ไปเป็นหมู่สู่สวรรค์
ความเคลื่อนไหวของสังคมโลกเกิดขึ้นแทบทุกวินาที ยิ่งระบบการสื่อสารที่เชื่อมโลกทั้งใบให้มีขนาดเล็กลงอยู่บนจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้เกิดความรวดเร็วในการรับรู้ข่าวสาร ของอีกซีกโลกหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การรบพุ่งเพื่อโค่นล้มอำนาจเก่าทั้งในลิเบีย และซีเรีย มีผู้คนต้องล้มตายเป็นเรือนหมื่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศยักษ์ใหญ่ มีคนจะต้องตกงานอีกเป็นจำนวนเรือนแสน เพียงแค่สองข่าวใหญ่ๆที่ยังไม่รวมผู้คนเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติทั้งในประเทศและจากต่างประเทศอีกจำนวนมาก เมื่อเราได้เห็นความทุกข์ของมวลหมู่มนุษยโลกแล้วคิดกันอย่างไร??? แน่ล่ะ...คงไม่ง่ายเลยที่เราจะยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือทุกผู้คน แต่..สิ่งเหล่านี้น่าจะมาขับเคลื่อน พลังศรัทธาให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของเรา น่าจะทำให้เราได้มีเวลาสวดภาวนาวอนขอให้พระเจ้าช่วยบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น และไม่มากก็น้อย มันทำให้เราได้แนบสนิทกับพระมากขึ้น ได้มีเวลาคิดถึงระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเชื่อมั่นเสริมส่งให้พลังใจแข็งแกร่ง…
และไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย โลกย่อมมีคนเดือดร้อนทุกข์เข็ญเสมอมา และเช่นกัน โลกนี้ก็ไม่เคยปราศจากคนที่เห็นทุกข์ของผู้อื่นแล้วมิอาจจะนิ่งเฉย ตัวอย่างง่ายๆ นักบุญหลุยส์ ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ตลอดชีวิตกษัตริย์พระองค์ทรงดำรงชีวิตคล้ายนักบวช สวดภาวนา พลีกรรม ถือศีล อดอาหาร และทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือราษฎรผู้ยากจน รับใช้และบริการโดยไม่ถือพระองค์ ในเวลาเดียวกันทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรถวายฎีการ้องทุกข์ได้เต็มที่ และทรงตัดสินคดีความอย่างยุติธรรม เมื่อทรงมีพระภารกิจมาก ก็ทรงแต่งตั้งบุคคลผู้ทรงเห็นสมควร ออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคต่างๆ เพื่อให้ความยุติธรรมและดูแลทุกข์สุขแทนพระองค์
เมื่อมีศึกสงคราม พระองค์ทรงออกรบด้วยพระองค์เอง ถึงแม้จะได้รับชัยชนะก็มิทรงเอาเปรียบข้าศึก กลับยกดินแดนที่ยึดมาได้คืนแก่เขา เพื่อให้เกิดสันติ โดยเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ได้มาจากสงครามนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับข้าศึกศัตรูในการดำรงชีวิต ดังนี้เอง ท่านนักบุญหลุยส์จึงเป็นที่เคารพรักของราษฎรและข้าศึกศัตรู
แต่ในขณะนี้ วันนี้ มีหลายคนในสากลโลกมิได้ใส่ใจต่อความทุกข์แห่งโลกใบนี้ กลับฉวยโอกาสก้าวขึ้นยืนบนซากทุกข์เสวยสุขแต่เพียงผู้เดียว มีหลายคนฉกใช้ข้อมูลที่ไหลหลั่งมาอย่างรวดเร็วเกี่ยวเก็บสะสม เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลแล้วนำไปเป็นศาตราวุธเข้าห้ำหั่นผู้อื่น พยายามก้าวเป็นผู้นำด้านความรู้และอวดอ้างความเก่งกาจจนออกนอกหน้า เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดโต่ง ไม่ยอมรับฟัง ไม่ช่วยเหลือ ไม่สนใจผู้อื่น ขอเพียงเพื่อให้ได้ยืนเหนือทุกคนให้ได้ นี่แหละคือความภาคภูมิใจในชัยชนะ
โลกเรากำลังเผชิญกับภาวะแบบนี้มากขึ้น กลายเป็นค่านิยมที่ฝังหัวผู้คนให้จมไปในกระแสธารที่เห็นแก่ตัว ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร ลามลึกลงไปในทุกการกระทำจะต้องยึดตัวเองให้เป็นที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้นำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่การที่จะทำให้ตัวเองสู่สวรรค์โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะเหนี่ยวรั้ง ที่จะช่วยกันให้เข้าสู่ประตูสวรรค์พร้อมๆกัน (กะว่าจะไปอยู่กับพระเจ้าสองต่อสอง แหม...ไม่ได้กลัวเหงากันเลย) ใช่หรือไม่ เราทำบุญทำทานก็เพียงเพื่อให้ได้เข้าสวรรค์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรยึดถือ แต่เพื่อให้การทำบุญของเราหนุนส่งให้คนขึ้นสวรรค์กันมากๆจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าหรือ ถ้าเราทำบุญเพื่อให้ผู้คนทุกข์ยากในโลกนี้ได้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นบ้าง นี่ต่างหากเป็นการแบ่งปันสวรรค์ให้กันและกันตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16 พระองค์ทรงเน้นย้ำต่อหน้าเยาวชนเรือนล้าน พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า เด็กเยาวชนกำลังหลงไปสู่กระแสธารแห่งความยึดมั่นในตัวเองเกินกว่าเหตุ ในพิธีต้อนรับพระสันตะปาปาอย่างเป็นทางการ ณ จัตุรัสซิเบเลส กรุงมาดริด ประเทศสเปน พระองค์ได้เตือนสติเยาวชนที่หยิ่งทระนงในตัวเองว่า “หากใครคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองแน่ ตัวเองยิ่งใหญ่ดุจพระเจ้า คนๆนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้มเหลวในการดำเนินชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เราต้องสร้างและฝากชีวิตให้ตั้งมั่นอยู่กับพระคริสตเจ้า ใครก็ตามที่ฝากชีวิตไว้กับพระองค์ เขาคนนั้นจะไม่อ้างว้าง และเมื่อพายุแห่งอุปสรรคพัดเข้ามา ชีวิตเขาจะไม่เคว้งคว้างและปลิวไปอย่างไร้จุดหมาย”
ในการเดินรูป 14 ภาคไปตามท้องถนนกรุงมาดริด พระสันตะปาปาทรงเป็นประธาน พระองค์ตรัสสอนเยาวชน 1.2 ล้านคนที่มาร่วมพิธี มีใจความว่า “เมื่อเราได้รำพึงการรับทรมานและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เราควรถามตัวเองว่า เราทำอะไรให้พระองค์บ้างหรือยัง หรือให้พระองค์ยอมตายเพื่อเราอย่างเดียว การรับทรมานของพระเยซูสอนว่า ยังมีคนอีกมากที่ทุกข์ทรมานกว่าเรา ส่วนตัวเราล่ะ เราพร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้นบ้างไหม หรือจะมัวแต่รักตัวเองเพียงอย่างเดียว”