแทบทุกวินาที ยิ่งระบบการสื่อสารที่เชื่อมโลกทั้งใบให้มีขนาดเล็กลงอยู่บนจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้เกิดความรวดเร็วในการรับรู้ข่าวสาร ของอีกซีกโลกหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การรบพุ่งเพื่อโค่นล้มอำนาจเก่าทั้งในลิเบีย และซีเรีย มีผู้คนต้องล้มตายเป็นเรือนหมื่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศยักษ์ใหญ่ มีคนจะต้องตกงานอีกเป็นจำนวนเรือนแสน เพียงแค่สองข่าวใหญ่ๆที่ยังไม่รวมผู้คนเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติทั้งในประเทศและจากต่างประเทศอีกจำนวนมาก เมื่อเราได้เห็นความทุกข์ของมวลหมู่มนุษยโลกแล้วคิดกันอย่างไร??? แน่ล่ะ...คงไม่ง่ายเลยที่เราจะยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือทุกผู้คน  แต่..สิ่งเหล่านี้น่าจะมาขับเคลื่อน พลังศรัทธาให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของเรา น่าจะทำให้เราได้มีเวลาสวดภาวนาวอนขอให้พระเจ้าช่วยบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น และไม่มากก็น้อย มันทำให้เราได้แนบสนิทกับพระมากขึ้น ได้มีเวลาคิดถึงระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเชื่อมั่นเสริมส่งให้พลังใจแข็งแกร่ง
และไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย โลกย่อมมีคนเดือดร้อนทุกข์เข็ญเสมอมา และเช่นกัน โลกนี้ก็ไม่เคยปราศจากคนที่เห็นทุกข์ของผู้อื่นแล้วมิอาจจะนิ่งเฉย ตัวอย่างง่ายๆ นักบุญหลุยส์ ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ตลอดชีวิตกษัตริย์พระองค์ทรงดำรงชีวิตคล้ายนักบวช สวดภาวนา พลีกรรม ถือศีล อดอาหาร และทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือราษฎรผู้ยากจน รับใช้และบริการโดยไม่ถือพระองค์ ในเวลาเดียวกันทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรถวายฎีการ้องทุกข์ได้เต็มที่ และทรงตัดสินคดีความอย่างยุติธรรม เมื่อทรงมีพระภารกิจมาก ก็ทรงแต่งตั้งบุคคลผู้ทรงเห็นสมควร ออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคต่างๆ เพื่อให้ความยุติธรรมและดูแลทุกข์สุขแทนพระองค์
เมื่อมีศึกสงคราม พระองค์ทรงออกรบด้วยพระองค์เอง ถึงแม้จะได้รับชัยชนะก็มิทรงเอาเปรียบข้าศึก กลับยกดินแดนที่ยึดมาได้คืนแก่เขา เพื่อให้เกิดสันติ โดยเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ได้มาจากสงครามนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับข้าศึกศัตรูในการดำรงชีวิต ดังนี้เอง  ท่านนักบุญหลุยส์จึงเป็นที่เคารพรักของราษฎรและข้าศึกศัตรู
แต่ในขณะนี้ วันนี้ มีหลายคนในสากลโลกมิได้ใส่ใจต่อความทุกข์แห่งโลกใบนี้ กลับฉวยโอกาสก้าวขึ้นยืนบนซากทุกข์เสวยสุขแต่เพียงผู้เดียว มีหลายคนฉกใช้ข้อมูลที่ไหลหลั่งมาอย่างรวดเร็วเกี่ยวเก็บสะสม เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลแล้วนำไปเป็นศาตราวุธเข้าห้ำหั่นผู้อื่น พยายามก้าวเป็นผู้นำด้านความรู้และอวดอ้างความเก่งกาจจนออกนอกหน้า เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดโต่ง ไม่ยอมรับฟัง ไม่ช่วยเหลือ ไม่สนใจผู้อื่น ขอเพียงเพื่อให้ได้ยืนเหนือทุกคนให้ได้ นี่แหละคือความภาคภูมิใจในชัยชนะ
