ใช่หรือไม่ นานมาแล้วศูนย์กลางใจเมืองหลวงเป็นแหล่งที่คลาคล่ำไปด้วยเงินทุน เป็นแหล่งที่มาของทุนนิยม การซื้อขายต่อวันเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างต้องหยุดเดิน การค้าขายมีเวลาพักร้อน การช็อปปิ้งถูกเว้นวรรค แต่...ชีวิตของคนไทยในเมืองก็ยังดำเนินต่อมาได้ จึงไม่แปลกเลยหากว่าชีวิตเราจะไม่ผูกพันกับทุน กับการแข่งขันหากำไร เราก็สามารถอยู่กันได้ และเพราะทุนนิยมเสรีที่สร้างการแข่งขัน มันจึงมาพร้อมกับการเห็นแก่ตัวสุดโต่ง และการไม่รู้จักยอมกัน ฉากที่เราเห็นเปลวไฟที่เผาไหม้นั้นมันก่อตัวจากกองไฟในจิตใจของคนเราแต่ละคนนั่นเอง
สายน้ำเจ้าพระยา ยังคงไหลผ่านมานานนับวัน เป็นเสมือนเพื่อนที่คอยบรรเทาใจในยามทุกข์ยามเศร้าโสก สายน้ำยามปกติไหลร่มเย็น จะมีบ้างบางเวลาที่โหดร้ายและรุนแรง แต่ทุกกรณีผู้คนริมเจ้าพระยาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับสายน้ำนี้มาเป็นเวลายาวนานเช่นกัน ใช่...หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันและปรับสมดุลเข้าหากัน ทุกสรรพสิ่งสร้างก็อาศัยอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่ง ใครเล่าจะมีหน้าที่ที่จะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่เราแต่ละคน...
ณ เมืองๆหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ที่ให้ชีวิต ให้กำเนิดพืชพันธุ์ กำเนิดการสัญจรของผู้คนมาอย่างยาวนาน ในแต่ละปีจะมีช่วงหนึ่งที่สายน้ำแห่งนี้จะล้นหลาก สร้างความลำบากให้ผู้คนที่นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเมืองแห่งนี้ผู้เป็นดังเสาเอก ผู้ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อเรียนรู้และปรับชีวิตของพลเมืองให้สมดุลกับธรรมชาติตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างผาสุก เป็นเมืองทองเมืองเอกที่เมืองรอบๆต่างเฝ้าอิจฉา
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีมหาเสนาบ่ดีผู้หนึ่ง คิดการใหญ่หวังสร้างชื่อเสียงเพียงข้ามวันข้ามคืน ใช้เงินทองซื้อทุกอย่างจนเคยตัว คิดเร็วทำเลว ก็คิดทฤษฎีใหม่ขึ้นมา เพื่อสร้างฐานเสียงให้ยิ่งใหญ่ ประกาศก้องต่อท้องธรณี ว่าปีนี้ปีหน้าเมืองเราจะไม่มีน้ำท่วมเมืองอีกแล้ว ผู้ฟังต่างตื่นเต้นตื่นตูมกันยกใหญ่ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร!!! มหาเสนาบ่ดีรีบชี้แจงแถลงไขพร้อมรอยยิ้มว่า “เราจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำสองฝากฝั่งเมือง ไม่ให้น้ำสักหยดรดลงมาในท้องที่” ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์กันอย่างเกรียวกราว
ในขณะที่เจ้าเมืองหาได้มีความหวั่นไหวในความคิดทฤษฎีใหม่นี้เลย ยังคงเดินแผ้วถางที่รกร้างให้โล่งกว้าง เพื่อรองรับน้ำที่จะไหลหลากมา เพื่อให้น้ำจำนวนมากได้แผ่ขยายกว้างออก เพื่อคนในเมืองจะได้ไม่เดือดร้อนถูกน้ำท่วม ให้คนรอบเมืองมีที่เก็บน้ำทำนาทำไร่ตลอดทั้งปี
ในเมืองก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ครึ่งๆกลางๆไม่รู้จะเชื่อใครดี จึงเสนอให้ลองใช้ทั้งสองวิธีว่าสิ่งไหนน่าจะดีกว่ากัน เจ้าเมืองผู้มีจิตใจประเสริฐก็ให้โอกาสมหาเสนาบ่ดีได้ทำตามแนวคิดของตัวเองก่อน และแล้วช่วงน้ำหลากก็มาถึง ปีนี้น้ำมากผิดปกติ เขื่อนริมลำน้ำถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง น้ำที่ไหลผ่านมาถูกขวางกั้นและไหลไปตามลำเขื่อนนั้น แต่แล้วด้วยแรงดันน้ำที่รุนแรงที่มาพร้อมกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นได้ทำให้เขื่อนเริ่มปริ เริ่มแตกออก แล้ววันหนึ่งมันก็ระเบิด กระแสน้ำไหลทะลัก สร้างความเสียหายไปทุกหย่อมหญ้า ทันใดนั้นเอง เจ้าเมืองที่พอจะคาดการณ์ได้ก็รีบให้ทหารและข้าราชการทุกคนออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ด้วยการไปรื้อกำแพงเขื่อนทิ้งเสีย บังคับสายน้ำให้ไหลลงไปในพื้นที่กว้างที่เจ้าเมืองได้ตระเตรียมไว้ เพียงชั่วข้ามคืน น้ำลดระดับลง ความรุนแรงถูกบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ....
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้มาได้ คนที่ไม่เชื่อในแนวคิดของเจ้าเมือง คนที่เคยคิดว่าเป็นแนวคิดโบราณ คนที่แอบอ้างว่าเป็นกลางก็กลับลำมาชื่นชมและยกย่องเจ้าเมือง และในวันหนึ่งเจ้าเมืองได้พูดกับประชาชนว่า “สายน้ำก็เหมือนน้ำใจคน ต้องแผ่ให้กว้างออกไป ขยายออกไป เพื่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เก็บกักไว้กับตัวเอง ไม่นานก็ล้น ไม่นานก็เต็มก็ปริและก็พร้อมระเบิดได้ทุกเวลา ยิ่งให้ออกไปยิ่งได้รับสันติสุขกลับคืนมา ยิ่งเพิ่มความรักยิ่งมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น”......(นิทานเรื่องนี้ไหลออกมาพร้อมกับสายน้ำเจ้าพระยาที่ได้ไปเยี่ยมเยียน)
ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ หากแต่ว่าการเริ่มต้นใหม่นั้นต้องนำความสูญเสีย ความเจ็บปวดเหล่านี้มาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะนำพาสังคมไทยของเราไปสู่สันติ เราก้าวไปในโลกทุนนิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเราไม่ละทิ้งคุณธรรม เราก้าวสู่โลกที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกสารพัดได้ หากเรายังคงครองจิตที่งามงดไปด้วยจรรยาและจริยธรรม เราอยู่ในโลกที่หลากหลายแนวคิด หลากหลายอุดมการณ์ได้ หากเรามีหัวใจแห่งความรักเหมือนๆกัน ลูกๆในบ้านทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกทั้งสองฝ่าย พระบิดาเจ้าไม่เคยทอดทิ้งใครให้ต้องเผชิญความทุกข์ เพราะพระองค์ได้ส่งพระบุตรและพระจิตสถิตในใจเราเพื่อเสริมสร้างความรักตลอดมาและตลอดไป ไม่มีสิ่งใดจะมาขวางกั้นความรักที่แผ่กว้างขยายออกไปจากใจคนที่มีสันติสุขได้..