โลกเรากำลังเผชิญกับภาวะแบบนี้มากขึ้น กลายเป็นค่านิยมที่ฝังหัวผู้คนให้จมไปในกระแสธารที่เห็นแก่ตัว ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร ลามลึกลงไปในทุกการกระทำจะต้องยึดตัวเองให้เป็นที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้นำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่การที่จะทำให้ตัวเองสู่สวรรค์โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะเหนี่ยวรั้ง ที่จะช่วยกันให้เข้าสู่ประตูสวรรค์พร้อมๆกัน (กะว่าจะไปอยู่กับพระเจ้าสองต่อสอง แหม...ไม่ได้กลัวเหงากันเลย) ใช่หรือไม่ เราทำบุญทำทานก็เพียงเพื่อให้ได้เข้าสวรรค์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรยึดถือ แต่เพื่อให้การทำบุญของเราหนุนส่งให้คนขึ้นสวรรค์กันมากๆจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าหรือ ถ้าเราทำบุญเพื่อให้ผู้คนทุกข์ยากในโลกนี้ได้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นบ้าง นี่ต่างหากเป็นการแบ่งปันสวรรค์ให้กันและกันตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16 พระองค์ทรงเน้นย้ำต่อหน้าเยาวชนเรือนล้าน   พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า เด็กเยาวชนกำลังหลงไปสู่กระแสธารแห่งความยึดมั่นในตัวเองเกินกว่าเหตุ ในพิธีต้อนรับพระสันตะปาปาอย่างเป็นทางการ ณ จัตุรัสซิเบเลส กรุงมาดริด ประเทศสเปน พระองค์ได้เตือนสติเยาวชนที่หยิ่งทระนงในตัวเองว่า หากใครคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองแน่ ตัวเองยิ่งใหญ่ดุจพระเจ้า คนๆนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้มเหลวในการดำเนินชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เราต้องสร้างและฝากชีวิตให้ตั้งมั่นอยู่กับพระคริสตเจ้า ใครก็ตามที่ฝากชีวิตไว้กับพระองค์ เขาคนนั้นจะไม่อ้างว้าง และเมื่อพายุแห่งอุปสรรคพัดเข้ามา ชีวิตเขาจะไม่เคว้งคว้างและปลิวไปอย่างไร้จุดหมาย
ในการเดินรูป 14 ภาคไปตามท้องถนนกรุงมาดริด พระสันตะปาปาทรงเป็นประธาน พระองค์ตรัสสอนเยาวชน 1.2 ล้านคนที่มาร่วมพิธี มีใจความว่า เมื่อเราได้รำพึงการรับทรมานและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เราควรถามตัวเองว่า เราทำอะไรให้พระองค์บ้างหรือยัง หรือให้พระองค์ยอมตายเพื่อเราอย่างเดียว การรับทรมานของพระเยซูสอนว่า ยังมีคนอีกมากที่ทุกข์ทรมานกว่าเรา ส่วนตัวเราล่ะ เราพร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้นบ้างไหม หรือจะมัวแต่รักตัวเองเพียงอย่างเดียว


วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศีลธรรมล่มสลาย…จริงหรือ ???

ศีลธรรมล่มสลายจริงหรือ  ???
ในโลกที่เต็มไปด้วยการยึดมั่นถือครองตนเองเป็นที่ตั้ง ยุคที่ผู้คนขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน ขาดการรับฟัง ไม่ใส่ใจต่อความคิดเห็นของผู้อื่น และในสภาพสังคมที่ไม่มีเวลาไตร่ตรองการกระทำของตัวเองและผู้คนรอบข้าง เราจึงขาดความรอบรู้รอบด้าน รอบคอบ ในทุกสิ่งที่กระทำ สิ่งเหล่านี้จึงนำมาซึ่งความขัดแย้งและการเสื่อมถอยทางจิตวิญญาณอย่างไม่เคยมีมาก่อน..
เรื่องคุณธรรมเรื่องศีลธรรมก็เช่นกัน เราก็ต่างยึดและมีมาตรฐานส่วนบุคคลเป็นที่ยึดโยง และใช้มันไปวัด ไปประเมินผู้อื่นอย่างไร้การไตร่ตรอง โดยไม่ได้มีการวิเคราะห์เจาะให้ลึกลงไปถึงสภาพแวดล้อมในสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่เห็นก็วิจารณ์ในทัศนะของตนเองที่ประเมินว่าสุดประเสริฐเลิศล้ำในโลกหล้า ใช่หรือไม่ คนเราเกิดมาย่อมมีคุณงามความดีติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตย่อมมีบ้างที่พลาดพลั้ง หลงผิด ตรงนี้แหละที่มักถูกประเมินค่า ถูกวิจารณ์ ด้วยการยกมาตรฐานทางบุคคลมาโหมกระหน่ำใส่กัน ใครจะไปรู้เล่าว่าการกระทำของคนๆหนึ่งอาจจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังบีบบังคับให้ต้องทำเช่นนั้น แล้วเราใช้สิทธิอะไรเล่า???? ไปตัดสินความผิด - ถูก ดี - ชั่ว ของผู้อื่นด้วยอารมณ์ทางลมปากแต่เพียงเท่านั้น...
สิ่งนี้เห็นชัดเจนในความขัดแย้งระหว่างคนที่มีฐานะทางสังคมและผู้ที่ด้อยค่าทางสังคม ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ ที่ใช้คุณธรรมประจำตนในการพิพากษาซึ่งกันและกัน คนที่มีฐานะดีกว่ามักจะตีค่าราคาคนจนต่ำเตี้ย สร้างแรงกดดันให้เกิดความเกลียดชังทางฐานะโดยมิได้รู้จักมักจี่ เด็กและผู้ใหญ่ไม่สามารถเดินเคียงคู่กันได้ เด็กก้าวร้าว ผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ปัญหานี้กำลังเกิดก่อตัวขึ้นทั่วโลก และดูร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั่นคือที่ กรุงลอนดอน เกิดการจลาจลขึ้นในย่านท็อตแน่ม จากนั้นก็ได้ลุกลามไปยังแมนเชสเตอร์ เบอร์มิงแฮม และเมืองอื่นๆ มีการทำลายข้าวของ ลักขโมย การวางเพลิงร้านค้าดำเนินติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายเดวิด คาเมรอน ได้ออกมาแถลงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดจาก การไร้ความรับผิดชอบ ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน และ ภาวะศีลธรรมที่ล่มสลาย ฟังดูแล้วน่าหดหู่ มันง่ายไปหน่อยหรือเปล่า ที่ออกมาอธิบายเช่นนี้ อะไร? คือ ขยะใต้พรมที่ทำให้กลุ่มคนนับพันๆคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นออกมายังท้องถนนและก่อเหตุจลาจล คงจะไม่ใช่สาเหตุใดเพียงสาเหตุเดียว ที่เป็นต้นตอของเหตุการณ์ มันต้องมีความเกี่ยวพันกันบางอย่าง ปัญหาสำคัญที่สังคมอังกฤษกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือ  อัตราการว่างงานที่สูงในหมู่เยาวชน การตัดสวัสดิการที่เยาวชนเคยได้รับ คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนรัฐในเขตยากจนที่มีคุณภาพที่ย่ำแย่มาก ราคาที่อยู่อาศัยที่แพงเกินเอื้อมสำหรับเยาวชน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่น่าเป็นห่วง
 เมื่อไม่นานมานี้...มีคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษได้เคยบอกเล่าให้ฟังว่า ประเทศนี้กำลังจะล่มสลายทางศีลธรรม เนื่องด้วยเพราะการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดในหลายๆด้าน และยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เช่น การที่เด็กสาวคนหนึ่งเกิดการตั้งครรภ์ ก็ไม่ต้องไปหางานทำ ทางภาครัฐจะเป็นผู้เลี้ยงดู มีเงินเดือนให้ มีสวัสดิการเลี้ยงดูบุตร เพียงไม่กี่ปีอัตราที่เด็กสาวตั้งครรภ์เป็นว่าเล่นก็เพิ่มมากขึ้น เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงไม่ได้สนใจ ตั้งใจที่จะเล่าเรียน (ทั้งๆที่เรียนฟรี) ไม่มีความพร้อมจะสร้างครอบครัว เพราะถึงอย่างไรเสียก็มีเงินใช้ มีคนเลี้ยงดู ที่สุดบรรดาผู้บริหาร ก็ปล่อยทิ้งปล่อยขว้างเด็กเหล่านี้เผชิญปัญหาตามยถากรรม เพียงแค่ให้เงินใช้ ให้ที่อยู่อาศัยในแถบชานเมือง จนกลายเป็นแหล่งรวมของคนว่างงาน นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การคิดแก้ปัญหาแบบฉาบฉวยกำลังนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่ตามมา และก็ออกมากล่าวว่าเด็กไร้ความรับผิดชอบ ก็ใครกันล่ะที่เป็นคนทำให้ศีลธรรมเสื่อม โดยชอบแอบอ้างว่าเป็นผู้มีศีลธรรม 
และในเมื่อทุกประเทศที่เคยหลงใหลกับทุนนิยม กำลังถูกเงินตราของตัวเองเข้าทำลายระบบเศรษฐกิจ ระบบดังกล่าวได้ผลิตรัฐบาลที่คอยอำนวยผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มอภิชนผู้ร่ำรวย การแก้ปัญหาด้วยการตัดลดงบประมาณของรัฐบาลได้ทำให้ผู้ที่เคยรับย่อมไม่พอใจและนี่เป็นสาเหตุเล็กที่นำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง สู่การประท้วงครั้งใหญ่ในหลายๆประเทศ
พระศาสนจักรคาทอลิกโดยการนำขององค์สมเด็จพระสันตะปาปากำลังทำอยู่ในขณะนี้ คือ การแก้ไขที่ต้นตอปัญหา การจัดให้มีการชุมนุมเยาวชนโลก โดยครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่ประเทศสเปนระหว่างวันที่ 16 -21 สิงหาคมนี้ มีเยาวชนเข้าร่วมงานเป็นล้านๆคน พระศาสนจักรต้องการยกย่องคุณค่าของเยาวชน ต้องการรับฟังพวกเขา เพื่อจะได้เดินเคียงข้างกันไปในหนทางศีลธรรมอันงดงาม และที่สุดได้มีเวลาสั่งสอนคุณธรรมความดีงามเพื่อให้เป็นหน่ออ่อนเข้าไปเจริญเติบโตในชีวิตของพวกเขา หล่อหลอมให้ทุกคนมีคุณธรรมศีลธรรมแบบเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวม (ติดตามความเคลื่อนไหวและชมการถ่ายทอดสดมิสซาวันปิดงานในวันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม ในเวลา 14.30 น. ที่ Facebook : popereport.com) ใช่หรือไม่ ประตูนรกไม่มีวันเอาชนะพระศาสนจักรได้
ในสังคมที่เราละเลยการสอนคุณธรรมความดีงามให้แก่กันและกัน ทุกคนจึงต่างมุ่งที่จะเสาะแสวงหาคุณธรรมของตัวเอง เราก็ยังมีพระศาสนจักรของเราที่ได้ตระหนักดีถึงเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน ตราบใดที่ยังมีพระศาสนจักรคาทอลิกตราบนั้นศีลธรรมจะไม่มีวันล่มสลาย......

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แม่...แบบ


แม่...แบบ
ขณะที่ได้ไปช่วยพี่คนหนึ่งบรรยายพิเศษให้กับเด็กนักเรียนหญิง ที่จังหวัดบ้านเกิด จึงถือโอกาสกลับไปอยู่กับแม่สักคืน โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อแม่เห็นลูกชายเดินเข้าไปในบ้าน สีหน้าแปลกใจ แต่...ก็ดูจะดีใจไปในที แล้วก็รีบลุกขึ้นจัดการเตรียมอาหารเย็นให้ทันที ด้วยความที่ไม่อยากจะให้ผู้เป็นแม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการตระเตรียมของกิน ได้ถือโอกาสหาอะไรรองท้องแล้วก่อนเข้าบ้าน แต่แม่ก็ยังคงคะยั้นคะยอที่จะทำอาหารเย็นให้ทาน ก็เลยต้องขอให้ทำเพียงอย่างเดียว คือ ปลาทอด ของชอบ เป็นธรรมดาของผู้เป็นแม่ที่มักจะห่วงลูกๆอยู่เสมอ จนกระทั่งในระยะหลังๆแม่มีอาการป่วยด้วยโรคแห่งวันวานเข้าถามหา เวลาจะกลับบ้านจึงไม่มีการแจ้งให้แม่รู้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นแล้ว แม่จะกระวนกระวาย ชะโงกชะเง้อตั้งหน้าตั้งตารอคอยทุกนาที และจะตระเตรียมอาหารการกินที่ลูกๆชอบไว้ให้ โดยรู้ด้วยว่าลูกคนไหนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดว่าแม่ของทุกคนก็เป็นเช่นนี้
ระหว่างกินอาหารเย็น แม่ก็มานั่งคุยข้างๆ แล้วก็ตามประสาอันเงียบเหงามานาน พอมีคนนั่งฟังแม่ก็บ่นนั่นบ่นนี่ เห็นอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทางไม่เป็นระเบียบ ก็ค่อยๆลุกเดินไปเก็บพร้อมกับพึมพำ แล้วก็มานั่งเล่าเรื่องอื่นต่อ ไม่ทันไร แม่ก็ลุกไปเตรียมที่หลับที่นอนให้อีก คงกลัวว่าเรากินข้าวเสร็จจะไม่ยอมให้แม่ทำเป็นแน่ อาศัยตอนที่เรากำลังเอร็ดอร่อยกับปลาทอด แม่ก็รีบจัดให้เรียบร้อย ทั้งๆที่เพิ่งบ่นว่าไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง แม่ก็เป็นอย่างงี้ น่ารักเสมอ....
สังเกตเห็นการกระทำของแม่ ภาพสะท้อนของตัวเองลอยอยู่ตรงหน้า รู้ทันทีเลยว่า โรคขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ ใจน้อย ไม่ชอบความไร้ระเบียบ ไม่ชอบการเอาเปรียบ และการเอาใจใส่เฝ้าสังเกตสังกาทุกคน ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง การแสดงออกของอารมณ์บนใบหน้าของเรานี้ ถอดแบบมาจากแม่เป๊ะ นึกแล้วก็ขำขำ แม่...ต้นแบบ ระเบียบจัดและการแสดงออกแบบตรงไปตรงมา (บางครั้งก็รู้ว่ามันมากไปเกินกว่าที่แม่เป็นอีกจนสร้างความรำคาญให้คนอื่น) หรือนี่เป็นการสืบทอดพันธุกรรมทางอารมณ์ ใช่หรือไม่ เวลาเราอยู่กับใครนานๆ เราก็มักจะซึมซับเอาความเป็นคนของคนนั้นมาสวมใส่ในตัวเราเอง เวลาเราชอบใคร ยกให้เป็นต้นแบบ เราก็แอบชื่นชมและเลียนแบบ คัดลอกเอาบุคลิกลักษณะเด่นให้กลายเป็นตัวของเรา และแน่นอนคนที่อยู่กับพ่อและแม่ ก็ย่อมที่จะสืบทอดอุปนิสัยใจคอ ท่าทาง และทัศนคติ กลายเป็นตัวแทนของพ่อแม่เราในที่สุด นี่จึงเป็นภารกิจ พันธกิจชีวิตของผู้เป็นพ่อและแม่ ที่จะต้องเลือกถ่ายทอดสิ่งใดให้ลูก จะเลือกลักษณะเด่น ลักษณะดี หรือสิ่งตรงข้ามให้ลูกเรา และสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในชีวิตเราก็ต้องรู้จักที่จะควบคุมไม่ให้ไปสุมใส่ลูกโดยไม่รู้ตัว...
และมันเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อหัวข้อในการร่วมบรรยายในวันนั้น คือ ป้องกันการเป็นแม่วัยใส ภาวะเสี่ยงการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร เด็กนักเรียนหญิงที่เข้าฟังเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวนร้อยกว่าคน จากข้อมูลเชิงลึกของคุณครูฝ่ายปกครองเล่าให้ฟังว่า ในโรงเรียนต่างจังหวัดเด็กผู้หญิงในระดับ ม.2 - ม.3 มีปัญหาเรื่องนี้มากจริงๆ มีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยท้องจนไม่สามารถเรียนต่อได้ หรือไม่ก็ต้องไปทำแท้ง และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ารอดจากปากเหยี่ยวปากกาขึ้นชั้นมัธยมปลายปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่ค่อยมี เพระอะไรหรือ...เด็กสาวเหล่านั้นจึงปรารถนาจะใช้ความเป็นแม่เพื่อเสพสุขโดยไม่ได้คำนึงถึงภารกิจแห่งความเป็นแม่อันยิ่งใหญ่นี้ สิ่งที่น่าคิดคือ ความห่างของครอบครัว ความเจริญของเทคโนโลยีและการสื่อสาร การสอนเรื่องเพศศึกษาแบบผิดๆ ที่ไม่ได้เน้นเรื่องคุณค่าของเพศ ทำให้เด็กสาวเสี่ยงที่จะเสียสาวโดยไม่รู้ตัว เป็นแม่วัยใสโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นแล้วเสียดายอนาคตของชาตินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ้เรียบร้อย
ในตอนท้ายๆของการบรรยาย คุณพี่ที่เป็นวิทยากรได้นำคลิป การคลอดมาให้เด็กสาวได้ดูเห็นกันแบบสดๆ หลายคนเบี่ยงหน้าหนีแทนที่จะดู มีไม่น้อยนั่งก้มหน้าหลับตา บางคนพยายามข่มอารมณ์ด้วยการล้อเล่นกับเพื่อนๆเพื่อไม่ให้ความอ่อนแอเผยออกมา แต่ส่วนใหญ่แล้วนั่งน้ำตาซึม มีบ้างที่มีเสียงร้องไห้กระซิกๆออกมา เมื่อได้เห็นความลำบากของผู้เป็นแม่ และนั่นอาจจะเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้พวกเด็กสาวได้รู้ว่า การเป็นแม่นั้นไม่ง่าย แต่ความเป็นแม่คนนั้นมันยากกว่าหลายเท่า เราก็ได้แต่หวังว่า แม่แบบที่ผ่านสื่อที่เราให้ไปคงจะไปช่วยยับยั้งชั่งใจในความสนุกของเด็กสาวลงได้บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วประเทศไทยคงเต็มไปด้วยแม่วัยใส แม่ใบเลี้ยงเดี่ยว และทำไปทำมาภารกิจในการเลี้ยงดูนี้ตกไปอยู่กับคนเป็นปู่ย่าตายาย ที่ต้องมานั่งเลี้ยงดูลูกของลูกสาว เป็นแม่วัยเสื่อม ที่ต้องรับภาระเลี้ยงลูกแทนลูกสาว ที่บัดนี้กลายเป็นพี่สาวของเด็กน้อยไปในทันใด แล้วปัญหาใหม่ที่งอกมาจากปัญหานี้จะตามมาอีกนับไม่ถ้วน
ในสังคมเมือง สังคมสมัยใหม่ที่มีสิ่งบูชามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เกียรติยศ ตำแหน่งหน้าที่ในการงาน เพื่อให้ได้มาก็ต้องแย่งชิงแข่งขัน คุณค่าของชีวิตลดถอย แม่..แบบ ไม่ค่อยมีใครเลียนแบบ ชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกบ้านร่วมกับผู้อื่น แบบที่จะหล่อหลอมมิใช่อยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่พ่อแม่ แต่มันอยู่ในสื่อต่างๆเสียมากว่า เราที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเหนื่อยขึ้นหลายเท่าทวีคูณในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นอย่างสมคุณค่าความเป็นคน แม้ว่าสังคมจะยกย่องด้วยการมีวันแม่แห่งชาติ แต่..สำหรับแม่แล้ว ทุกวันย่อมเป็นวันลูกแห่งชาติ... แม่ คือแบบที่สำคัญ ถ้าใครยังไม่พร้อมจะเป็นแบบก็อย่าคิดที่จะเป็นแม่คนเลย....
                                                                                                                                    

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ใจที่งดงามมีค่ากว่าทองคำ


ใจที่งดงามมีค่ากว่าทองคำ
เรื่องราวของปราณีและบารมี
เวลาเรามีเรื่องดีและร้ายที่ต้องพูดในเวลาเดียวกัน ก็มักจะต้องถามคนฟังว่าจะฟังเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก่อน???? วันนี้ก็เช่นกัน มีทั้งเรื่องแย่ๆกับเรื่องที่งดงาม จะเขียนเรื่องไหนให้อ่านก่อนดีล่ะ แต่...เมื่อพิจารณาดูแล้ว เราเริ่มเรื่องร้ายๆใกล้ตัวเราก่อนดีกว่า
เรื่องร้ายนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเรานี่เอง เป็นคลิปวิดีโอที่ดังเป็นข่าวหน้าจอของหลายช่องเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงในสังคมเครือข่ายมีการโพสต์ส่งต่อกันไปอย่างมากมาย บางคนอาจจะได้เห็นได้ชมมาบ้างแล้ว นั่นคือ ภาพเหตุการณ์ของครูสอนเด็กเล็กรายหนึ่ง ตีเด็กรุนแรงเกินกว่าเหตุ เรื่องเกิดขึ้นที่ศูนย์เด็กเล็กวัดเทพนิมิต เมืองภูเก็ต ส่วนครูคนดังกล่าวชื่อว่า นางปราณีหรือครูเขียว อายุ 35 ปี แม่ของเด็กชายคนหนึ่งอายุ 4 ขวบ ที่ถูกครูปราณีที่ไร้เมตตาใช้มือตบเข้าที่กกหู เปิดเผยว่า ได้แจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดี นางปราณี ไว้แล้ว เนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเด็กเกินกว่าเหตุ พร้อมยืนยันจะต่อสู้เอาเรื่องจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ นางปราณี หรือครูเขียว ยังเป็นผู้ที่เก็บรวบรวมเงินออมจากเด็กนักเรียนประมาณ 110-120 คน ที่จะต้องนำเงินมาให้ครูเขียวคนละ 5 บาทต่อวัน จากพฤติการณ์ของครูเขียว ครูผู้ดูแลเด็กคนอื่นๆ ทนไม่ได้กับความประพฤติที่ทำกับเด็กนักเรียน ทุกคนจึงมีมติร่วมกัน ขอร่วมบันทึกพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ลงในสมุดไว้ดังนี้ คือ  เด็กระบายสีไม่สวยตามกรอบที่กำหนดจะถูกลงโทษ 1. ตบหน้าเด็ก  2. ตบกกหูเด็ก 3.ใช้ยางรัดของดีดอวัยวะต่างๆของเด็กเช่น หู 4. ตีเด็กด้วยสันไม้บรรทัดเหล็ก รวมทั้งใช้ไม้บรรทัดเหล็กตีอย่างแรงที่มือและขา 5. ใช้เท้าเขี่ยแบบเรียนหรือการบ้านไปให้เด็ก 6. กระชากคอเสื้อเด็กและเหวี่ยงเด็กให้นั่งตามจุดที่ต้องการ 7. ให้เด็กที่ไม่ได้นำที่นอนมา นอนกับพื้นซีเมนต์หรือกระเบื้องเคลือบ 8. ป้อนยาเด็กโดยที่ไม่ได้ตวงยา แต่ใช้วิธีการกรอกขวดยาจากขวดใส่ปากเด็ก  9. พูดคำหยาบกับเด็กโดยใช้ภาษาพ่อขุน
เมื่อครูปราณีไม่ปราณีต่อเด็กลงโทษตามอารมณ์โกรธ ยิ่งกว่าเจ้านกในเกมส์ Angry Birds (วิหคโกรธา) เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด จึงทำให้เกิดความโกรธรวมหมู่ของผู้ปกครองที่ต้องยกขบวนมาเพื่อกดดันและขับไล่ครูออกจากโรงเรียน บานปลายไปกันเกือบจะไล่พระเจ้าอาวาสออกจากวัดอีกต่างหาก
สำหรับคนที่แค่ดูคลิปดังกล่าว ก็เกิดอารมณ์โกรธาเช่นกัน ใส่ความเกลียดเคียดแค้น ไปกับสิ่งที่ได้เห็น ระเบิดระบายความแค้นผ่านตัวหนังสือในคอมเมนต์ต่างๆโดยที่ครูปราณีไม่ได้มาอ่าน มีก็แต่คนรู้จักที่อยู่ในแวดวงเดียวกันในสังคมออนไลท์เท่านั้นที่ได้รับแรงระบายนั้นไปเต็มๆ ไม่น่าเชื่อว่าอานุภาพของความโกรธจากความไร้ปราณีนี้จะสั่นคลอนสังคมได้ถึงเพียงนี้
แต่สิ่งที่ทำให้โลกน่าอยู่และอิ่มเอมเสมอมา ก็อยู่ที่เรื่องดีๆที่ยังคงอยู่คู่โลก เฉกเช่น การให้อภัยของหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ บาห์รามี อ่านแบบไทยๆได้ว่า บารมี (ผู้เขียน) เพราะสิ่งที่เธอทำมันได้แผ่บารมีความดีงามไปทั่วทุกมุมโลก และทำให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดมีค่าเทียบเท่ากับการให้อภัย ....
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2009 มาจิด มูวาฮีดี ถูกศาลพิพากษาลงโทษให้ตาบอดทั้งสองข้าง ตามความผิดที่เขาสาดน้ำกรดใส่หน้า อาเมเนห์ บาห์รามี เพื่อนร่วมชั้นเรียนมหาวิทยาลัยเตหะรานเหตุเพราะเธอปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาตามกำหนดเดิม การลงโทษให้ มาจิด มูวาฮีดี ตาบอดตามคำสั่งศาลจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แต่ก็ถูกเลื่อนออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างเป็นทางการ อาเมเนห์ บาห์รามี (อดีตสาวงาม) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิสนาของอิหร่านว่า เธอให้อภัยโดยให้เหตุผลว่า      พระคัมภีร์อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า การให้อภัยยิ่งใหญ่กว่าการแก้แค้น
 “ดิฉันต่อสู้เพื่อให้มีการลงโทษคนที่สาดน้ำกรด ด้วยวิธีการแก้แค้นมานานถึง 7 ปี แต่มาวันนี้ดิฉันให้อภัยเขาตามสิทธิ์ที่มีอาเมเนห์ บาห์รามี กล่าวต่อ ดิฉันทำเพื่อประเทศของเราเพราะตอนนี้นานาประเทศกำลังจับจ้องเราอยู่
อับบาส จาฟารี โดลาตอบาดี อัยการสูงสุดอิหร่าน ชื่นชมการตัดสินใจของบาห์รามี และกล่าวไว้ว่า ตามกำหนด  มาจิด มูวาฮีดี จะต้องถูกลงโทษทำให้ตาบอดโดยมีจักษุแพทย์และตัวแทนจากศาลเป็นพยาน ทว่า อาเมเนห์ บาห์รามี ก็ตัดสินใจให้อภัยเขา
หลังจากถูกสาดน้ำกรดใส่หน้า ขณะที่เธออายุ 24 ปี บาห์รามี ต้องเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมถึง 17 ครั้งในสเปนอยู่นานหลายปี แต่ตาของเธอยังคงสูญเสียการมองเห็นทั้ง 2 ข้าง และมีบาดแผลสาหัสตามใบหน้าและลำตัว
บาห์รามี เธอสร้างบารมีจากความดี ความงดงามในจิตใจของเธอ งดงามกว่าใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอเสียอีก แม้ว่าบัดนี้ดวงตาเธอจะปิดลง แต่ทว่าหัวใจเธอกลับเปิดกว้าง เธอได้มอบของมีค่าให้กับคนทั้งโลกด้วยการให้อภัยในนาทีสุดท้าย.. แล้วเราวันนี้เราเคยมีจิตใจแห่งการให้อภัยมากน้อยเพียงใด หรือเรามีแต่จิตใจแห่งความเกลียดชังเคียดแค้น คับแคบอยู่เต็มหัวใจ เราจะเลือกเป็นข่าวร้ายหรือข่าวดี เราจะเป็นสื่อนำความรักหรือความเกลียดชัง เราจะสร้างบารมีจากความปราณีและให้อภัยต่อกันได้หรือเปล่า เพราะสิ่งนี้มีค่ามากกว่าทองคำ เป็นสิ่งเดียวที่สร้างสันติภาพให้กับโลกเบี้ยวๆใบนี้ ใครก็ชอบที่จะฟังข่าวดี แล้วเราเป็นข่าวดีให้กันบ้างหรือยัง...